Chapter 2: จูบอีกครั้ง
ฉันกับไอ้ตรีมาถึงหน้าคณะตามเวลานัดหมาย และเพื่อนๆ ก็มาตรงเวลา ทั้งไอ้ปี ไอ้พัทและยัยนุ่น ซึ่งคนหลังนี้เป็นสาวน้อยตัวเล็ก สดใส ช่างพูดประจำกลุ่ม
“ตามึงคล้ำมาก เมื่อคืนไม่ได้นอนเลยวะ” เมื่อขึ้นรถเรียบร้อยพร้อมเดินทาง ยัยนุ่นที่นั่งข้างๆ ฉันก็ถามขึ้น
“นอนไม่ค่อยหลับ เพราะ...ตื่นเต้นไงที่จะได้ไปเที่ยวกับพวกมึง” ฉันตอบพร้อมยิ้มให้เพื่อน
“ไอ้ตรีล่ะ มึงตื่นเต้นด้วยหรือไง ตาคล้ำเป็นหมีแพนด้าเหมือนกัน” นุ่นหันไปถามไอ้ปีที่นอนเอนตัวบนเบาะตอนหลังของรถคนเดียว เพราะไอ้ปีไปนั่งเคียงข้างคนขับ ซึ่งเป็นเจ้าของรถ
“กูไม่ได้ตื่นเต้นโว้ย แต่เล่นเกมดึกไปหน่อย” ไอ้ตรีตอบ แล้วมันก็หาวติดๆ กัน
“งั้นมึงนอนไปเถอะ” นุ่นหันไปบอกไอ้ตรี
“กูก็ง่วงเหมือนกันนะนี่” ฉันหาวบ้าง
“มึงง่วงก็นอนเลย เอาหัวพิงไหล่กูก็ได้” ยัยนุ่นพูดพร้อมตบบ่าตัวเอง
“โอ๊ยขืนกูพิงไหล่มึง คอกูหักพอดี” เพราะส่วนสูงของฉันกับยัยนุ่นมันแตกต่างกันมาก ฉันสูง 175 เซนฯ ส่วนยัยนุ่นสูงเพียง 156 เซ็นฯ เท่านั้น
“งั้นมึงไปพิงไอ้ตรีสิ” ยัยนุ่นบอก
“มันนอนเอนหลังขนาดนั้น จะไปพิงมันได้ยังไง”
“กูไม่เอนหลังก็ได้ ถ้ามึงจะพิง” ไอ้ตรีชะโงกหน้ามาบอก สีหน้ากระตือรือร้นจนน่าหมั่นไส้
“มึงนอนๆ ไปเถอะ กูนั่งหลับพิงพนักเบาะก็โอเคแล้ว” ฉันบอกพลางค้อนมันไปทีหนึ่ง ...เสนอตัวดีนักนะมึง
“ไอ้ปีขอเพลงที่มันคึกคักหน่อยได้มั้ย มึงเปิดเพลงบรรเลงทำนองชวนง่วงแบบนั้น ไอ้พัทก็หลับไปก่อนถึงชะอำหรอก” ฉันร้องบอกมัน
“เออ เดี๋ยวจัดให้” ไอ้ปีตอบรับ จากนั้นเพลงจังหวะสนุกๆ ก็ดังขึ้น ยัยนุ่นร้องคลอพร้อมโยกตัว แต่ฉันกลับไอ้ตรีดันหลับ ใช้เวลาราวสามชั่วโมงก็มาถึงชะอำ
ที่พักที่จองไว้เป็นบังกะโลสองห้องนอน ข้ามถนนไปก็ถึงทะเลแล้ว ฉันชอบที่พักเพราะเนื้อที่กว้างดี ต้นไม้เยอะร่มรื่น ที่สำคัญจุดขายของบังกะโลที่หลายๆ คนชอบก็คือเราสามารถทำอาหารกินเอง โดยเฉพาะปิ้งย่างได้อย่างสะดวกสบาย มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในการทำอาหารครบครัน เรามาถึงในตอนเที่ยงกว่าๆ สิ่งแรกที่ทำหลังจากแบกกระเป๋าเข้าบ้านพักก็คือการออกไปหามื้อเที่ยงกัน
สำหรับมื้อแรกของการมาถึง เรานั่งกินข้าวในร้านอาหารตามสั่งริมถนน ตั้งใจว่าจะจัดเต็มในมื้อค่ำ นั่งเก้าอี้ริมหาดชิลๆ พร้อมกับอาหารทะเลชุดใหญ่
เมื่อกินมื้อเที่ยงอิ่มเราก็เดินเล่นย่อยอาหาร และถ่ายรูปริมชายหาดเล็กน้อย อากาศเดือนพฤษภาฯ ก็ยังร้อนปรอทแตก เรากลับที่พัก จัดเก็บกระเป๋าก็กระโดดขึ้นเตียง ซึ่งในห้องนอนมีเตียงคิงไซซ์หนึ่ง และเตียงเดี่ยวอีกหนึ่ง ฉันกับยัยนุ่นจึงได้อยู่กันแบบสบายๆ ฉันคือคนที่ได้ครองเตียงใหญ่ เหตุผลคือฉันตัวยาวกว่ายัยนุ่ม แม้จะดูผอมเพรียวกว่าก็ได้เปรียบว่าฉันไม่ควรนอนเตียงเล็ก แม้ขาจะไม่เลยเตียงก็ตาม
“มึงนอนเตียงใหญ่ไปเถอะ กูไม่ชิ้นเตียงกว้าง นอนคนเดียวโหวงเวงว่ะ” นั่นคือเหตุผลของยัยนุ่น
“ไอ้ปีมันยังไง ตอนแรกบอว่าจะพาแฟนมาด้วย” ฉันเปรยเบาๆ
“นั่นสิ ถามมันแล้ว มันก็บอกน้องวิวไปเที่ยวกับครอบครัว”
“อือ คงเหมือนน้องรินของกูแหละ” พอคิดถึงน้องรินขึ้นมาฉันก็รู้สึกกระดากใจ เรื่องที่นอกกายไปนอนกับไอ้ตรี
“ถามจริงเก้า มึงแน่ใจนะว่าชอบผู้หญิงจริงๆ”
“ผู้หญิงอื่นไม่รู้ แต่กูชอบน้องรินจริงๆ” น้ำรินเป็นเด็กสาววัยย่างยี่สิบ ที่ทั้งหน้าตาสวยแนวน่ารัก จิตใจดี อ่อนโยน พูดเพราะ น้องรินเป็นทุกอย่างที่ตรงกันข้ามกับฉันจริงๆ เป็นเหมือนคนที่ฉันอยากเป็น แต่เป็นไม่ได้
“รักกับชอบมันไม่เหมือนกันนะมึง”
“กูก็รักน้องรินนะ” ก็เราจะไม่รักคนน่ารักและจิตใจดีได้ยังไงล่ะ
“แต่เรื่อง...เอ่อ รสนิยมทางเพศน่ะมึง แน่ใจนะว่านอนกับผู้หญิงด้วยกันได้” ยัยนุ่นถาม เพราะฉันเคยเล่าให้มันฟังว่าครั้งหนึ่งเกือบมีเซ็กซ์กับน้องริน แต่สุดท้ายทำไม่ได้ ไปได้แค่กอดจูบธรรมดา แต่ครั้นน้องรินลูบเนื้อตัวภายในเสื้อของฉัน ฉันกลับทำต่อไม่ได้
“กู...ไม่รู้สิ” จริงๆ อยากตอบว่าไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่อยากให้เพื่อนสงสัย กลัวเผลอพูดเรื่องที่ตัวเองนอนกับไอ้ตรี ถึงแม้คืนนั้นจะเกิดขึ้นแบบไม่ตั้งใจจะให้เกิด ถึงแม้จะรู้สึกผิดต่อเหตุการณ์นั้น แต่ฉันปฏิเสธไม่ได้ว่าเซ็กซ์ในค่ำคืนนั้นมันดีจริงๆ จนฉันรู้สึกโหยหาอยู่ลึกๆ
ฉันไม่แน่ใจว่านั่นเพราะมันเป็นเซ็กซ์ครั้งแรกของฉันหรือเปล่า เพราะฉันอาจติดใจเพราะเคยลิ้มรสของมัน ตามประสามนุษย์ธรรมดาที่ยังมีอารมณ์ทางเพศตามธรรมชาติ
หรือเพราะ...
ฉันไม่กล้าคิดต่อ
และบางทีก็มีคำถามที่ชวนสงสัยเกิดขึ้นกับตัวเอง ว่าหากคืนนั้นคนที่อยู่กับฉันเป็นคนอื่น เช่นน้องริน ไอ้ปีหรือไอ้พัท ฉันจะยังปลุกปล้ำพวกเขาเพื่อจะมีเซ็กซ์เหมือนที่ทำกับไอ้ตรีหรือเปล่า
“มึงก็คิดดีๆ นะเก้า เรื่องแบบนี้ละเอียดอ่อน อย่าปล่อยให้มันสายเกินไป เพราะน้องรินรักมึงมากนะ ถ้ามึงไม่สามารถคบน้องได้แบบคู่รัก มึงก็ควรบอกน้องรินตรงๆ”
“ทำไมมึงดูห่วงน้องรินจัง” ฉันถามเพื่อนสนิทอย่างสงสัย
“น้องรินเคยปรึกษากูเรื่องมึง เพราะมึงแค่กอดจูบกับน้อง แต่ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้นไง น้องคงสงสัยว่ามึงคิดยังไงกับเขากันแน่ แต่กูก็เชื่อนะว่ามึงรักน้องรินจริงๆ น้องเขาก็รู้สึกได้ แต่ถ้ามึงไม่ใช่มีรสนิยมทางเพศเดียวกันกับน้อง มันจะไม่ทำร้ายจิตใจน้องเขาเหรอวะ และมึงเคยมีแฟนเป็นผู้ชายมาก่อน ถึงมึงจะไม่เคยถึงขั้นนอนกัน แต่มึงต้องรู้นะว่าคนเป็นแฟนกัน คบกันนานๆ เรื่องเซ็กซ์มันก็ต้องมีเปล่าวะ ถ้ามึงไม่สามารถทำได้ น้องเขาก็สงสัยเป็นธรรมดา”
“เอ่อ กูรู้ เดี๋ยวกูจะลองดู” ฉันคิดมาตลอดว่าตัวเองเป็นไบฯ ที่สามารถรักได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แต่เรื่องการมีเซ็กซ์นั่น ฉันเริ่มไม่แน่ใจจริงๆ
“ลองนอนกับน้องรินน่ะนะ”
“อือ...” เพราะฉันเองก็อยากรู้ว่า หลังจากนอนกับไอ้ตรีแล้ว ฉันสามารถนอนกับน้องรินได้หรือไม่
“ผลเป็นไงบอกกูด้วย”
“ดูมึงอยากรู้มากเลยนะ” ฉันประชด ยัยนุ่นหัวเราะคิกคัก
จากนั้นเราก็คุยกันเรื่องอื่นๆ กระทั่งผล็อยหลับไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้
ตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงโวยวาย หัวเราะ ก่นด่ากันมาจากด้านนอก แว่วๆ ว่ามีคนเล่นเกมแพ้
“โอ๊ย ไอ้พวกเวรเสียงดัง” ยัยนุ่นพึมพำงัวเงีย แล้วเปิดประตูโผล่หน้าออกไป
“พวกมึงเสียงดังเกิ๊น”
“เอ่อ มึงกับไอ้เก้าจะได้ตื่นไง นี่มันบ่ายสามครึ่งแล้วนะโว้ย ไปชายหาดกันเถอะ ถ้าใครจะเล่นน้ำก็เตรียมเสื้อผ้าไปด้วย เพราะจะนั่งชิลริมทะเลถึงค่ำเลยนะโว้ย” ไอ้ปีบอก
“เอ่อๆ” ยัยนุ่นปิดประตูห้อง
“แต่มึงกับไอ้เก้าไม่ต้องขนาดบิกินี่นะโว้ย กูขี้เกียจเป็นตากุ้งยิง” ไอ้ปีปากปีจอตะโกนไล่หลัง
“คนเยอะขนาดนี้ใครจะกล้าใส่บิกินี่วะ” ยัยนุ่นพึมพำ ขณะเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำ จากนั้นก็หยิบเสื้อผ้าใส่กระเป๋าใบเล็กอีกชุด
“มึงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว” มันหันมาบอกฉัน ที่ยังง่วงๆ แต่ก็ต้องจำใจลุก
ฉันกับยัยนุ่นใส่ขาสั้นกับเสื้อยืดธรรมดา แค่นี้ก็เล่นน้ำได้สบาย เดินเล่นชายหาดแบบไม่ต้องกลัวโป๊ แค่ใส่บิกินี่แทนชุดชั้นในเท่านั้นเอง
พอถึงไปชายหาดเราก็ได้โต๊ะที่ต้องการ ห่างจากโต๊ะอื่นๆ อยู่มาก เพราะเกิดเสียงดัง ทั้งจากร้องเพลงเล่นกีตาร์ หรือพูดคุย โวยวายกันตามประสาเพื่อนจะได้ไม่รบกวนคนอื่น
หลังจากได้โต๊ะฉันกับนุ่นและไอ้ตรีก็เดินไปดูอาหารสดจากทะเล เราต่างเลือกสิ่งที่อยากกิน ทั้งหอย ปู กุ้ง และยำไข่แมงดา และอาหารตามสั่งอื่นๆ
“เฮ้ยๆ ไอ้ตรี มึงเพลาบ้าง สั่งเยอะไปมั้ย” ฉันเบรกมันไว้ เพราะสั่งเยอะเกินลิมิต
“ไม่เป็นไร ถ้ามันเกินคนละสามร้อยบาท กูจ่ายเอง” มันบอก เหมือนลืมไปแล้วมั้งว่าตัวเองไม่มีเงินจ่ายค่าหอ ถึงต้องระเห็จไปขอพักอยู่กับฉัน
จากนั้นมันก็หันไปสั่งของกินต่อ เท่านั้นยังไม่พอ มันก็ข้ามถนนไปร้านสะดวกซื้อ ซื้อของกินเล่น รวมทั้งเครื่องดื่มต่างๆ ด้วย สรุปของกินเต็มโต๊ะ จนแทบไม่มีใครเล่นน้ำทะเล เพลิดเพลินกับการกินอย่างเดียวเลยทีนี้
“ไอ้เก้า มึงไปตั้งกล้องถ่ายรูปกลุ่มหน่อยสิ” ไอ้พัทบอก แน่นอนในแก๊งเรา ฉันเป็นคนที่ถ่ายรูปดีที่สุด
ฉันจึงหยิบโทรศัพท์มือถือที่เน้นถ่ายรูปสวยไปวางบนขาตั้งกล้อง จัดมุมที่จะถ่ายคนทั้งกลุ่มได้อย่างสวยๆ
ขณะจัดมุมอยู่นั้น ไอ้ปีปากปีจอก็เอ่ยขึ้น
“ขาไอ้เก้ายาวไปถึงสุไหงโกลกเลยมั้งเนี่ย ส่วนขายัยนุ่นยาวนั้น...”
“แดกนี่เลยมึง” ไอ้ปียังพูดไม่จบประโยค ยัยนุ่นก็ยัดกุ้งเผาที่เพิ่งแกะเสร็จเข้าปากของมัน
เรื่องขาสั้นขายาวของฉันกับยัยนุ่น ไอ้ปีมันล้อทุกครั้งที่เห็นฉันกับยัยนุ่นใส่กางเกงขาสั้น
ฉันจึงไม่ได้สนใจคำพูดของมันมากนัก แต่รู้สึกแปลกๆ ยามที่ไอ้ตรีชำเลืองมองขาฉันแล้วมันยิ้มน้อยๆ ไม่รู้มันคิดอะไรอยู่ แต่ฉันดันเห็นภาพตัวเองในคืนนั้น ยามที่ฉันสองขารัดสะโพกของมันไว้แน่นตอนที่มันขยับสะโพกเข้าหาร่างฉันเป็นจังหวะ จังหวะที่ไม่ต่างจากคลื่นกระทบฝั่งในตอนนี้
“ยืนเหม่ออยู่นั่นแหละ จะได้ถ่ายรูปกันมั้ย” เสียงไอ้พัทดังขึ้น กระชากฉันออกจากมาจากภาพในคืนนั้น
“เออ ได้ถ่ายแน่” เมื่อได้มุมที่สามารถถ่ายได้ครบแก๊ง ฉันก็ตั้งเวลาถ่ายไว้ จากนั้นฉันก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้ของตัวเอง
ไม่กี่วินาทีต่อมาพวกเราก็ส่งยิ้มและส่งเสียงเฮ เพื่อจะได้ภาพที่บ่งบอกว่าวันนี้พวกเราได้ใช้เวลาร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปเติบโตในเส้นทางของตัวเอง
กิน ดื่ม พูดคุย ทะเลาะ และร้องรำทำเพลงไปตามเรื่อง กระทั่งถึงตอนที่ไอ้ตรีเล่นกีตาร์
สาวๆ ที่เพิ่งมานั่งโต๊ะข้างๆ มองมันพร้อมกระซิบกระซาบ แถมยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปมันอีก
“โห ไอ้ตรี มึงนี่ไปที่ไหนก็กลายเป็นจุดเด่นตลอด แถมยังมาถอดเสื้อโชว์รอยสักรูปพี่สิงห์และซิกแพ็กอีก” ไอ้ปีบ่นอย่างไม่จริงจังนัก
“มึงนี่นะ ถึงไม่อยากเป็นดารา แต่ก็เหมือนดารา ไปที่ไหนก็เรียกสายตาสาวๆ ได้ตลอด”
ไอ้ปียังไม่หยุดบ่น ซึ่งมันเป็นเรื่องจริง ที่ไอ้ตรีมันเป็นคนดึงดูดสายตาของผู้หญิงหรือคนทั่วไปได้ดี เพราะหน้าตา บุคลิกที่โดดเด่นของมัน แต่มันก็เป็นคนแปลก พอมีคนชวนเข้าวงการมันกลับปฏิเสธ ด้วยเหตุผลอยากเป็นคนธรรมดา ไม่ได้อยากเป็นจุดสนใจของใคร
แม้เพื่อนๆ จะยุว่าเป็นดาราได้เงินเยอะ ถึงขั้นร่ำรวยถ้ามีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จ มันก็ไม่สนใจ ทั้งที่ทุกวันนี้มันก็ร้องเพลงเล่นดนตรีในผับเพื่อหาเลี้ยงชีพ การได้เข้าวงการน่าจะดีกับอาชีพของมัน มันก็ไม่สนใจอีก
ดูมันเป็นคนไม่กระตือรือร้นกับเรื่องพวกนี้ ทั้งที่ไม่มีเงินแม้แต่จะจ่ายค่าหอด้วยซ้ำ แต่...ดันมีเงินซื้อของกินมาเต็มโต๊ะ ไหนจะเบียร์กระป๋องตั้งหลายแพ็ก
มันชักจะยังไงอยู่นะ
"""""""""""""""