สิ้นเสียงของทหารองครักษ์ เป่าหลิงรีบเพ่งสายตามองอาภรณ์ที่อยู่บนเรือนร่างคุณหนูในทันที กำลังจะอ้าปากก็ได้ยินน้ำเสียงราบเรียบสายหนึ่งหลุดออกมา
“ไม่เป็นไร ปล่อยไว้เช่นนี้เถิด”
“คุณหนูรีบเปลี่ยนเถิด”
“จู่ๆ เขาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ ย่อมหมายความว่าทุกเรื่องราวที่เราสองคนกระทำนั้นหาได้เล็ดลอดสายตาเขาไปได้ไม่”
สีหน้าของเป่าหลิงซีดเผือดลงยิ่งกว่าเดิม “หมายความว่า...”
เฉินหว่านอิงฝืนยิ้ม แววตาสีหน้าในยามมองออกไปด้านนอกสงบนิ่งยิ่งนัก สูดหายใจทีหนึ่งก็ยกชายกระโปรงแล้วเดินตรงไปยังประตู กำลังจะออกแรงเปิดแต่เสี่ยวหลิงรีบร้อนแย่งเปิดเสียก่อน นางจึงทำได้เพียงก้าวออกไปเผชิญหน้ากับผู้มาเยือน
ด้านหลังของเขาไม่มีทหารองครักษ์หน้าตาขึงขัง มีเพียงบุรุษชุดดำผู้หนึ่ง หากเดาไม่ผิดคงเป็นผู้ติดตามใกล้ชิดกระมัง เหลือบมองเพียงเล็กน้อยนางพลันหลุบตาไม่กล้ามองแม้กระทั่งชายอาภรณ์ที่อยู่บนร่างของบุรุษผู้ขึ้นชื่อว่าเป็นพระสวามี ถึงแม้ภายในใจลึกๆ จะไม่ยอมรับตำแหน่งของเขาทว่าด้วยฐานะนางก็ยังต้องปฏิบัติตามธรรมเนียมอยู่ดี
“เฉินหว่านอิง คารวะองค์ชายห้า”
ท่าทีของสตรีตรงหน้าทำเอามุมปากของอู่ซีเจิ้งโค้งสูง แต่เพียงครู่เดียวก็ราบเรียบ แม้กระทั่งแววตายังนิ่งสงบไม่น้อย
องค์ชายผู้สูงส่งเดินผ่านสตรีผู้มีฐานะเป็นพระชายาของตนไป ประทับบนเก้าอี้ถึงได้ส่งเสียงออกมา “พระชายาของข้าหาต้องมากธรรมเนียมเพียงนั้น เจ้าลุกขึ้นเถิด”
ในใจของคุณหนูสามสกุลเฉินผุดคำด่าออกมาคำหนึ่ง หลังจากนั้นจึงปล่อยให้เสี่ยวหลิงประคองตนลุกขึ้น ครั้งนี้ไม่มีการหลุบตามองต่ำอีก นางกล้าหาญถึงขั้นจับจ้องใบหน้าคมคายของเขา
นับตั้งแต่อยู่แคว้นหาน กระทั่งขึ้นรถม้ามายังแคว้นเหลียง นางผู้ตกอยู่ในฐานะสตรีบรรณาการไม่เคยนึกสนใจใคร่รู้เกี่ยวกับบุรุษผู้เป็นพระสวามีของตนเลยด้วยซ้ำ เพราะรู้แก่ใจดีต่อให้ องค์ชายห้าจะขี้ริ้วขี้เหร่ไร้แขนขา มีใบหน้าแววตาน่าหวาดหวั่นเพียงใดก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตนได้ บัดนี้พอเห็นกับตาว่าเขาแขนขาครบ ใบหน้าหล่อคม แววตาเคร่งขรึมราวกับธารน้ำลึก สิ่งหนึ่งที่รู้สึกได้ก็คือโล่งใจ ส่วนภายภาคหน้าเรื่องราวระหว่างนางกับเขาจะเป็นเช่นไรก็ให้เป็นไปเถิด มาถึงขั้นนี้ไม่มีสิ่งใดต้องหวาดหวั่นอีก
เห็นนางยืนอยู่ตรงหน้าด้วยท่าทีนิ่งสงบเพียงนั้น ดวงตาทั้งสองข้างยิ่งคล้ายกับหลุมลึกไร้ก้นบึ้งมากขึ้นทุกที ปล่อยให้บรรยากาศภายในห้องโถงพิลึกพิลั่นอยู่ชั่วอึดใจหนึ่งถึงได้เอ่ยปาก “เหตุใดชายารักถึงสวมเสื้อผ้าชุดนั้นเล่า” ยังไม่ทันจะได้ยินคนงามตอบคำก็โพล่งออกมาอีก “แต่งกายเช่นนี้เจ้าลอบออกจากตำหนักพำนักใช่หรือไม่”
เฉินหว่านอิงไม่มีท่าทีตื่นตระหนกแม้แต่น้อย นางยืนนิ่งตอบคำด้วยน้ำเสียงฉะฉาน “ถึงแม้หม่อมฉันจะเป็นบุตรสาวของขุนนางใหญ่แห่งแคว้นหาน แต่เพราะบิดาเป็นขุนนางตงฉินเงินทองที่นำมาจุนเจือครอบครัวมีเพียงเบี้ยเลี้ยงตามฐานะแต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ยากลำบากเท่าใดนัก เมื่อหม่อมฉันได้รับพระราชโองการให้เป็นสตรีบรรณาการ บิดากับมารดานำเงินกับสมบัติจำนวนหนึ่งมอบให้ติดตัว ภายหลังจากเข้าพิธีสมรสกับพระองค์หม่อมฉันได้รับเบี้ยเลี้ยงเพียงเดือนเดียว อาหารการกินที่นี่ล้วนต้องหาเองทั้งนั้น อยู่ได้ไม่ถึงครึ่งปีก็ผลาญสมบัติที่ติดตัวมาจนเกือบหมด ที่อยู่ได้เป็นเพราะการเลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา ปลูกผัก ลักลอบขนพืชพันธุ์เหล่านี้ออกไปฝากยายสี่ขายแบ่งกำไร หม่อมฉันแต่งกายเช่นนี้เป็นเพราะเพิ่งออกไปซื้อเมล็ดพันธุ์ผักกับข้าวของจำเป็นมา หากองค์ชายเห็นว่าหม่อมฉันกระทำความผิดร้ายแรงก็ทรงลงโทษเถิด สตรีที่ไร้สามีให้พึ่งพิงอย่างหม่อมฉันยินดีรับโทษทัณฑ์แต่โดยดี”
อย่าว่าแต่เสี่ยวหลิงที่ขาอ่อนทรุดลงไปกองกับพื้นเลย แม้กระทั่งแผ่นหลังของมู่ห้าวชงยังอาบไปด้วยเหงื่อเย็นๆ เพราะไม่นึกฝันว่าคุณหนูผู้ถูกเลี้ยงดูในห้องหับอย่างเฉินหว่านอิงจะกล้าบอกเล่าถึงความทุกข์ยากของตน หนำซ้ำยังไม่ลืมคาดโทษผู้เป็นนายเหนือหัวของเขาอีก พระชายาทำเช่นนี้มิกลัวองค์ชายของเขาจะพิโรธหรอกหรือ
“เจ้าขายผักขายปลาได้เท่าไหร่เล่า”
“ขายมาเจ็ดครั้ง ได้เงินทั้งหมดเจ็ดตำลึงกับสามร้อยอีแปะ ใช้จ่ายประทังชีวิตเหลืออยู่ไม่ถึงสามตำลึงเพคะ”
“เหลือเงินเพียงเท่านี้เอง หากข้าไม่มาเจ้าจะใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างไร”
“หม่อมฉันตั้งใจว่าจะลอบเข้าเมืองหลวง นำเครื่องประดับที่ติดตัวมาไปจำนำ ของเหล่านั้นมีค่าไม่น้อยคงได้หลายร้อยตำลึง หากองค์ชายทรงทิ้งหม่อมฉันไว้ที่นี่ หม่อมฉันจะลอบออกไปใช้ชีวิตเฉกเช่นหญิงชาวบ้าน ด้วยจำนวนเงินเท่านี้คงมากพอให้หม่อมฉันกับเสี่ยวหลิงมีชีวิตไม่ลำบากนัก”
แม้ฟังแล้วจะรู้สึกเดือดดาลอยู่บ้าง แต่สตรีอย่าง เฉินหว่านอิงกลับเรียกความสนใจจากเขาได้ไม่น้อย ทว่าหญิงผู้นี้คิดง่ายไปหน่อยหรือไม่ ฮ่องเต้แคว้นหานกับแคว้นเหลียงมีหรือจะปล่อยให้นางทำอย่างใจต้องการ
สุดท้ายก็มีเพียงสีหน้าดุขรึมกับเสียงทุ้มที่กดต่ำหลุดออกมา “เจ้าล้มเลิกความคิดเหล่านั้นไปเสีย พระชายาเอกของข้าจะกลายเป็นหญิงชาวบ้านปลูกผักเลี้ยงปลาได้อย่างไร”
สิ่งที่องค์ชายห้าตรัสออกมาแน่นอนว่าสร้างความปวดร้าวภายในใจของเฉินหว่านอิงไม่น้อย ทั้งๆ ที่เขาจำได้ว่ายังมีพระชายาเอกอย่างนางแต่ไม่เคยปรากฏตัวให้เห็นเลยสักครั้ง ผ่านมาหนึ่งปีกลับมาเอ่ยปากหักห้ามไม่ให้ทำโน่นทำนี่
“ไม่ว่าองค์ชายจะทรงคิดเช่นไร หม่อมฉันก็กลายเป็นสตรีปลูกผักเลี้ยงปลาไปแล้ว”
“เฉินหว่านอิง!”
ครั้งนี้แม้แต่มู่ห้าวชงยังคุกเข่า หางตาเหลือบมองแผ่นหลังพระชายาผู้ดื้อรั้นแล้วรีบประสานมือคำนับ หลังจากนั้นก็รีบหาทางช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว “พระชายา องค์ชายทรงรีบร้อนเดินทางไม่หยุดพักมาสิบกว่าชั่วยาม พระชายาทรงปรนนิบัติองค์ชายพักผ่อนก่อนเถิด” กล่าวเพียงนั้นก็รีบคว้าตัวสาวใช้ตัวน้อยออกไป ปิดประตูห้องโถงได้ก็ยืนตีหน้าขึงขังเฝ้าประตูอยู่อย่างนั้น
ทางด้านสาวใช้ของพระชายาน่ะหรือ กำลังเดินไปเดินมา ท่าทีร้อนรนนัก
“เจ้าคว้าตัวข้าออกมาทำไม”
“ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นเพียงบ่าว เรื่องบางเรื่องหาควรข้องเกี่ยวไม่”
“แต่คุณหนูของข้า...” เสี่ยวหลิงมองประตูที่ปิดสนิทด้วยตาแดงๆ “คงไม่ถูกองค์ชายฆ่าตายใช่หรือไม่”
มู่ห้าวชงยกยิ้ม “องค์ชายหาได้โหดร้ายเพียงนั้น พระองค์ไม่มีทางสังหารสตรีของตนหรอก”
เป่าหลิงอ้าปากอยากคัดค้านเพราะหลายเดือนมานี้ตนกับคุณหนูต้องลำบากไม่น้อย หากองค์ชายห้าใจดีมีเมตตาย่อมรับพวกนางนายบ่าวเข้าจวน หาใช่ส่งมาอยู่ตำหนักร้างห่างไกลเช่นนี้ อีกอย่างไม่รู้แท้จริงแล้วพระองค์กำลังคิดการณ์สิ่งใดกันแน่
หนึ่งปีมานี้ไม่เคยปรากฏตัวเลยสักครั้ง แต่จู่ๆ กลับโผล่มาพร้อมออกคำสั่งหักห้ามมากมาย ดูท่าหากคุณหนูหวนคืนสู่ฐานะพระชายาเอกชีวิตคงไร้ซึ่งความสงบอย่างแท้จริงเป็นแน่
อย่าว่าแต่สาวใช้ที่กำลังสงสัยเช่นนั้นเลย แม้กระทั่ง เฉินหว่านอิงเองก็ยังแปลกใจไม่น้อย นางอยากรู้ยิ่งนักว่าเหตุใดพระสวามีผู้สูงส่งถึงมาปรากฏตัว ณ ตำหนักห่างไกลแห่งนี้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังรู้ตัวว่าควรปฏิบัติตนเช่นไร สถานการณ์เช่นนี้ไม่เหมาะกับการทวงถามคำตอบแม้แต่น้อย
จึงทำเพียงรินน้ำชาอุ่นร้อนให้ถ้วยหนึ่ง หลังอีกฝ่ายดื่มลงคอแล้วก็ได้เห็นสีหน้าจืดเจื่อนของเขา ยามได้ยินว่านางปลูกผักเลี้ยงไก่สีหน้าของเขาไม่เคยแปรเปลี่ยนแม้แต่น้อย แต่พอดื่มชาเก่าที่นำติดตัวมาตั้งแต่แคว้นหานไปอึกเดียวกลับมีท่าทีเปลี่ยนไป คนผู้นี้แม้จะไม่รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้แคว้นเหลียงเท่าใดนัก ทว่าก็ยังใช้ชีวิตอย่างสุขสบายสมฐานะสายเลือดราชวงศ์
“เหมาะหม่อมฉันไม่มีเงิน จึงยังดื่มชาเก่าของปีก่อนอยู่” เอ่ยปากแล้วก้มมองสภาพเสื้อผ้าของตนเองพลางยอบกาย “พระองค์จิบชารอหม่อมฉันสักอึดใจหนึ่งเถิด”
เห็นอีกฝ่ายก้มมองชุดที่ยังอยู่บนร่างอู่ซีเจิ้งก็รู้ว่านางจะทำสิ่งใด จึงโบกมือเพียงเล็กน้อย ส่วนน้ำชาที่ให้ดื่มรอนั้นถูกวางทิ้งไว้บนโต๊ะด้านข้าง สายตาของเขาสนใจข้าวของที่วางอยู่บนโต๊ะตรงมุมห้อง ตรงนั้นคล้ายจะมีใบชาที่เพิ่งซื้อมากับผ้าอีกหลายพับ ดูจากเนื้อผ้าแล้วเทียบไม่ได้กับผ้าที่สาวใช้ในจวนขุนนางสวมใส่ด้วยซ้ำ ดูท่านับตั้งแต่แต่งให้เขาหญิงผู้นี้ลำบากไม่น้อย ทว่าสตรีอย่างเฉินหว่านอิงเป็นเช่นไรกันแน่ ทั้งๆ ที่สามารถโวยวายเรียกร้องความเป็นธรรมในฐานะพระชายาผู้หนึ่งได้ แต่นางกลับเก็บตัวเงียบ
พอมองเห็นนางอยู่ในเสื้อผ้าสะอาด แม้จะเก่าซีดไปสักหน่อยแต่ก็ดีต่อสายตากว่าชุดหญิงชาวบ้านมากนัก สีหน้าของ อู่ซีเจิ้งจึงไม่เคร่งขรึมเฉกเช่นก่อนหน้าเท่าใดนัก
ครั้นถูกสายตาคู่นั้นทอดมอง เฉินหว่านอิงพลันโพล่งออกมา “เสื้อผ้าของหม่อมฉันคงทำลายพระเนตรขององค์ชายไม่น้อย ขออภัยด้วยเพคะเพราะหม่อมฉันไม่มีเงิน จึงต้องสวมชุดเก่า รอให้หม่อมฉันกับเสี่ยวหลิงตัดชุดใหม่ คงไม่ทำให้ระคายเคืองสายตาขององค์ชายอีก” ว่าพลางเร่งฝีเท้าไปจัดเก็บข้าวของที่เพิ่งซื้อมาอย่างรีบร้อน เห็นกล่องใบชาก็รีบซุกซ่อนทันที แต่เกรงว่าคงช้าไปเสียแล้ว
นี่คงเป็นครั้งที่สองที่หญิงผู้นี้ย้ำเตือนว่าไม่มีเงิน รับรู้ถึงจุดประสงค์ของนางแล้วแววตาคมเข้มยิ่งล้ำลึกมากขึ้น
“หากเจ้าลำบากมากนัก ข้ารับเจ้ากลับไปอยู่จวนจิ้นฝูด้วยกันเป็นอย่างไร”
มือขาวนวลราวกับต้นหอมถึงกับหยุดชะงักทันที หลังสูดหายใจลึกยาวก็สามารถให้คำตอบได้ “ในเมื่อความตั้งใจแรกคือส่งสตรีต่างแคว้นอย่างหม่อมฉันมาอยู่ที่นี่ เหตุใดวันนี้องค์ชายถึงคิดเปลี่ยนความตั้งใจแรกของตนเล่า”
“อาจเป็นเพราะอ๋องห้าสถาปนาตนขึ้นครองแคว้นหานแล้วกระมัง”
แม้สีหน้าแววตาของเฉินหว่านอิงยังคงเรียบเฉย แต่ภายในใจกลับเจ็บปวดนัก ที่แท้นางถูกทอดทิ้งเพราะไร้ประโยชน์ พอท่านลุงขึ้นปกครองแคว้นหาน ท่านป้าของนางเป็นสตรีคู่พระทัย บุรุษผู้นี้ก็เร่งเดินทางออกจากเมืองหลวง ดูท่าเขาคงหาหนทางใช้งานสตรีบรรณาการอย่างนางได้แล้ว เมื่อคาดเดาถึงจุดมุ่งหมายของเขา ในคอพลันรู้รสฝาดขม