เมื่อมีแผนการในใจ ย่างเข้ายามไฮ่ในวันเดียวกันก็ปรากฏเงาร่างสีดำสองสายลอบออกจากจวนจิ้นฝู ลัดเลาะผ่านเส้นทางคับแคบรอบกำแพงเพียงชั่วลมหายใจก็กระโจนขึ้นหลังม้าออกจากเมืองหลวงมุ่งสู่ทิศใต้ด้วยความรีบเร่ง ทหารเฝ้าประตูเมืองเห็นเพียงตราหยกขาวชิ้นหนึ่งที่ห้อยอยู่ข้างเอวของคนบนหลังม้าเท่านั้น พอม้าทั้งสองตัวถูกควบขี่ออกไปไกลถึงได้หันมาประสานมือคำนับพลางถาม “ประตูเมืองใกล้ปิดแล้ว เหตุใดใต้เท้าถึงปล่อยคุณชายทั้งสองออกไปเล่า”
อีกฝ่ายตบบ่าข้างหนึ่ง “เจ้าคิดว่าสองคนนั้นเป็นเพียงคุณชายธรรมดาทั่วไป?”
“ไม่ใช่หรือขอรับ” มองทิศทางนั้นอีกครั้งพลันไร้เงาร่างของคนทั้งคู่ แม้แต่ฝุ่นควันยามดึกยังไม่ปรากฏให้เห็น
“เจ้าคงเพิ่งมาใหม่สิท่า”
“มาได้สองวันแล้วขอรับ”
“จำไว้ หากเห็นคนแขวนหยกแบบนั้นให้รีบปล่อยไปทันที อย่าถามให้มากความ”
“เหตุใด?”
ใต้เท้าเฝ้าประตูไม่ตอบคำ ทำเพียงปรายตามองไปยังทิศที่ตั้งของเมืองหลวง พอเห็นสายตาของนายท่านทหารเฝ้าประตูชั้นน้อยถึงกับปาดเหงื่อ แม้ตนจะเป็นคนต้อยต่ำแต่รู้เรื่องภายในเมืองหลวงไม่น้อย
ดังนั้นต่อให้ใต้เท้าไม่บอกก็รู้ว่าผู้พกตราหยกขาวชิ้นนั้นมีฐานะสูงส่งเพียงใด หากเดาไม่ผิดน่าจะเป็นองค์ชายพระองค์หนึ่งกระมัง ว่าแต่...องค์ชายมีเรื่องร้อนใจอันใดถึงได้รีบออกจากเมืองหลวงในยามวิกาลเช่นนี้
พอจะอ้าปากถามอีก กลับถูกใต้เท้าผู้นั้นทำท่าปาดคอ ท่าทีเช่นนี้ทำให้ทหารเฝ้าประตูรีบเก็บปากเก็บคำโดยไว จะว่าไปแล้วเรื่องราวเกี่ยวกับผู้คนในราชวงศ์รู้มากเกินไปหาใช่ดี
ส่วนผู้ควบอาชาสีดำตัวใหญ่ออกจากเมืองหลวงอย่างเร่งรีบ ยังคงไปตามเส้นทางที่มุ่งตรงสู่ตำหนักลืมเลือน
ท่ามกลางความมืดมิด บางคราแว่วเสียงหวดม้า บางคราได้ยินเสียงสัตว์ป่ากรีดร้อง สลับสับเปลี่ยนกันไปเช่นนี้อยู่หลายชั่วยาม กระทั่งยามเว่ยของวันใหม่อาชาสองตัวก็ถูกมัดไว้ตรงจุดพักม้าที่ห่างจากตำหนักแห่งนั้นไม่ไกลนัก เดินทางเพียงหนึ่งก้านธูปย่อมเข้าเขตหมู่บ้านชานเมืองที่แวดล้อมตำหนักประทับของพระชายาแล้วกระมัง
คงเป็นเพราะหนึ่งปีมานี้เฉินหว่านอิงใช้ชีวิตของตนอย่างเรียบง่ายจนเกินไป นางแทบลืมไปแล้วว่าสิ่งที่ครอบอยู่บนศีรษะเป็นตำแหน่งพระชายาเอกขององค์ชายห้าแห่งแคว้นเหลียง ลืมสิ้นว่าตนก็เป็นสตรีคนหนึ่งในราชวงศ์อู่เช่นกัน
สาเหตุที่ทำให้นางลืมเลือนย่อมมาจากการไม่เคยพบหน้าสามีผู้นั้น ไม่เคยแม้กระทั่งเฉียดกายเข้าใกล้จวนหรือวังหลวงที่ประทับของพ่อแม่สามี
เดินทางรอนแรมไกลจากแคว้นหาน มาถึงเมืองเหลียงโจวยังไม่ทันได้นั่งพักก็ต้องถอดอาภรณ์ที่ใส่ติดกายเปลี่ยนมาเป็นชุดเจ้าสาวสีแดงฉาน แต่งหน้าทาแป้ง เกล้าผมเสร็จก็ถูกส่งขึ้นเกี้ยว รู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ที่นี่แล้ว ดังนั้นคงไม่ผิดกระมังที่นางจะไม่ใส่ใจการแต่งงาน และย่อมไม่ผิดหากภายภาคหน้าจะไม่ข้องเกี่ยวกับผู้คนในราชวงศ์
บางทีปลูกผัก เลี้ยงปลาขายไปอีกสักสองสามปี อาจมีเงินพอตั้งตัวได้
หากเป็นเช่นนั้นการย้ายออกจากที่นี่ไปใช้ชีวิตเฉกเช่นหญิงชนบททั่วไปคงไม่ยากลำบากนัก ทว่าตอนนี้แม้บรรดาทหารเฝ้าตำหนักจะไม่เข้ามาวุ่นวายแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะปล่อยออกไปจากที่นี่ง่ายๆ เพราะถึงอย่างไรนางก็เป็นถึงพระชายาขององค์ชายผู้หนึ่ง
เห็นสีหน้าของคุณหนูไม่สู้ดี เป่าหลิงมองถุงเงินในมือตนพลางยิ้ม
“รอบนี้ยายสี่ให้ค่าปลากับผักมาสองก้วนกับอีกสิบอีแปะ รวมกับเงินที่เก็บได้อีกห้าตำลึง เราพอมีเงินซื้อผ้าหลายพับแล้ว ถ้ายังไงพวกเราออกไปซื้อของที่ตลาดดีหรือไม่”
เฉินหว่านอิงมองกล่องเครื่องประดับที่ซุกไว้ใต้หมอนเพียงเล็กน้อยก่อนจะบ่นพึมพำออกมา “ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสเข้าเมืองบ้างหรือไม่”
“คุณหนูจะเข้าเมืองทำไมหรือเจ้าคะ”
“อยู่ที่นี่เครื่องประดับพวกนั้นไม่จำเป็นต้องใช้ หากเอาไปแลกเป็นเงินคงได้หลายร้อยตำลึง นำเงินเหล่านั้นมาซื้อที่ดินสักผืนในหมู่บ้าน ปลูกผักเลี้ยงปลา เจ้าว่าดีหรือไม่”
ถุงเงินในมือของเป่าหลิงร่วงหล่น เงินหลายอีแปะกลิ้งจนตะครุบไม่ทัน ทั้งปากทั้งตาอ้าค้าง “คุณหนู...คิดเรื่องนั้นได้ยังไงเจ้าคะ”
“เหตุใดจะไม่ได้เล่า”
เป่าหลิงรีบมองไปรอบๆ ดีหน่อยที่ทหารเฝ้าตำหนักอยู่ในเขตชั้นนอก ไม่มีผู้ใดกล้าเดินตรวจตราแถวนี้ “เรื่องเลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา ปลูกผักในตำหนักแห่งนี้อาจมีโทษไม่มากนัก แต่การออกไปหาที่ดินทำกินใช้ชีวิตเรียบง่ายนั้นคงเป็นไปไม่ได้ คุณหนูท่านล้มเลิกความคิดนี้เสียเถอะ”
“เจ้ากับข้า จะหนีออกไปจากที่นี่ไม่ได้เลยหรือ”
หน้าเสี่ยวหลิงหดลงเหลือเพียงสองนิ้ว รู้สึกทั้งเห็นใจทั้งสงสารคุณหนูของตน
หญิงงามผู้หนึ่งได้ชื่อว่าเป็นถึงพระชายาเอกขององค์ชายแห่งแคว้นเหลียงแต่กลับไม่เคยพบหน้าสามีของตนจะอย่างไรก็คงเจ็บปวดไม่น้อย
“ชีวิตของคุณหนู มิใช่ของคุณหนูเพียงผู้เดียว แต่ยังเกี่ยวพันถึงแคว้นหานด้วย หากจู่ๆ พวกเราหนีไปสองแคว้นมิบาดหมางกันหรอกหรือ ถ้าหากมีการทำศึกสงครามขึ้นมา คนเดือดร้อนย่อมเป็นชาวบ้านกับเหล่าทหารทั้งหลาย คุณหนูยอมมาที่นี่มิใช่เพราะต้องการปกป้องชาวเมืองเหล่านั้นหรอกหรือ”
“หมายความว่าข้า...ต้องอยู่ที่นี่ตลอดไปใช่หรือไม่”
“บางทีหากได้พบองค์ชายห้าสักครั้ง แล้วอ้อนวอนขอให้องค์ชายมอบหนังสือหย่าให้ เรื่องราวอาจไม่ลุกลามใหญ่โตก็เป็นได้”
“เขาจะยอมหย่ากับข้า?”
“แต่ว่า...การแต่งงานของคุณหนูเกิดเพราะการตกลงของสองแคว้น หากหย่าขาดกันขึ้นมาจริงๆ...ผลลัพธ์ก็คงไม่ต่างจากการหนี”
“ถ้าเขาหย่าให้ข้าเงียบๆ เล่า ไม่ปล่อยให้ผู้อื่นรู้ เช่นนี้ทำได้หรือไม่”
แววตาของเสี่ยวหลิงเศร้าสร้อยลงกว่าเดิม “จะหย่าขาดได้อย่างไร ในเมื่อผ่านมานับปีคุณหนูยังไม่เคยพบหน้าองค์ชายเลยสักครั้ง”
“นั่นสินะ” เอ่ยปากได้เพียงเท่านั้น เฉินหว่านอิงก็ไม่กล้าขบคิดเรื่องหย่าขาดกับองค์ชายแห่งแคว้นเหลียงอีก ในเมื่อเป็นเช่นนี้สิ่งที่ทำได้คงมีเพียงใช้ชีวิตเรียบง่ายเฉกเช่นที่เป็นอยู่ไปเรื่อยๆ หวังว่าจากนี้อีกสองสามปีคงไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง
เสี่ยวหลิงมองคุณหนูของตนทีหนึ่ง ข่มความรู้สึกปวดร้าวในใจพลางฝืนยิ้ม “ใกล้ยามเซินแล้ว ทหารองครักษ์ด้านนอกคงกลับเรือนพักกันหมดแล้ว พวกเราใช้โอกาสนี้ไปตลาดในหมู่บ้านดีหรือไม่”
เฉินหว่านอิงพยักหน้าตกลง หลังจากนั้นก็รีบผลัดเปลี่ยนอาภรณ์มาสวมใส่ชุดหญิงชาวบ้านที่ยายสี่มอบให้ แต่งกายเรียบร้อยถึงได้พาเป่าหลิงลอบออกจากตำหนักในเส้นทางที่คุ้นเคย
การเข้าออกจากที่พำนักยังคงง่ายดายเฉกเช่นวันวานไม่มีผิด ไม่ถึงหนึ่งก้านธูปสองนายบ่าวก็มาถึงตัวหมู่บ้าน แน่นอนว่าตลอดสองข้างทางนั้นเต็มไปด้วยพ่อค้าแม่ค้ามากหน้าหลายตา สินค้าที่แต่ละคนนำมาขายล้วนเป็นผลิตผลจากครัวเรือน ไม่ว่าจะเป็นผัก ปลา ไก่ หมู เดินเข้าไปอีกหน่อยก็จะมีโรงเตี๊ยมขนาดเล็ก ร้านขายขนม ร้านขายผ้าสกุลไห่ ดูเหมือนสกุลนี้จะมีฐานะดีทีเดียว เพราะภายในร้านไม่เพียงขายผ้าแต่ยังขายเครื่องประดับกับเครื่องตกแต่งเรือนอีกด้วย ถัดไปไม่ไกลเป็นร้านของสกุลกู้ ที่นั่นขายสารพัดสิ่ง ตั้งแต่กระดาษเครื่องเขียนไปจนกระทั่งไม้สร้างบ้านเรือน
นางกับเสี่ยวหลิงเลือกแวะร้านสกุลไห่เป็นแห่งแรก แสดงท่าทีถามไถ่ราคาเฉกเช่นชาวบ้านทั่วไป ครั้งนี้ยังได้ยินเสี่ยวหลิงต่อราคาค่าผ้าหลายพับทีเดียว
ออกมาจากร้านได้สีหน้าของเสี่ยวหลิงย่อมเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม “คุณหนู ผ้าสามพับจ่ายในราคาหนึ่งตำลึง คุ้มค่ายิ่งนัก ถ้าหากไม่ขอลดราคาเราคงต้องจ่ายไปหนึ่งตำลึงกับอีกเจ็ดอีแปะเลยนะเจ้าคะ”
“เสี่ยวหลิงของข้าเก่งที่สุด”
“เงินอีกเจ็ดอีแปะ ไปซื้อหมั่นโถวได้ตั้งเจ็ดลูก” ยิ่งพูดตายิ่งลุกวาว “จะว่าไปใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ก็ดีเหมือนกัน เงินหนึ่งอีแปะซื้อของได้ตั้งเยอะ ได้ยินมาว่าในเมืองหลวงนั้นจะซื้อหมั่นโถวลูกหนึ่งต้องจ่ายถึงห้าอีแปะ ผ้าธรรมดาพับหนึ่งราคาไม่ต่ำกว่าสามตำลึง ถ้าเป็นผ้าดีๆ ต้องจ่ายเป็นสิบเป็นร้อยตำลึงเลยนะเจ้าคะ”
“ถ้าเช่นนั้นเราสองคนก็อยู่ที่นี่ตลอดไปดีหรือไม่”
เป่าหลิงยิ้มทั้งปากทั้งตา “ดีเจ้าค่ะ”
“เงินยังพอมีเหลือ บ่าวจะเจียดไปซื้อด้ายสักหลายม้วนไว้ปักชุดให้คุณหนู จากนั้นเอาไปซื้อกระดาษกับพู่กันไว้ให้คุณหนูเขียนอักษรวาดภาพ หลายเดือนมานี้เอาแต่ขุดแปลงปลูกผัก ไม่ได้จับพู่กันมานานแล้ว ฝึกฝนเสียหน่อยย่อมดี”
“ไม่เห็นจำเป็นต้องฝึกฝีมือเหล่านั้น เจ้าเจียดเงินไปซื้อตำราให้ข้าสักสองสามเล่มเถิด ว่างจากการลงสวนข้าจะได้อ่านฆ่าเวลา”
“ได้เจ้าค่ะ ซื้อทั้งกระดาษซื้อทั้งตำรา และซื้อขนมกับใบชาด้วย ชาที่เหลืออยู่พอให้คุณหนูดื่มได้อีกไม่กี่วันเท่านั้น”
“ประเดี๋ยวเหมยกุยที่ปลูกไว้ก็ออกดอกแล้ว เอาไว้ข้าเก็บมาทำชาดื่ม รสชาติไม่เลวเหมือนกัน อีกอย่างดีบัวที่เก็บไว้เมื่อครึ่งปีก่อนมิใช่ยังมีอยู่หรอกหรือ”
“ดีบัวนำมาชงชา รสขมนัก คุณหนูจะดื่มได้อย่างไร”
“เรายังต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ไปอีกนาน เงินเหล่านั้นใช้ให้น้อยลงสักหน่อยเถิด”
เห็นคุณหนูเอ่ยปาก เสี่ยวหลิงจึงหยิบเงินออกจากถุงมาเพียงห้าอีแปะแล้วใช้เงินจำนวนนี้ซื้อของที่จำเป็น กว่าจะกลับมาถึงที่พำนักก็ล่วงเลยยามซวีสองเค่อเข้าไปแล้ว
สองนายบ่าวเพิ่งจะทิ้งตัวลงบนตั่ง ด้านนอกคล้ายแว่วเสียงแปลกประหลาดที่ไม่คุ้นชินแม้แต่น้อย เสี่ยวหลิงรีบพุ่งตัวไปยังหน้าต่างก่อนจะเบิกตากว้าง เพราะสิ่งที่ปรากฏในครรลองสายตานั้นคือคนกลุ่มหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ ปกติอย่าว่าแต่ช่วงเวลากลางคืนเลย แม้กระทั่งกลางวันทหารองครักษ์ทั้งหลายยังไม่กล้าเฉียดกายมายังเขตชั้นใน ทว่าค่ำนี้จู่ๆ เกิดอะไรขึ้น เหตุใดพวกเขาถึงได้กล้าบุกรุกมาถึงที่นี่
หรือว่า...พวกเขาจับได้ว่านางกับคุณหนูลักลอบออกนอกตำหนัก
หรือว่า...พวกเขารู้เรื่องเล้าไก่ บ่อปลา กับแปลงผักแล้ว
เฉินหว่านอิงมองไปยังทิศทางเดียวกับสาวใช้ ยิ่งมองนานเท่าไหร่คิ้วเรียงเส้นสวยก็ยิ่งแนบชิดกันมากขึ้น ยังไม่ทันจะขบคิดเรื่องอันใดออก ก็ได้ยินเสียงทหารผู้หนึ่งตะโกนก้อง
“องค์ชายห้าเสด็จ”
ได้ยินแล้วมือทั้งสองข้างพลันสั่นเทา ไม่รู้วันนี้ฟ้าหมุนแผ่นดินเคลื่อนใช่หรือไม่ เหตุใดสามีของนางผู้นั้นถึงโผล่มาที่นี่ได้เล่า