ค่ำคืนที่ผ่านมาคงคิดมากไปเองใช่หรือไม่ ย่างเข้ายามเฉินแล้วแต่รอบกายยังคงเงียบสงัด พอลืมตาขึ้นสิ่งที่ปรากฏต่อครรลองสายตาเป็นแสงอ่อนจางของยามเช้ากับกลิ่นดอกไม้ตรงข้างหน้าต่างพัดโชยเข้าสู่ด้านใน บรรยากาศโดยรอบไม่ต่างจากวันวานแม้แต่น้อย เพียงแต่เฉินหว่านอิงยังจดจำได้ว่าองค์ชายห้าแห่งแคว้นเหลียงเพิ่งมาเยือนตำหนักพำนักแห่งนี้
หัวคิ้วขยับเข้าหากันเล็กน้อย พอลุกขึ้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาเร่งรีบเข้ามา “คุณหนูตื่นเสียที”
“เหตุใดเจ้าถึงไม่ปลุกข้าเล่า”
เป่าหลิงมองไปด้านหลังอย่างระแวดระวัง “องค์ชายไม่ให้บ่าวรบกวนคุณหนูเจ้าค่ะ”
เฉินหว่านอิงเม้มปาก ไม่นึกฝันว่าคนผู้นั้นจะรู้จักรักหยกถนอมบุปผา ทว่าพอเห็นสีหน้าร้อนรนของเป่าหลิงก็อดเป็นกังวลไม่ได้
“เกิดสิ่งใดขึ้น องค์ชายรับมื้อเช้าแล้วหรือยัง”
“บ่าวเตรียมมื้อเช้าไว้แล้ว แต่องค์ชายบอกว่าจะรอคุณหนูก่อน ตอนนี้กำลังเดินชมรอบตำหนัก ป่านนี้น่าจะไปถึงบ่อปลา...”
เมื่อวานนี้เขาไม่ลงโทษอาจเพราะไม่เห็นฝีมือการเนรมิตสวนด้านหลังให้เป็นแปลงเพาะปลูก ถ้าเห็นสภาพโดยรอบทั้งหมดแล้วไม่พิโรธนับว่าสวรรค์คงมีเมตตาต่อนางมากนัก พอนึกถึง สีหน้าของเขาแผ่นหลังพลันหลั่งเหงื่อเย็น
“พวกเราออกไปดูสักหน่อยเถิด”
เสี่ยวหลิงไม่รอช้ารีบช่วยคุณหนูของตนเปลี่ยนอาภรณ์ทันที แต่งกายแล้วเสร็จสองนายบ่าวจึงพากันมุ่งฝีเท้าไปยังทิศทางที่อู่ซีเจิ้งอยู่ ยิ่งเข้าใกล้ศาลาหกเหลี่ยมมากเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าทำไมภายในใจของเฉินหว่านอิงถึงระส่ำระสายนัก ดูท่าสิ่งที่รออยู่คงไม่ใช่เรื่องดี
อีกไม่กี่สิบก้าวก็จะถึงสถานที่เลี้ยงไก่เลี้ยงปลาแล้ว มือทั้งสองข้างชื้นไปด้วยเหงื่อ เบื้องหน้ามิเพียงไร้เสียงไก่ร้องแต่ยังมีเสียงขุดทำลาย นางกับสาวใช้จึงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น และภาพตรงหน้าทำเอาดวงตากลมโตแดงก่ำ
ทุกสิ่งทุกอย่างที่นางกับเสี่ยวหลิงลงมือสร้างและประคบประหงมมาถูกทำลายแล้ว เล้าไก่ถูกรื้อ แปลงผักกลับไปเป็นแปลงดอกไม้เช่นเดิม แม้แต่บ่อปลาก็ยังถูกขุดเสียใหม่
“คุณหนู” เป่าหลิงเรียก ทั้งปากทั้งมือสั่นเทาไปหมด ในบ่อนั่นมิใช่ยังมีปลาตัวโตพอส่งขายท่าเรืออีกหลายร้อยตัวหรอกหรือ ตอนนี้น้ำในบ่อแห้งขอด มีการขุดขอบบ่อให้กว้างขึ้น ดูท่าองค์ชายคงกลับไปเลี้ยงปลาสวยงามเหมือนเดิม
เฉินหว่านอิงอยากเรียกร้องในสิ่งที่ตนสูญเสีย แต่นางเป็นสตรีอ่อนแออยู่ใต้อำนาจของผู้อื่นจะใจกล้าทำเช่นนั้นได้อย่างไร สุดท้ายก็ทำได้เพียงยอบกายคำนับไร้เสียง แววตาแดงเรื่อคู่นั้นเอาแต่มองสิ่งที่ถูกทำลายโดยไม่ปริปาก
เห็นนางไม่พูดสิ่งใด สีหน้าของอู่ซีเจิ้งยิ่งราบเรียบมากขึ้น ถึงกระนั้นก็ยังไม่ยินยอมให้สตรีของตนต้องอยู่ท่ามกลางบุรุษอื่น โบกมือเพียงครั้งทหารองครักษ์พลันวางมือ ทิ้งให้บริเวณโดยรอบกลับมาเงียบสงัด แม้กระทั่งมู่ห้าวชงยังหิ้วตัวสาวใช้ของพระชายาถอยห่างออกไปหลายสิบก้าว
เมื่อไม่มีผู้อื่นอยู่รายล้อม องค์ชายห้ารินน้ำชาสองถ้วย ยกชาถ้วยหนึ่งจิบแล้วเอ่ยปาก “โกรธหรือไม่”
โกรธ! คุณหนูสามตระกูลเฉินตอบอยู่ในใจ แต่ท่าทางที่แสดงออกหาเป็นเช่นภาพในหัวไม่ “หม่อมฉันเป็นสตรีของพระองค์ อย่าว่าแต่ทำลายเล้าไก่ บ่อปลา หรือแปลงผักเลย ต่อให้ถูกองค์ชายสังหาร หม่อมฉันก็หาโกรธเคืองได้ไหม”
“ข้าไม่คิดว่าชายารักจะอยู่ในกฎเกณฑ์เช่นนั้น”
“แล้วพระองค์ทรงเห็นหม่อมฉันเป็นอย่างไรเพคะ”
“ดื้อรั้น” ท้องนิ้วโป้งลูบไล้ขอบถ้วยชาร้อนไปมา “เอาตัวรอดเก่ง หาไม่ชายารักจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ที่นี่โดยไม่มีข้าได้อย่างไร”
“ต่อให้ไม่มีพระองค์หม่อมฉันก็อยู่ได้” นางไม่จำเป็นต้องปิดบัง ในเมื่อเขาหาเรื่องก็พร้อมเปิดเผยทุกความรู้สึก
“เพราะเจ้าเป็นแบบนั้น ข้าเลยต้องทำลายทุกสิ่งที่ทำให้เจ้าใช้ชีวิตอยู่ได้โดยไม่มีข้า”
“องค์ชาย...”
“สตรีของข้า มิใช่ทุกลมหายใจต้องพึ่งพิงข้าหรอกหรือ ขอเพียงเจ้าเอ่ยปากไม่ว่าเป็นสิ่งใดข้าล้วนยินดีมอบให้”
หม่อมฉันไม่ต้องการสิ่งใดของพระองค์! น่าเสียดายที่ประโยคนี้เอ่ยได้เพียงในใจเท่านั้น เพราะสิ่งที่แสดงออกคือการยอบกาย “หม่อมฉันทราบแล้ว ภายภาคหน้าจะพึ่งพิงองค์ชายให้มาก”
“เจ้า...กำลังเชื่อฟังข้าจริงๆ หรือ”
“เพคะ”
“ถ้าเช่นนั้น กลับเมืองหลวงไปอยู่จวนจิ้นฝูกับข้าเป็นอย่างไร”
เฉินหว่านอิงนิ่งเงียบ ดวงตาแดงเรื่อทอดมองบริเวณโดยรอบที่ตนพำนักมานับหนึ่งปีเต็ม นับตั้งแต่ขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวก็ถูกส่งมาอยู่ที่นี่ แรกเริ่มหวาดกลัวไม่น้อยแต่พอผ่านมาหนึ่งเดือนกลับชอบบรรยากาศที่นี่เป็นอย่างมาก
“หม่อมฉันคุ้นเคยกับที่นี่เสียแล้ว หากต้องจากไปคงทำใจได้ยากนัก”
“ที่แท้ ชายารักก็ไม่ได้เชื่อฟังข้าจริงๆ”
“ในสายตาของพระองค์หม่อมฉันมิใช่เป็นสตรีดื้อรั้นหรอกหรือ เมื่อหม่อมฉันเป็นเช่นนี้องค์ชายได้โปรด...ปล่อยให้หม่อมฉันอยู่ที่นี่เถิด” เพราะเดิมทีก็ไม่ได้รับความเมตตาอยู่แล้ว จึงคร้านดิ้นรนต่อสู้ให้ตนต้องลำบาก อีกอย่างการอยู่ที่นี่ก็นับว่าเป็นความสุขเรียบง่ายที่เหมาะสมกับนางมากแล้ว
“เจ้าคงเป็นพระชายาเอกคนแรกที่ไม่อยากใช้ชีวิตอย่างมีหน้ามีตาอยู่เมืองหลวง ไม่นึกเสียดายบ้างหรืออย่างไร”
“หม่อมฉันไม่เสียดาย” เฉินหว่านอิงส่ายหน้า “บางทีหม่อมฉันอาจไม่เหมาะกับชีวิตในเมืองหลวงก็เป็นได้” พูดออกมาแล้วก็สบสายพระเนตรของผู้เป็นสวามีด้วยแววตาจริงจัง “หม่อมฉันไม่อาจกลับไปปรนนิบัติพระองค์ในฐานะพระชายาเอก แต่หม่อมฉันรับรองว่าจะทำหน้าที่นี้ให้ดี ขอเพียงพระองค์ทรงเอ่ยปากบอกสักคำ หม่อมฉันล้วนยินดีทำตามรับสั่ง เรื่องนี้หมายรวมถึง...การแต่งตั้งชายารองของพระองค์ด้วยเพคะ”