กวิสราตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้ามืดอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็รีบลงมาชั้นล่างเมื่อคืนเธอนอนหลับๆตื่นๆเพราะเป็นห่วงคนที่นอนป่วยอยู่นั่นแหล่ะ
"อ้าวแก้ม จะไปไหนแต่เช้าเลยลูกนี่เพิ่งจะหกโมงเองนะ" กรนิกาเอ่ยทักลูกสาวที่แต่งตัวเรียบร้อยพร้อมออกจากบ้าน
"แก้มจะแวะไปดูปัณสักหน่อยค่ะคุณแม่เมื่อคืนบอกไม่ค่อยสบายไม่รู้จะเป็นไข้หวัดใหญ่หรือเปล่ายิ่งอยู่คนเดียวด้วย แก้มไปนะคะ"
"จ๊ะๆขับรถระวังด้วยลูก" เสียงร้องเตือนตามหลังเพราะเห็นท่าทางรีบร้อนของลูกสาวที่เดินออกไปหน้าบ้านแล้ว กรนิกาส่ายหัวให้คนที่ดูรีบร้อนแต่ปากก็มีรอยยิ้มแต้มบางๆห่วงขนาดนี้ก็คงจะมีใจให้อยู่เหมือนกันนั่นล่ะ
ครึ่งชั่วโมงต่อมากวิสราก็มายืนอยู่หน้าห้องพักของคนป่วยเธอเคาะประตูเบาๆรอสักพักก็ยังเงียบอยู่จึงตัดสินใจใช้กุญแจที่อีกคนเคยให้เอาไว้ตอนที่มาห้องนี้ตั้งแต่เดือนก่อนเปิดเข้าไป ภายในห้องมีเพียงแสงสลัวที่ส่องผ่านม่านหน้าต่างเข้ามา เธอเดินเอาของไปวางที่ครัวเล็กๆก่อนจะเดินตรงไปยังประตูที่เป็นห้องนอน คอนโดนี้มีสองห้องนอนอีกห้องหนึ่งปัณสิตาเคยบอกว่าเอาไว้เผื่อปรายกับณัฐพาลูกมาค้างด้วย
เมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนก็เห็นร่างที่ยังหลับสนิทอยู่บนเตียงให้คุณหมอคนสวยรีบเดินเข้าไปเอามืออังที่หน้าผากและก็ต้องรีบชักมือออกทันทีเพราะตอนนี้ตัวอีกคนร้อนจี๋เลยทีเดียว คงจะโดนไข้หวัดใหญ่เล่นงานเอาแล้วล่ะ ร่างบางรีบเดินไปเปิดตู้ค้นหาสิ่งที่ต้องการจนเจอผ้าขนหนูผืนเล็กแล้วจึงรีบเดินเข้าไปในห้องน้ำ กวิสราเดินถือกาละมังใบเล็กออกมานั่งลงข้างเตียงจัดการบิดผ้าขนหนูผืนเล็กพอหมาดๆแล้วนำไปเช็ดที่ใบหน้าซีดเซียวเพราะพิษไข้ของอีกคน ร่างที่หลับไหลสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อโดนความเย็น
"อืมมม หนาวหนาว"
เสียงแหบโหยครางออกมาเบาๆพร้อมกับที่อีกคนพยายามเบี่ยงหน้าหลบผ้าเย็นๆ
"ปัณ ปัณคะ ตื่นขึ้นมาเช็ดตัวก่อนนะคะ ตัวร้อนจี๋เลย"
กวิสราส่งเสียงเรียกคนที่ตายังปิดอยู่ เมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบสนองทำให้คุณหมอต้องดึงผ้าห่มออกเพื่อที่จะได้เช็ดตัวให้คนที่แทบจะไม่รู้สึกตัวเลยตอนนี้ เมื่อเช็ดได้เพียงบริเวณภายนอกเสื้อผ้ากวิสรานั่งมองคนที่หลับอยู่พร้อมเอามือไปแตะที่ซอกคอและหน้าผากอีกครั้งความร้อนยังคงมีอยู่ คงต้องปลุกขึ้นมาทานอะไรแล้วให้กินยาที่เธอเตรียมมาแล้วล่ะ ไม่งั้นไข้คงไม่ลดแน่
"ปัณคะ ตื่นขึ้นมาทานยาก่อนนะคะ"
กวิสราตัดสินใจเขย่าตัวคนป่วยอีกครั้งให้อีกคนได้ครางหือออกมาเหมือนโดนขัดใจ
"ปัณตัวร้อนจี๋เลยลุกขึ้นมาทานยาก่อนนะคะ"
กวิสราก้มลงไปพูดที่ข้างหูให้คนที่สลึมสลืออยู่ได้พยายามฝืนเปลือกตาอันหนักอึ้งขึ้นมามอง
"แก้ม หืม ปวดหัวจังเลยค่ะ"
เสียบแหบแห้งพร้อมกับมือที่ยกขึ้นนวดตรงขมับทำให้คนเป็นหมอต้องช่วยช้อนคอพยุงให้ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง
"ปัณคงโดนไข้หวัดใหญ่เล่นงานเอาแล้วล่ะ เดี๋ยวทานอะไรรองท้องสักหน่อยนะคะแก้มแวะซื้อโจ๊กมาด้วยจะได้ทานยาแล้วค่อยนอนพัก"
ปัณสิตาพยักหน้ารับ ตอนนี้ทั้งปวดหัวทั้งเจ็บคอเลยล่ะ
"แก้ม พยุงปัณหน่อยอยากเข้าห้องน้ำค่ะ"
เสียงแหบเอ่ยบอกคนที่กำลังจะลุกไปเตรียมอาหารมาให้ ให้คุณหมอได้หันกลับมาช่วยพยุงคนที่ตัวยังร้อนเป็นไฟพาไปยังห้องน้ำ
"ไม่ต้องล็อคนะคะ "
ปัณสิตาพยักหน้ารับก่อนที่คุณหมอจะดึงประตูปิดให้แล้วรีบเดินออกไปนอกห้องเพื่อเตรียมอาหารกับยามาไว้ให้อีกคน
กวิสราเดินถือถาดที่มีถ้วยโจ๊กกับแก้วน้ำเข้ามาวางไว้ที่โต๊ะเล็กมุมห้อง ก็พอดีกับที่คนป่วยเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำคุณหมอรีบเดินเข้าไปพยุงคนที่ยืนพิงขอบประตูห้องน้ำมานั่งลงที่เตียง
ปัณสิตาส่งยิ้มซีดเซียวให้คนที่ลากเก้าอี้ที่โต๊ะเครื่องแป้งมานั่งข้างเตียงก่อนจะยกถ้วยโจ๊กมาคนแล้วตักขึ้นเป่าสักพักก็ยื่นมาหาเธอ ปัณสิตาอ้าปากรับโจ๊กอุ่นๆกลืนลงคอ
"เจ็บคอด้วยใช่ไหมปัณ"
กวิสราถามเมื่อเห็นท่าทางกลืนลำบากของคนป่วย
"ค่ะ นานๆป่วยทีนี่เป็นซะหนักเลย"
ปัณสิตาบ่นออกมาให้คนฟังยิ้มบางส่งให้ก่อนจะป้อนโจ๊กต่อ
"ก็ใช้ร่างกายหนักขนาดนี้ไม่ป่วยก็คนเหล็กแล้วละคะ ช่วงนี้ฝนตกบ่อยด้วย ที่โรงบาลคนป่วยไข้หวัดก็เยอะนะคะไม่แปลกหรอกที่ปัณจะป่วยกับเขาด้วยน่ะ"
คุยไปกินไปจนโจ๊กเกือบหมดชามปัณสิตาก็ส่ายหน้าบอกพอแล้ว คุณหมอจึงได้ยื่นแก้วน้ำส่งให้ ตามด้วยยาชุดที่จัดมาแล้ว
"ถ้าวันนี้ทานยาแล้วไม่ดีขึ้นแก้มคงต้องฉีดยาให้นะคะ บางทียาเม็ดก็เอาไม่อยู่เหมือนกัน"
"ทำยังไงก็ได้ให้ปัณหายไวที่สุดไม่ชอบแบบนี้เลยค่ะ ทรมาน"
"คราวหน้าก็ต้องดูแลตัวเองดีๆสิคะ พอคนเราร่างกายอ่อนแอก็ต้องเจ็บป่วยเป็นธรรมดานั่นแหล่ะค่ะ"
"ก็ถึงอยากมีหมอมาช่วยดูแลรักษาไงคะ"
"นี่ขนาดป่วยยังปากดีเลยนะคะปัณ"
กวิสราพูดเหน็บให้คนที่ยิ้มเซียวส่งให้เธอ
"นอนพักได้แล้วค่ะ"
"แล้วแก้มจะไปทำงานหรือเปล่าวันนี้"
ปัณสิตาเอ่ยถามเพราะปกติคุณหมอจะหยุดวันอาทิตย์
"ถ้าแก้มไปทำงานแล้วใครจะดูปัณละคะ เดี๋ยวแก้มโทรไปบอกยัยวิลาสักวัน ช่วงนี้มีน้องๆนักศึกษาแพทย์มาช่วยด้วยคงไม่เป็นไร "
"ขอบคุณนะคะที่มาดูแลปัณน่ะ"
"ก็มันเป็นหน้าที่ของหมอที่ต้องดูแลคนไข้อยู่แล้วนี่คะ"
กวิสราแกล้งพูดให้อีกคนหน้าม่อยลงทันที
"แค่หน้าที่หมอเองเหรอคะ" น้ำเสียงอ่อยๆกับสีหน้าเศร้าๆที่มองมาก็ทำให้คุณหมออดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ พอป่วยแล้วก็กลายเป็นเด็กขี้ใจน้อยไปเลยนะคนเรา
"งอแงอะไรละคะหึ ถ้าแก้มไม่ห่วงจะมาเฝ้าแบบนี้ไหมล่ะ หัวก็ไม่ล้านสักหน่อยทำใจน้อยไปได้ นอนพักได้แล้วค่ะ มื้อกลางวันเดี๋ยวแก้มทำข้าวต้มให้ทานก็แล้วกันปัณซื้อพวกของสดมาติดตู้เย็นไว้บ้างหรือเปล่า"
คำบอกห่วงใยจากอีกคนก็ทำให้คนป่วยยิ้มออกมาได้
"มีค่ะแช่ในช่องฟีชน่ะแหล่ะ งั้นปัณนอนพักนะคะ"
"ค่ะ"
กวิสราส่งยิ้มบางให้คนที่นอนมองเธออยู่ ไม่นานอีกคนก็หลับตาลงและก็หลับสนิทไปอีกครั้งด้วยฤทธิ์ยา
กวิสราเมื่อเห็นอีกคนหลับไปแล้วจึงเดินออกไปนอกห้องจัดการโทรแจ้งเพื่อนสนิทอย่างวิรัญญาว่าวันนี้เธอจะลาหยุด และไม่ลืมที่จะโทรหาพี่หมอในแผนกอีกทีว่าวันนี้ตัวเองติดธุระด่วนไม่ได้เข้าเวร
เมื่อจัดการธุระของตัวเองเรียบร้อยก็เดินไปเปิดดูของในตู้เย็นว่ามีอะไรที่จะทำได้บ้างเผื่อขาดเหลือจะได้ออกไปหาซื้อมาเพิ่ม สรุปในตู้มีทั้งของสดผลไม้อัดแน่นเต็มตู้ นี่คงจะไม่มีเวลาทำอาหารกินเองละมั้งของถึงยังอยู่เต็มตู้เย็นแบบนี้ ในเมื่อของพร้อมซักสิบเอ็ดโมงค่อยลงมือทำก็แล้วกัน
ปัณสิตาที่หลับไปนานรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งภายในห้องยังมีเพียงแสงสลัวจากแสงด้านนอกเพราะไม่ได้เปิดม่านออก มือเรียวยกขึ้นแตะหน้าผากตัวเองก็รู้สึกมันยังอุ่นอยู่ ยาที่คุณหมอจัดมาให้ช่วยได้เยอะพอสมควรเพราะอาการปวดหัวเมื่อเช้านี้ค่อยดีขึ้นมาบ้างแม้จะยังหนักๆหัวอยู่ เมื่อนอนนิ่งอยู่สักพักจึงได้ขยับตัวลุกขึ้นพิงหัวเตียง เสียงกุกกักที่ดังแว่วเข้ามาภายในห้องทำให้รู้ว่าคุณหมอคงจะกำลังทำอะไรอยู่ด้านนอก เรียวปากที่ยังซีดเพราะพิษไข้ก็ยกยิ้มขึ้นมาบางๆ ที่จริงป่วยแล้วได้คนของใจมาคอยดูแลแบบนี้มันก็ดีอยู่หรอกนะ อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าอีกคนก็เป็นห่วงกันอยู่
ยังไม่ทันทำอะไรต่อเสียงโทรศัพท์ที่วางบนหัวเตียงก็ดังขึ้นมา เมื่อหยิบมาดูก็เป็นน้องสาวนั่นเองที่โทรเข้ามา
"ฮัลโหลจ๊ะปราย"
"พี่ปัณทำไมเสียงแหบแบบนี้คะไม่สบายหรือเปล่า"
เสียงถามอย่างห่วงใยของน้องให้คนเป็นพี่ยิ้มบางออกมาก่อนตอบ
"อืม ไม่ค่อยสบายน่ะ วันนี้คงไม่ได้แวะเข้าไปที่บ้านนะคิดถึงตัวน้อยมากเลยไม่เจอมาหลายวันล่ะ"
"แล้วพี่ปัณเป็นอะไรมากหรือเปล่าคะเดี๋ยวปรายกับพี่ณัฐจะแวะเข้าไปหานะ เป็นอะไรจะได้รีบพาไปหาหมอ"
"ไม่ต้องไปหาหมอหรอกค่ะ เพราะตอนนี้หมอก็อยู่ที่ห้องนี่แหล่ะ ปรายไม่ต้องห่วงนะคะพี่ดีขึ้นแล้วหมอแก้มจัดยาชุดมาให้น่ะได้นอนพักสองสามวันก็คงหายแล้วล่ะ"
"อ่อ มีคุณหมอประจำตัวแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะพี่ปัณคริคริ ได้ทั้งยาและพยาบาลดีแบบนี้ปรายคงไม่ต้องห่วงแล้วล่ะ ถ้างั้นพี่ปัณก็พักผ่อนนะคะ ไว้ปรายจะโทรมาถามอาการใหม่"
"จ๊ะ"
ปัณสิตาวางสายจากน้องสาวไปแล้วแต่รอยยิ้มก็ยังแต้มอยู่บนใบหน้าเมื่อนึกถึงคำเอ่ยล้อของคนเป็นน้อง จนเมื่อเสียงเปิดประตูห้องเข้ามา
"อ้าวตื่นแล้วเหรอคะ แก้มจะเข้ามาปลุกพอดี"
กวิสราทักคนที่นั่งยิ้มพิงหัวเตียงอยู่
"เพิ่งตื่นค่ะ พอดีปรายโทรมาเพิ่งวางสายไปเมื่อกี้เอง"
กวิสราพยักหน้ารับรู้ก่อนจะเดินไปเอามือแตะที่หน้าผากเพื่อวัดไข้คนป่วย
"ตัวไม่ร้อนมากแสดงว่าไข้ลดแล้ว ยังปวดหัวอยู่หรือเปล่าคะ"
"ยังมึนๆอยู่บ้างค่ะ ไม่ได้ปวดมากเหมือนเมื่อเช้า"
"ถ้างั้นก็ไปทานข้าวทานยาอีกรอบค่ะ ลุกไหวไหมหรือจะให้แก้มเอาเข้ามาทานในนี้"
"ไหวค่ะ ออกไปทานข้างนอกดีกว่า"
ปัณสิตาบอกก่อนจะขยับลุกลงจากเตียง ให้คนที่ยืนมองเข้ามาพยุงคนป่วยอีกรอบเมื่อเห็นอีกคนนั่งหลับตาเหมือนจะมีอาการมึนหัวอยู่
"มึนหัวละสิ"
คุณหมอถามเมื่อช่วยพยุงอีกคนลุกเดินไปห้องน้ำก่อนที่จะออกไปทานมื้อกลางวันกัน
"ค่ะ ถ้าแก้มไม่อยู่ปัณก็คงลำบากเหมือนกันนะนี่"
คนป่วยเอ่ยขึ้นมา ปกติไม่ค่อยจะป่วยแบบนี้หรอกถ้ารู้สึกว่ามีอาการเธอก็จะกินยาดักไว้แล้ว ครั้งนี้ถือว่าเป็นหนักกว่าทุกครั้งนั่นแหล่ะ
ทั้งคู่นั่งทานอาหารที่มีข้าวต้มและกับข้าวง่ายๆที่กวิสราทำขึ้นมาเพิ่มอีกสองอย่าง
"เออปัณ คุณพ่อบอกให้ชวนปัณไปทานข้าวที่บ้านน่ะค่ะ"
"เหรอคะ ถ้างั้นเป็นวันอาทิตย์หน้าดีไหมคะ ตอนนี้ปัณว่างแล้วล่ะเคลียร์พวกงานด่วนๆหมดแล้ว"
"อืม ก็ดีนะคะจะได้เจอน้องชายแก้มด้วยขานั้นน่ะยิ่งโวยวายว่าแก้มแอบคบใครไม่พาไปให้รู้จักเลย"
กวิสราเล่าไปพลางยิ้มขำเมื่อนึกถึงกฤษณะขึ้นมา
"หืม อย่าบอกนะว่าปัณต้องฝ่าด่านทั้งคุณพ่อและน้องชายแก้มด้วยน่ะ"
ปัณสิตาลองเชิงถามอีกคน ต่อให้มีกี่ด่านเธอก็ไม่หวั่นหรอก แต่จะออกรบทั้งทีเธอก็ควรจะเก็บข้อมูลฝั่งตรงข้ามให้มากเข้าไว้ จะได้รับมือถูกแค่นั้นเอง
"แล้วปัณจะยอมแพ้ถอยทัพกลับหรือเปล่าละคะ"
"หึหึ ไม่มีทางหรอกค่ะ ในเมื่อปัณเดิมพันด้วยหัวใจขนาดนี้จะให้ยอมแพ้ง่ายๆได้ยังไงคะ"
ปัณสิตาบอกออกไปด้วยรอยยิ้มมั่นใจเช่นกัน
กวิสราอมยิ้มออกมาเมื่อเห็นแววตาของคนที่แม้จะไม่ค่อยเต็มร้อยกับสภาพร่างกายแต่แววตามุ่งมั่นของคนตรงหน้าก็ทำให้เธอพอใจอยู่ไม่น้อย หลังจากทานอาหารกันเสร็จคุณหมอก็จัดการนำยามาให้คนป่วยทานอีกรอบ
"ปัณ ง่วงก็เข้าไปนอนในห้องดีๆสิคะ"
กวิสราเอ่ยบอกคนที่เอนศรีษะมาพิงหัวไหล่เธอหลังจากให้ทานข้าวทานยาแล้วคนป่วยก็ขอมานั่งย่อยอาหารด้วยการดูทีวีนี่ผ่านไปแค่สิบนาทียาคงออกฤทธิ์คนบางคนถึงได้เริ่มเลื้อยแบบนี้
"หืม ขอดูเขาตัดสินแปปนึงค่ะ"
สุดท้ายคนที่บอกจะรอดูก็หลับคาไหล่บางให้คุณหมอส่ายหัวอมยิ้มก่อนจะเรียกอีกคนให้ตื่นเข้าไปนอนในห้อง เธอเองก็ชักจะง่วงขึ้นมาเหมือนกันเพราะเมื่อคืนก็หลับไม่สนิทด้วยห่วงกังวลอีกคนนี่ล่ะ
"ปัณคะ เข้าไปนอนในห้องดีกว่าค่ะ"
กวิสราใช้มือแตะเบาๆที่แก้มคนหลับให้ปรือตาขึ้นมองก่อนจะผละออกจากไหล่เธอ
"ป่ะ เข้าไปนอนในห้องค่ะ"
กวิสราจัดการปิดทีวีแล้วลุกขึ้นจูงมือคนที่ตัวสูงกว่าเธอสี่ห้าเซ็นเข้าไปในห้อง ให้คนที่โดนจูงยิ้มออกมาทั้งที่ตาจะปิดอยู่แล้ว เธอชอบจังเวลาที่มีคนๆนี้คอยวนเวียนอยู่ใกล้ๆแบบนี้
"แก้ม ง่วงก็นอนด้วยกันนี่แหล่ะเตียงออกกว้างอีกอย่างปัณไม่มีแรงลุกมาปล้ำหรอกค่ะ"
ปัณสิตาเอ่ยบอกเมื่อเห็นคุณหมอเอามือปิดปากหาวขึ้นมา ให้คนที่เริ่มง่วงได้ส่งสายตาค้อนมาให้
"ก็ลองมีแรงปล้ำสิคะ แก้มจะเอาให้ไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มที่โรงบาลสักเดือนเลยเป็นไง"
"โหปัณไม่กล้าหือหรอกค่ะ มาๆนอนเถอะค่ะ"
"นี่ถ้าแก้มติดไข้ไปด้วย แล้วใครจะดูแลใครกันล่ะทีนี้"
กวิสราพูดออกมาขณะที่จัดหมอนหนุนอีกฝั่งของเตียง ที่จริงไม่ได้กลัวหรอกเพราะเธอก็ไม่ใช่คนจะป่วยอะไรง่ายๆ
"เดี๋ยวปัณดูแลเอง ถึงจะป่วยก็จะดูแลเต็มความสามารถเลยค่ะ"
"แค่ตัวเองก็เอาให้รอดก่อนไหมคะคุณผู้จัดการ ยังกับจะมีแรงมาดูแลเค้างั้นล่ะ"
กวิสราแกล้งเหน็บให้คนอวดเก่งที่นอนส่งยิ้มมาตาปรือแทบจะปิดอยู่แล้ว สุดท้ายก็ฝืนความง่วงไม่ไหวหลับไปในเวลาไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ
หลังจากที่ได้งีบหลับไปพร้อมกับคนป่วยกวิสรารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกทีก็เกือบบ่ายสามเข้าไปแล้ว ร่างบางหันไปมองคนที่ยังหลับสนิทอยู่ใบหน้าซีดเซียวเมื่อช่วงเช้าตอนนี้เริ่มมีสีเลือดฝาดขึ้นมาให้เห็นแสดงว่าอาการคงจะดีขึ้นแล้ว
สายตาหวานไล่มองสำรวจรูปหน้าอีกคนตอนหลับ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าปัณสิตานั้นเป็นผู้หญิงที่ดูดีทั้งบุคลิกและรูปร่างหน้าตา เรียกได้ว่ามีพร้อมสมบูรณ์ในแบบที่ผู้หญิงทุกคนต้องการนั่นล่ะเธอเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าอีกคนจะมาจริงจังกับเธอถึงขั้นชวนกันแต่งงาน แต่ระยะเวลาสองเดือนกว่าที่ได้ตกลงเปิดใจลองคบดูถ้าหากตัดเรื่องเพศสภาพออกไปก็ตัองยอมรับว่าปัณสิตาค่อนข้างที่จะมีความเป็นผู้นำและอยู่ด้วยแล้วรู้สึกอบอุ่นสบายใจเวลาที่อีกคนจริงจังขึ้นมา ก็เหมือนกับเป็นคนละคนที่แสนห่ามตอนรุกจีบเธอครั้งแรกไปเลย
ถ้าไม่หลอกตัวเองเธอก็ยอมรับนั่นล่ะว่าเริ่มรู้สึกดีกับคนๆนี้ไม่น้อย แต่มันก็ยังไม่ถึงกับจะใช้คำว่ารักได้เต็มปากเวลามันยังน้อยไปสำหรับเธอ ขนาดกับคนในอดีตที่คบกันเกือบสามปีถึงได้เผยธาตุแท้ให้เห็นกับคนนี้ถึงจะเป็นผู้หญิงเหมือนกัน แต่ถ้าเธอคิดจะจริงจังด้วยเธอก็อยากมั่นใจเต็มร้อยว่าจะไม่ผิดหวังอีกครั้งหากคิดจะใช้ชีวิตคู่ด้วยกันจริงๆ
นอนคิดอะไรเรื่อยเปื่อยสักพักจึงได้ลุกขึ้น มือบางเสยผมยาวที่ยุ่งนิดหน่อยให้เข้าทรง ก่อนค่อยๆขยับลุกลงจากเตียงเดินอ้อมมายังอีกฝั่งยื่นมือไปแตะที่หน้าผากเกลี้ยงเกลาของคนหลับ อุณหภูมิตอนนี้ไม่ได้ร้อนแล้วแต่ก็ยังอุ่นกว่าคนปกติเช่นเธอ เดี๋ยวคืนนี้ให้ทานยาอีกรอบพรุ่งนี้ไข้น่าจะไม่มีแล้วยังดีที่ไม่เป็นหนักจนต้องฉีดยาอย่างที่เธอคิดกังวล
ปัณสิตาที่หลับไปเพราะฤทธิ์ยาแก้ไข้รู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง ครั้งนี้รู้สึกโล่งศรีษะขึ้นมากทีเดียวเมื่อใช้มือแตะวัดความร้อนตรงหน้าผากตัวเองกับซอกคอก็รู้สึกว่าแค่อุ่นๆเท่านั้น หันไปมองยังอีกฝั่งของเตียงที่ตอนนี้ว่างเปล่าหลงเหลือเพียงรอยยับย่นหน่อยๆของผ้าปูที่นอนก็อมยิ้มออกมา อีกนานแค่ไหนกันหนอที่จะได้อยู่ร่วมเตียงเคียงหมอนกันจริงๆสักทีไม่ใช่แค่เป็นคุณหมอที่มาคอยดูแลคนไข้แบบตอนนี้