เด็กสาวตัวน้อยมาจากตระกูลเล็กๆ แซ่ลี่ มีนามเพียงคำเดียวว่า ฉง คนทั่วไปมักเข้าใจผิดว่านางไร้สกุลจนถูกขายมาเป็นสาวใช้ในบ้านขุนนางซึ่งเจ้าตัวก็หาได้ใส่ใจก้มหน้าก้มตาหางานเพื่อส่งเงินกลับไปเลี้ยงดูครอบครัวอย่างที่ตั้งใจมาโดยตลอด จนกระทั่งได้พบกับเจ้านายที่แสนดีในตระกูลใหญ่ ทำงานเข้าตาถูกแต่งตั้งเป็นสาวใช้คนสนิทจวบจนเกิดเหตุไม่คาดฝันนายหญิงต้องมาลาโลกนี้ไปนั่นนับเป็นวันที่ราวกับโลกทั้งใบล่มสลายไปต่อหน้าต่อหน้า ตั้งแต่นั้นมาลี่ฉงก็ใช้ชีวิตอยู่เพื่อเลี้ยงดูสิ่งสุดท้ายที่ถูกทิ้งไว้จากผู้เป็นนายเท่านั้น
หลายปีผันผ่านจากสาวใช้ตัวน้อยเติบใหญ่เป็นสตรีวัยกลางคน แม้จะอยู่อย่างขัดสนก็ยังดีกว่าต้องออกไปผจญอันตรายข้างนอก นั่นคือสิ่งที่ลี่ฉงคิดเอาไว้ทำให้ยังไม่พาคุณหนูของตนหนีไปจากจวนตระกูลซูสถานที่ซึ่งเจ้านายตัดสินใจแต่งงานเข้ามาอยู่ สิบกว่าปีนี้สิ่งเดียวที่ทำให้นางกังวลคือเล่ห์เหลี่ยมของบรรดาฮูหยินรองเท่านั้น เพราะคุณหนูผู้แสนดีเรียบร้อยว่าง่ายไม่เคยสร้างความลำบากให้ลี่ฉงเลยสักครั้ง ถึงอย่างนั้นหลังจากคืนวันหนึ่งคุณหนูกลับเริ่มเปลี่ยนไป บรรยากาศรอบกายเยือกเย็นสุขุม ดวงตากลมใสที่เคยเดียงสายามนี้แฝงไปด้วยความเฉลียวฉลาดและเด็ดเดี่ยว ลงมือเพียงครั้งเดียวก็ทวงสิทธิ์เบี้ยหวัดของตนกลับมาได้ แค่นั้นก็สร้างความกังวลให้กับนางมากแล้ว แต่เทียบไม่ได้เลยกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น…
“คุณหนู!!”
ภาพแผ่นหลังเล็กพุ่งเข้าไปในกองเพลิงยังคงติดตาผู้คนด้านนอก ลี่ฉงที่เกือบจะวิ่งตามเข้าไปโดนรั้งตัวไว้จากชาวบ้านบริเวณใกล้เคียง เลี่ยงเหลียงใช้ความรู้และประสบการณ์หลบหลีกจุดที่เสี่ยงอันตรายแล้วพยายามตรงไปยังบันไดด้านหลังร้านเนื่องจากบันไดรับแขกโดนเผาจนไม่สามารถใช้การได้ เหลาอาหารส่วนมากมักมีทางขึ้นของคนงานเอาไว้เฉพาะเพื่อไม่ให้ไปรบกวนชนชั้นสูงเข้า
“แค่กๆ” เมื่อไม่มีอุปกรณ์สำหรับป้องกันการสูดดมควันจึงเป็นเรื่องยากสำหรับหญิงสาวอยู่มาก
ร่างบอบบางในผ้าห่มชุ่มน้ำพยายามเดินฝ่าช่องวางของเปลวไฟร้อนระอุจนกระทั่งหาบันไดด้านหลังพบ มันกำลังถูกไหม้จนแทบใช้การไม่ได้แต่ยังดีกว่าตรงส่วนหน้าร้านมากนัก สองขาขาวก้าวขึ้นไปช้าๆ ด้วยเกรงว่ามันจะหัก นางเดินผ่านเส้นทางอันเต็มไปด้วยความร้อนพวกนี้ได้เพราะกระโปรงตัวยาวที่เปียกน้ำจนชุ่มจึงปกปิดส่วนผิวเนียนละเอียดได้อย่างมิดชิด
“เฮ้อ ไม้เก่าเช่นนี้ไม่แปลกใจเลย” การลุกลามอย่างรวดเร็วบวกกับการดับเพลิงที่ไม่มีประสิทธิภาพ นั่นย่อมนำมาซึ่งความเสียหายเป็นวงกว้าง ตึกหลังนี้ใกล้จะคงตัวไม่ไหวแล้วสังเกตได้จากพื้นไม้ที่ลั่นเอี๊ยดอ๊าดทุกย่างก้าว
“คุณชาย!” ทันทีที่ขึ้นมาถึงชั้นสามคุณหนูใหญ่ตระกูลซูก็ตะโกนขึ้นหนึ่งครั้ง เมื่อไร้การตอบรับนั่นคือสัญญาณที่ไม่ดีเท่าไหร่ หากผู้ประสบภัยไม่บาดเจ็บก็อาจหมดสติ
โครม!
ประตูไม้ที่กำลังถูกเผาโดนถีบอย่างแรงจนล้มลง เป็นอย่างที่เลี่ยงเหลียงกังวล พอเปิดประตูห้องตามที่สาวใช้คนนั้นบอกก็พบร่างเล็กของเด็กชายวัยเจ็ดหนาวกำลังนอนสลบอยู่มุมห้อง ถ้าให้เดาคงเพราะเขารู้ตัวช้าไปไม่น้อยทำให้สูดควันเข้าไปจำนวนหนึ่ง ครั้นพอรู้ตัวก็ไม่สามารถออกจากห้องได้เนื่องจากการลุกลามของไฟมาถึงตัวแล้ว
“โชคดีที่ยังหายใจ” นางจับชีพจรของอีกฝ่ายเป็นสิ่งแรก เพื่อยืนยันการปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อนอุ้มร่างนั้นขึ้นมาแนบอก การแบกขึ้นหลังยามนี้อันตรายเกินไป หากเสาที่ค้ำทรุดลงมาเกรงว่าชิ้นส่วนไม้พวกนั้นจะหล่นใส่เด็กน้อยได้
“หวังว่าจะทันนะ” ดวงตาคู่สวยกวาดมองสถานการณ์โดยรวมอีกครั้ง จุดกึ่งกลางของตึกนี้กำลังเอนเอียงมีโอกาสสูงมากที่จะล้มครืนลงมา นั่นยิ่งกดดันให้นางต้องรีบออกไปให้เร็วที่สุด
สองเท้าเล็กก้าวด้วยความมั่นคงหลบเลี่ยงเพลิงร้อนอย่างระมัดระวัง น่าเสียดายที่ใช้เวลาขึ้นมาชั้นสามนานเกินกว่าที่คาด หลายจุดโดนเผาจนไม่อาจลงน้ำหนักสุ่มสี่สุ่มห้า กระนั้นช่วงเวลาเร่งด่วนกลับบีบคั้นให้โฉมสะคราญต้องตัดสินใจเดินหน้า ชายกระโปรงที่เคยชุ่มน้ำเริ่มแห้งเหือดและเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเขม่าสีดำ โชคดีอยู่บ้างที่ผ้าห่มผืนนั้นหนาพอจะโอบอุ้มน้ำได้นานกว่า
“อีกชั้นเดียว…แฮ่ก…แฮ่ก….”
อากาศในนี้เต็มไปด้วยควันจนเลี่ยงเหลียงหายใจลำบาก ดวงหน้างดงามมีหยาดเหงื่อเกาะทั่วจนหยดลงดั่งน้ำฝน ร่างกายนี้เป็นเพียงคุณหนูในห้องหอที่แรงจะวิ่งยังแทบไม่มีนับประสาอะไรกับการต้องอุ้มเด็กผู้ชายคนนึงพร้อมกับหลีกหนีอันตราย นั่นจึงทำให้หญิงสาวใกล้หมดแรงลงทุกที
“แฮ่ก…..อึก….”
บันไดชั้นล่างสุดอยู่ในสภาพที่ไม่เหมาะต่อการใช้งานเป็นอย่างมาก ราวบันไดพังไปกว่าครึ่ง ส่วนที่เหยียบได้มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ไม่รู้เลยว่าหากแตะส่วนใดส่วนหนึ่งแล้วมันจะล้มครืนหรือไม่ กระนั้นทุกก้าวของคุณหนูใหญ่ตระกูลซูจะแตะส่วนปลายเท้าไปลองเชิงน้ำหนักดูก่อน หากดูแล้วพอไหวจึงเคลื่อนกายตามไปจึงทำให้เชื่องช้ากว่าตอนขึ้นไปอยู่มาก
แกร่ก…..ปึ่ก!
“โอ๊ย!”
ขณะนั้นเองคานด้านบนที่ผุกร่อนจากการถูกเผากลับร่วงหล่นลงมาและแน่นอนว่าคนที่ใช้สมาธิทั้งหมดไปกับการระแวงพื้นย่อมหลบไม่ทัน ไหล่ข้างซ้ายถูกกระแทกอย่างแรงจากท่อนไม้ขนาดกลาง แม้จะเป็นเพียงชิ้นส่วนขื่อคานแต่นั่นก็มากพอจะสร้างความเจ็บปวดให้กับซูเลี่ยงเหลียงจนน้ำตารื้น กายบางเสียหลักหล่นลงไปกระแทกพื้นด้านล่าง ความสูงของบันได้เกือบเจ็ดขั้นทำเอานางจุกจนแทบร้องไม่ออก ยังไม่นับความร้อนจากเปลวไฟซึ่งล้อมรอบไม่ห่าง
แกร่ก….แกร่ก….
สถานการณ์เริ่มแย่กว่าที่หญิงสาวคิด ตอนนี้ต่อให้ต้องบาดเจ็บก็คงมิอาจรั้งรอได้อีก คนงามขบกัดริมฝีปากระเรื่อจนปริแตกกัดฟันลุกขึ้นแม้จะบอบช้ำไปทุกส่วน ผ้าห่มบางส่วนเริ่มกันความร้อนไม่อยู่และมีกลิ่นไหม้จางๆ แรงใจเฮือกสุดท้ายทำให้นางดึงผ้าห่มมาคลุมทุกส่วนรวมถึงใบหน้าที่เคยเปิดช่องไว้สอดส่องเส้นทางจากนั้นจึงออกวิ่งไปทิศทางที่จำได้ในตอนเข้ามา ใจดวงน้อยบีบรัดแน่นอกคิดวกวนว่าครานี้ตนจะตายอีกครั้งหรือไม่
น่าแปลกที่เวลาเหมือนหมุนช้ากว่าปกติ ทุกการเคลื่อนไหวมันช้าลงจนเลี่ยงเหลียงอึดอัด นางจำได้ว่าเคยเกิดเรื่องราวคล้ายๆ กันมาก่อน…ในตอนที่นางกำลังจะตายในชีวิตที่แล้วอย่างไรล่ะ
โครม!!
เสาหลักของตึกพังทลายทำให้ทุกอย่างร่วงหล่นลงมา อีกไม่ไกลก็จะถึงประตูทางเข้าแล้วแท้ๆ แต่กลับเป็นเช่นนี้อีกครั้ง หญิงสาวได้ทอดถอนใจให้กับโชคชะตาดูเหมือนว่านางคงไม่เหมาะกับการช่วยเหลือเด็กเล็กกระมัง
“เสี่ยวหยุน!” เสียงโครมนั้นไม่ได้มาจากด้านบนเพียงอย่างเดียว มันมาจากด้านหน้าซึ่งเป็นประตูทางออกอีกด้วย
“ทางนี้..แค่กๆ” เมื่อรู้สึกเหมือนมีคนมาช่วยร่างบางจึงพยายามส่งเสียง แม้มันจะแหบแห้งมากแค่ไหนก็ตาม
หนึ่งสตรีหนึ่งเด็กน้อยในผ้าห่มผืนใหญ่ที่โดนเผาบางส่วนถูกอุ้มแล้วหนีออกมาได้ทันท่วงที ช่วงจังหวะสุดท้ายหากไม่ได้รับความช่วยเหลือเกรงว่าคงเกิดเรื่องน่าเศร้าขึ้นเสียแล้ว
“คุณหนู!” ลี่ฉงวิ่งมาดูอาการด้วยท่าทางตื่นตระหนก
“ข้าจะพาทั้งสองไปโรงหมอ” ชายหนุ่มร่างสูงสมส่วนผู้ที่ไม่สนคำค้านของใครสั่งข้ารับใช้เหวี่ยงอ่างน้ำใบใหญ่ใส่ประตูแล้วพังมันเพื่อเข้าไปข้างใน
“ข้าจะไปด้วยเจ้าค่ะ”
ชายหนุ่มพยักรับจากนั้นคนที่เกี่ยวข้องจึงเดินทางไปยังโรงหมอที่ใกล้ที่สุด เขาเปิดผ้าห่มตรงส่วนบนออกเนื่องจากไม่แน่ใจว่าอาภรณ์ของหญิงสาวได้รับความเสียหายรึไม่ ใบหน้ายามหลับไหลทำเอาคนตัวโตถึงกับหายใจสะดุด ขนาดนางสลบไปก็ยังกอดน้องชายของเขาไว้แน่นช่างเป็นสตรีที่กล้าหาญเหลือเกิน
……………………….
………..
............................................................................................