ตอนที่ 1 เปลวเพลิงที่ร้อนระอุ
ตูมมม! โครมมม!
เสียงระเบิดดังขึ้นท่ามกลางเพลิงลุกโหมยากเกินจะดับโดยง่าย ความร้อนแผ่กระจายไปทั่วจนแม้แต่จะหายใจยังลำบาก บ้านเก่า 4 ชั้น ไร้การดูแลเรื่องระบบรักษาความปลอดภัยทำให้ไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ
“บ้าจริง เราเข้าไปไม่ได้!” เสียงทุ้มดุดันตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดพร้อมแบกสายฉีดน้ำขนาดใหญ่เอาไว้
“เข้าไปก็คงไม่ต่างจากฆ่าตัวตายหรอกครับหัวหน้า!” ร่างสูงคมเข้มที่ยืนช่วยแบกสายฉีดน้ำตะโกนแข่งกับไอความร้อนซึ่งมาพร้อมเปลวไฟลุกโชน
“แต่ถ้าเราไม่เข้าไปตอนนี้ บ้านคงถล่มลงมาเมื่อถูกเผาไหม้จนไม่อาจคงสภาพได้นะคะ” หญิงสาวหนึ่งเดียวในทีมดับเพลิงตะโกนแข่งอยู่ไม่ไกล เธอและเพื่อนผู้ชายอีกคนกำลังใช้สายฉีดอีกอันควบคุมไม่ให้ไฟลุกลามไปบ้านข้างเคียง
“ทีมสนับสนุนกำลังมา เรารออีกหน่อยน่าจะดีกว่า” ปัญหานี้ใหญ่เกินรับมือได้ด้วยคนแค่ทีมเดียว
“จะบ้ารึไง แล้วเด็กที่ติดอยู่ข้างในล่ะ!” เสียงหวานตะคอกอย่างอารมณ์เสีย การทำงานช่วยชีวิตคนต้องแข่งกับเวลา ยิ่งตอนนี้ผ่านไปนานแล้วอากาศด้านในคงเริ่มร่อยหรอ ผู้ประสบภัยจะพบกับอัตราการรอดที่ต่ำลง
“เอเลนพูดถูก เราต้องไปช่วยคนด้านในก่อนที่ไฟจะลุกลามจนไม่สามารถเข้าไปได้ พวกนายอยู่ประจำตำแหน่งของตัวเอง ฉันและเอเลนจะเข้าไป” อเล็กซ์ ชายวัย 45 ปี ผู้เป็นหัวหน้าหน่วยตัดสินใจพร้อมเตรียมอุปกรณ์
“หัวหน้า!” หลายคนไม่เห็นด้วยเนื่องจากมันเสี่ยงอันตรายเกินไป อีกทั้งเอเลนยังเป็นผู้หญิง
“ไม่อนุญาตให้ขัดคำสั่ง เอเลนสามารถลอดเข้าไปในช่องที่แคบเกินกว่าผู้ชายจะเข้าได้ เธอจำเป็นต้องเข้าไป” พื้นที่บางส่วนถล่มลงมาบ้างแล้วนั่นหมายความว่าอาจเกิดเหตุไม่คาดฝันที่ผู้ประสบภัยจะติดอยู่ในซอก
“ฉันจะเข้าไปและช่วยคนออกมา พวกนายไม่ต้องห่วง” เธอรู้ว่าพวกเขาทักท้วงด้วยความเป็นห่วงไม่ใช่ริษยา พวกเราทำงานร่วมกันมาหลายปี
“ถ้าเกิดอะไรขึ้นพวกคุณจะต้องรีบกลับออกมาทันที อย่าเอาตัวเองไปเสี่ยงโดยไม่จำเป็น” รองหัวหน้าหน่วยเคิร์ตย้ำชัดด้วยสีหน้าจริงจัง
“อืม ฝากนายดูทางนี้ด้วย” แม้ในฐานะหัวหน้าเขาควรอยู่กำกับลูกน้อง แต่คนที่เหมาะสมจะเข้าไปคือผู้มีประสบการณ์ยาวนานที่สุดเช่นเขา
กลุ่มคนสวมชุดสีส้มสดคาดด้วยเส้นสีเหลืองบ่งบอกว่ามาจากหน่วยงานไหน ถุงมือรองเท้าครอบคลุมทั้งตัวป้องกันความร้อน บนหัวมีหมวกสวมไว้กันอันตรายที่เกิดจากแรงกระแทก หลังของพวกเขามีถังออกซิเจนขนาดมาตรฐานสะพายติดตัวไม่ห่าง ตรงสายกระเป๋าติดเครื่องมือสื่อสารเพื่อติดต่อกับคนในทีมและที่ขาดไม่ได้คือหน้ากากสำหรับช่วยให้หายใจได้แม้อยู่ในสถานที่อันเต็มไปด้วยควันไฟ
สองร่างตรวจเช็คอุปกรณ์พร้อมเครื่องแต่งกายอีกครั้งก่อนเดินตรงเข้าไปยังช่องทางเล็กแคบ ตรงนั้นยังพอมีจุดให้เดินเข้าไปสำรวจด้านในตึกได้บ้างแล้วจากการฉีดน้ำดับไฟ ตอนนี้เป็นเวลากว่า 15 นาทีหลังจากทีมดับเพลิงชุดแรกมาถึง ภายในบ้านมองไปทางไหนล้วนเต็มไปด้วยจุดเพลิงไหม้ จากการคาดเดาเกรงว่าสาเหตุจะมาจากเตาแก๊สในครัวที่เกิดการรั่วซึมหรืออาจปิดไม่สนิท มิหนำซ้ำนี่ยังเป็นเวลากลางดึกคนในบ้านคงนอนหลับกันหมดแล้ว
“ขึ้นชั้นสอง” หลังจากกวาดตามองชั้นแรกจนครบอเล็กซ์จึงออกคำสั่งเดินหน้าต่อเพื่อไม่ให้เสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว
ชั้นสองเป็นพื้นที่โล่งไว้สำหรับใช้ทั้งครอบครัว เพียงไม่นานก็สำรวจเสร็จจึงมุ่งหน้าสู่ชั้นสามซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของคนในบ้าน บันไดทางขึ้นแต่ละชั้นถูกปิดกั้นด้วยกำแพงไฟ หากพวกเขาไม่ได้พกถังดับเพลิงมาด้วยคงยากที่จะขึ้นมาได้ เกรงว่าคนในบ้านเองก็คงลงไปไม่ได้เช่นกัน
โครม!
ห้องของชั้นสามถูกเปิดประตูทีละห้อง และเพราะไฟลุกลามมาถึงชั้นนี้แล้วจึงต้องใช้แรงถีบเปิดประตูที่กำลังเผาไหม้ ความร้อนเล่นงานจนพวกเขาทั้งสองคนเหงื่อท่วมตัวไปหมด จากที่สอบถามข้อมูลจากบ้านใกล้เคียงบ้านนี้มีเพียงมารดาและบุตรชายหญิงอีกสองคนเท่านั้น ส่วนผู้เป็นสามีออกไปทำงานต่างรัฐเป็นประจำ
“พวกเขาคงหนีขึ้นชั้นบนค่ะหัวหน้า” ชั้นสามไร้วี่แววสิ่งมีชีวิต น่าเสียดายที่บ้านหลังนี้ไม่มีดาดฟ้า ไม่อย่างนั้นก็คงหายห่วงเรื่องอากาศหายใจ
“อืม” บันไดตรงหน้าถูกไหม้ไปบางส่วนแล้ว หากไม่รีบเกรงว่าคงกลับออกไปไม่ได้ง่ายๆ
ชั้นบนสุดเป็นห้องนอนที่มีป้ายชื่อติดไว้ทำให้เดาได้ไม่ยากว่าคงเป็นห้องนอนของเด็กๆ ทั้งสองห้องเปิดกว้างเต็มไปด้วยควันไฟ ส่วนอีกห้องปิดเอาไว้ทั้งยังมีการเอาผ้าชุบน้ำยัดตามร่องประตู นักดับเพลิงทั้งสองหันมองหน้ากันแล้วพยักหน้าเป็นสัญญาณ
แกร่ก
ประตูห้องถูกเปิดออกพร้อมกับเจ้าหน้าที่ที่รีบเข้าไปด้านใน ภาพที่เห็นทำให้พวกเขาตกใจไม่น้อย ผู้หญิงคนหนึ่งเอาผ้าห่มชุบน้ำคลุมโปงเด็กๆ ไว้ ส่วนตนเองสลบไปจากการสำลักควัน
“ฮืออ ฮึก…ฮือ แค่ก แค่ก” เสียงสะอื้นไห้พร้อมกับเสียงไอระงมไปทั่วห้อง เด็กน้อยคงตกใจมาก
“เด็กๆ เรามาช่วยแล้ว แต่พี่อยากให้พวกหนูอยู่ในผ้าห่มนี้ไปก่อน แล้วขี่หลังพวกพี่ไปนะ” รอบนี้คงเป็นงานยากไม่น้อยผู้รอดชีวิตสามคนแต่มีเจ้าหน้าที่เพียงสอง
“เธอให้เด็กขี่หลังคนนึงแล้วนำหน้าเคลียร์บันไดทางลง ส่วนเด็กอีกคนกับแม่เด็ก ฉันจะจัดการเอง” อเล็กซ์แบ่งหน้าที่อย่างรอบคอบ ลูกน้องของเขาแม้เป็นผู้หญิงแต่ก็ผ่านการฝึกโหดมาแล้วย่อมไม่มีปัญหา
การทำงานนี้ไม่ได้กำหนดว่าต้องสูงเท่าไหร่ น้ำหนักเท่าไหร่ เเต่การทดสอบร่างกายหนักหน่วงกว่าที่หลายคนคิด เอเลนต้องใส่เสื้อเกราะน้ำหนัก 25 กิโลกรัมที่บ่า มีน้ำหนักแปะอีกข้างละ 12.5 กิโลกรัม รวมแล้วใส่ชุดหนัก 50 กิโลกรัม ในการสอบต้องลากดัมมี่ไปมาน้ำหนัก 90 กิโล โดยสอบทั้งหมด 4 รอบ และหลังจากผ่านการทดสอบด่านนี้ ยังมีการทดสอบร่างกายตลอดระยะเวลาการสมัครซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะนอกจากความแข็งแกร่งทางร่างกายแล้วพวกเขายังต้องมีความเข้มแข็งทางจิตใจอีกด้วย
“ค่ะ!” หญิงสาวรับคำพลางแบกเด็กน้อยคนหนึ่งขึ้นหลัง โชคดีที่ผ้าห่มมีหลายผืนพวกเขาจึงนำมาชุบน้ำแล้วคลุมตัวผู้ประสบภัยเอาไว้ ทางด้านหัวหน้าหน่วยเลือกแบกแม่เด็กไว้บนหลังและอุ้มเด็กอีกคนในอ้อมแขน เท่านี้พวกเขาก็พร้อมฝ่าลงไปยังด้านล่างซึ่งยังคงเต็มไปด้วยเปลวไฟร้อนระอุ
การลงจากชั้นสี่มาชั้นสามนับว่าไม่ลำบาก บันไดชั้นสามไปชั้นสองยังสามารถใช้ถังดับเพลิงช่วยเปิดทางได้ แต่ตอนนี้พวกเขากำลังยืนอยู่หน้ากำแพงไฟหน้าบันไดทางลงไปชั้นหนึ่ง ดูเหมือนทางเดินจะถูกฝ้าเพดานด้านบนถล่มลงมาจนผ่านได้ยาก
“ทำยังไงดีคะหัวหน้า” หากไฟแรงมากเกินไปการใช้ถังดับเพลิงก็ไม่ช่วยอะไรนัก แบบนั้นนับว่าเสียเปล่าจึงต้องไตร่ตรองให้รอบคอบ
ทางเลือกมีน้อยนัก พวกเขาถูกห้อมล้อมจากความร้อนจนเหมือนไม่มีหนทางให้หลบซ่อน ในฐานะหัวหน้าหน่วยอาจใช้เวลาสักหน่อยเข้าไปพังประตูห้องน้ำที่ยังใช้การได้มาเป็นทางเดิน แต่มันต้องใช้เวลาซึ่งนั่นแทบจะเป็นอย่างเดียวที่พวกเขามีจำกัด คิ้วเข้มของอเล็กซ์ผูกเป็นปม ต้องรีบตัดสินใจแล้ว ถ้าช้ากว่านี้เกรงว่าผู้ประสบภัยจะไม่สามารถอดทนไหว
แกร่ก….ครืนน
“เอเลน!”
ขณะกำลังคิดหาวิธีที่ปลอดภัยที่สุดฝ้าเพดานซึ่งถล่มลงมาบางส่วนได้รับผลกระทบจากความร้อนจนมิอาจคงสภาพไว้ได้ สุดท้ายส่วนที่เหลือจึงพังลงมาในคราวเดียว แรงกระแทกจากเศษปูนชิ้นใหญ่ทำให้เกิดเสียงดังทั่วทั้งชั้นแรก ฝุ่นผงปลิวว่อนฟุ้งกระจายเต็มไปหมดจนแยกไม่ออกว่าตกลงความมัวในอากาศนี้มาจากฝุ่นหรือควันของเพลิงที่ยังลุกลามไม่หยุด
............................................................................................