ร้านหนังสือหย่งเล่อ
ร้านขนาดกลางสองชั้นตั้งอยู่เกือบสุดถนนสายหลักเรียกได้ว่าค่อนข้างห่างไกลผู้คนเล็กน้อย ถึงอย่างนั้นก็ยังมีลูกค้าแวะเวียนมาซื้อตำราของร้านนี้อยู่บ้าง คงเพราะด้วยราคาที่ไม่แพงและหนังสือบางประเภทที่ร้านใหญ่ไม่อาจขายอย่างโจ่งแจ้งได้ แต่ร้านนี้กลับมีมากมายให้เลือกสรร
กรุ๊งกริ๊ง
เสียงกระดิ่งลมที่แขวนไว้ตรงประตูส่งสัญญาณว่ามีลูกค้าเข้ามาในร้าน นั่นทำให้ผู้ดูแลรีบรุดมาต้อนรับ
“ยินดีต้อนรับเจ้าค่ะคุณหนู ไม่ทราบว่ากำลังมองหาตำราแบบใดอยู่หรือเจ้าคะ” ใบหน้าของสตรีวัยกลางคนที่ยังคงรูปโฉมน่ามองเอ่ยพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“ข้าต้องการพบเจ้าของร้าน ไม่ทราบว่าท่านคือเจ้าของร้านใช่รึไม่เจ้าคะ” คุณหนูใหญ่ตระกูลซูทักทายกลับอย่างนอบน้อม ในเมื่อต้องการความช่วยเหลือจากใครเราก็ไม่ควรทำตัวเสียมารยาท
“ใช่แล้ว ข้าคือเจ้าของร้านนี้เองเจ้าค่ะ” สตรีวัยกลางคนยิ้มรับด้วยท่าทีมั่นใจ
“ข้ามาที่นี่เพราะได้ข่าวมาว่าเจ้าของร้านซื่อสัตย์เหมาะสำหรับทำการค้าด้วย แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่สินะ เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวก่อน” ร่างบางหันหลังกลับท่ามกลางความงุนงงของสาวใช้คนสนิทและเจ้าของร้านคนที่ว่า”
“ไฉนคุณหนูใหญ่จากตระกูลซูจึงใจร้อนนักเล่าเจ้าคะ” เสียงหวานหยาดเยิ้มดังขึ้นจากผู้หญิงมีอายุอีกคนที่แต่งตัวเหมือนชาวบ้านธรรมดา นางลุกจากเก้าอี้ที่ตนนั่งเช็ดตู้หนังสือแล้วเดินมาเผชิญหน้ากับแขกไม่ได้รับเชิญ ดวงตาเฉี่ยวคมทอประกายวาววับประหนึ่งกำลังเจอของล้ำค่าหายาก
“ข้าก็คิดว่าเจ้าของร้าน ‘ตัวจริง’ จะไม่อยากต้อนรับกันเสียแล้ว จึงไม่อยากรบกวนเวลาเจ้าค่ะ” โฉมสะคราญหันมายิ้มตามมารยาททั้งที่ในใจลิงโลดไม่น้อย
คราแรกนางจำข้อมูลนิยายไม่ได้มากจนกระทั่งเข้ามาถึงด้านในร้าน เสียงกระดิ่งลมกับภาพเถ้าแก่เนี้ยคนงามดึงเอาความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยอ่านเจอที่ไหนขึ้นมาจนกระทั่งนึกออก สถานที่แห่งนี้หาใช่ร้านหนังสือธรรมดาแต่เป็นถึงที่ขายข้อมูลซึ่งพระเอกจะได้โอกาสมาพบโดยบังเอิญในอนาคตและถ้าต้องการผูกสัมพันธไมตรีก็ต้องเปิดเผยตัวตนของผู้ดูแลที่แท้จริง นั่นจะทำให้ตัวละครหลักได้รับการดูแลอย่างดีเพราะสตรีนางนี้มักสนอกสนใจบุคคลที่เฉลียวฉลาดเป็นพิเศษ ทั้งยังให้ความช่วยเหลือตามความชอบส่วนตัวอีกด้วย
โชคดีตัวละครหลักที่ว่ายามนี้คือ ซูเลี่ยงเหลียง
“คุณหนูกล่าวหนักเกินไปแล้ว เชิญนั่งลงก่อนเถิดเจ้าค่ะ” ร่างอวบอิ่มเดินนวยนาดไปที่โต๊ะรับรองด้านในพร้อมกับสั่งให้คนนำขนมพร้อมชาชั้นดีมาต้อนรับแขก
“ข้าสงสัยใคร่รู้นักว่าท่านทราบได้เช่นไร” ตั้งแต่เปิดสาขาหน่วยข้อมูลที่นี่ก็ไม่เคยถูกใครจับได้สักครั้ง
“เป็นความลับทางธุรกิจ หวังว่าเถ้าแก่เนี้ยคงไม่ถือสา” จะให้บอกว่ารู้เพราะอ่านนิยายมาก็คงพิลึกเกินไป มิหนำซ้ำนางยังลืมไปแล้วว่าพระเอกในเรื่องเขาตอบว่าอะไรจึงถูกใจสตรีตรงหน้า
“ฮ่าๆ คุณหนูฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก ใครจะบอกข้อมูลสำคัญกับผู้อื่นง่ายๆ จริงรึไม่เล่าเจ้าคะ เป็นการตัดสินใจที่ดีเยี่ยมเจ้าค่ะ ถ้าอย่างนั้นมาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า การค้าใดที่ท่านต้องการจะเสนอเจ้าคะ” มือขาวผ่องยกถ้วยชาขึ้นจิบเฝ้ารอคำตอบจากดรุณีน้อย สายตาคมกริบดุจอสรพิษลอบสังเกตกิริยาอีกฝ่ายอย่างละเอียด
“ข้าอยากให้ท่านลองอ่านสิ่งนี้เจ้าค่ะ” กองกระดาษเกือบร้อยแผ่นเรียงลำดับหน้าอย่างดีถูกวางบนโต๊ะ
คิ้วได้รูปของเถ้าแก่เนี้ยเลิกขึ้นด้วยความสงสัย นางหยิบขึ้นมาอ่านไม่คิดอิดออดให้เสียเวลา บรรยากาศในห้องเงียบสนิทไม่มีใครคิดส่งเสียงขัดสมาธิทั้งยังนั่งมองกระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่าถูกอ่านอย่างละเอียด ใช้เวลาไม่นานดวงตาที่เคยทอประกายวาววับยามนี้มันกลับเพิ่มความตื่นเต้นยิ่งกว่าเก่า
“คุณหนู ท่านเป็นคนเขียนหนังสือเล่มนี้เองเช่นนั้นรึเจ้าคะ” ลายมือเป็นระเบียบเช่นนี้คงมิใช่บ่าวไพร่เขียนขึ้นมาแน่นอน
“ใช่เจ้าค่ะ” เพื่อให้ได้มาซึ่งความไว้ใจ นางต้องซื่อสัตย์ต่อคู่ค้าเช่นกัน
“ไม่คิดเลยว่าท่านจะมีพรสวรรค์ยิ่งนัก ท่านต้องการขายผลงานให้ร้านของข้ามากกว่าไปขายให้กับร้านใหญ่ๆ หรือเจ้าคะ” นั่นนับว่าเป็นการตัดสินใจที่ไม่เหมือนคนทั่วไป ถ้าเป็นคนปกติย่อมต้องการเปิดตัวที่ร้านใหญ่เพื่อเรียกค่าตอบแทนสูงๆ
“เพราะข้าไม่อยากอยู่ใต้คำสั่งใคร ถ้าอยากเขียนเมื่อไหร่ข้าจะส่งผลงานให้เอง ที่สำคัญ…ท่านคงมิใช้อำนาจเพื่อสูบเลือดสูบเนื้อข้าใช่รึไม่เจ้าคะ” คนงามแย้มยิ้มพร้อมวางหนังสือสัญญาลงบนโต๊ะ
“นี่…ข้าคิดว่าคุณหนูประเมินผลงานตนเองสูงไปรึไม่ ส่วนแบ่งเจ็ดต่อสามเช่นนี้ออกจะเกินไปหน่อยกระมัง ไม่มีใครกล้าเรียกส่วนแบ่งถึงสามส่วนหรอกนะเจ้าคะ” สตรีวัยกลางคนชักสีหน้าไม่พอใจทำเอาลี่ฉงถึงกับเผลอเกร็งตัวจนหลังตรง
“เกรงว่าเถ้าแก่เนี้ยจะเข้าใจผิดแล้วเจ้าค่ะ” มือบางดึงกระดาษสัญญากลับมา
“ข้าก็คิดเช่นนั้น-”
“ตรงนี้ข้าเขียนไว้ว่าส่วนแบ่งกำไรเจ็ดส่วนเป็นของข้าและอีกสามส่วนเป็นของร้านหย่งเล่อต่างหากเล่าเจ้าคะ” สิ้นเสียงหวานใสรอบข้างก็เงียบสนิท ดูเหมือนว่าคนที่จะถูกสูบเลือดสูบเนื้อคือเหออันฉีมิใช่คุณหนูตัวน้อยจากตระกูลซูเสียแล้ว
“ไม่คิดเลยว่าคุณหนูจะไร้เดียงสาเรื่องทำการค้าถึงเพียงนี้” รอยยิ้มของเถ้าแก่เนี้ยเริ่มฝืดเคือง ไม่เคยมีใครยื่นข้อเสนอแบบนี้มาก่อน
“สิ่งที่ท่านได้อ่านเป็นเพียงเนื้อหาในเล่มแรก ท่านไม่อยากรู้หรือว่าเนื้อหาเล่มต่อไปจะเป็นเช่นไร อีกทั้งเรื่องนี้ยังเป็นหนังสือทั้งหมดสามเล่มจบ ท่านคิดว่าจะได้กำไรจากมันมากแค่ไหน ฉะนั้นในฐานะคนที่เขียนมันขึ้นมาทำไมข้าจะต้องยอมเสียผลประโยชน์ของตนเองเล่าเจ้าคะ” ดวงตาคู่สวยหรี่ลงอย่างเจ้าเล่ห์ ชีวิตก่อนถึงจะไม่เคยทำธุรกิจเป็นชิ้นเป็นอันแต่นางย่อมรู้ดีว่าอะไรคือการโดนเอาเปรียบ คนสมัยนี้มักมองแต่ผลประโยชน์เล็กน้อยตรงหน้าและก้มหัวให้พวกนายทุนเนื่องจากส่วนใหญ่เป็นเพียงสามัญชนไร้การศึกษา
“เจ็ดต่อสามคงจะเป็นไปไม่ได้ ต่อให้เป็นร้านของตระกูลใหญ่ก็คงไม่สามารถลงนามในสัญญาฉบับนี้ได้หรอกเจ้าค่ะ” สตรีวัยกลางคนเอ่ยอย่างจริงจัง สาวน้อยตรงหน้าไม่ใช่คนที่จะหลอกล่อได้ง่ายๆ
“ถ้าท่านลงนามไม่ได้ก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ เพราะข้าเชื่อว่าคนที่มองเห็นคุณค่าอันแท้จริงของผลงานชิ้นนี้จะต้องยอมลงนามในสัญญาแน่ เพราะหนังสือเล่มนี้คือการหยอกล้อกับ ‘ความอยากรู้อยากเห็น’ ของคน” อะไรจะดึงดูดมนุษย์ได้มากเท่าความอยากรู้อยากเห็น สงสัยว่าเรื่องราวมันเป็นเช่นไร ทุกอย่างจะเป็นไปตามที่ตนคิดรึไม่ ยิ่งทิ้งปมท้ายเล่มไว้ค้างคามากเท่าใดความอยากรู้นั้นก็จะถูกกระตุ้นรุนแรงมากยิ่งขึ้น
“…ข้ายอมแพ้เจ้าค่ะ” กระดาษสัญญาถูกดึงกลับไปลงนามด้วยสีหน้าอารมณ์ดีจากคู่ค้า เหออันฉีถูกใจเด็กน้อยตรงหน้ามาก อะไรทำให้นางกล้าได้กล้าเสียกันนะ แม้จะรู้จักว่าอีกฝ่ายคือคุณหนูใหญ่ตระกูลซูที่มารดาเสียชีวิตตั้งแต่คลอดบุตรสาว แต่เรื่องอื่นเถ้าแก่เนี้ยไม่ได้ให้ความสนใจจึงไม่ทราบเบื้องลึกเบื้องหลัง จากนี้คงต้องไปอ่านข้อมูลที่มีสักหน่อยแล้ว
“ยินดีที่ได้ร่วมมือกับหัวหน้าใหญ่ของเหลาหู่ (พยัคฆ์) ”
ร่างกายของสตรีวัยกลางคนแผ่กลิ่นอายฆ่าฟันรุนแรงออกมาทำเอาคนในห้องถึงกับหายใจไม่ออก เลี่ยงเหลียงมองเหตุการณ์นั้นด้วยรอยยิ้มแจ่มใส นางสัมผัสกับความตายและอันตรายมาตลอดชีวิตการเป็นนักดับเพลิงดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะอดทนต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพียงครู่เดียวทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ ตอนนี้คุณหนูใหญ่ตระกูลซูได้ดึงดูดความสนใจของผู้มีอำนาจในเงามืดได้จนแม้แต่เจ้าตัวเองก็คงไม่คาดคิด
............................................................................................