ตอนที่2 ห้ามมีพิรุธ

2401 คำ
บทที่ 2 ห้ามมีพิรุธ ถึงป้ายเหล็กสลักชื่อนี้ไม่ได้มีความสำคัญถึงขนาดจำเป็นต้องใช้ในการเคลื่อนกองทัพเฉกเช่นตราพยัคฆ์อันล้ำค่ากว่าชีวิตน้อย ๆ ของเฟิ่งเซียนฮวา ทว่ามันอาจคร่าชีวิตนางได้ง่าย ๆ หากนางไม่บังเอิญรู้ความลับของมันเข้า.. ครั้งหนึ่งในบทนิยายได้กล่าวไว้ว่า ป้ายเหล็กสลักชื่ออวิ๋นอ๋องนั้นมีค่าเท่าหนึ่งชีวิต ต้องเท้าความก่อนว่าในช่วงเวลานั้นแคว้นหานชิ่งเริ่มล้อมตีเข้าประชิดป้อมเมืองหยางโจว แม่ทัพฝ่ายตรงข้ามใช้วิธีแทรกซึมเข้ามาภายในโดยวิธีการซื้อตัวทหารรักษาการณ์จำนวนหนึ่งเพื่อสุมไฟก่อความวุ่นวาย เพียงชั่วพริบตาพลันเกิดไฟลุกรามทั้งภายนอกและภายในเป็นความเสียหายอย่างหนัก จ้าวอวิ๋นหยางจำเป็นต้องแบ่งกำลังทหารจำนวนหนึ่งเพื่อรักษาสถานการณ์ภายใน กำลังพลแต่เดิมมีเพียงหยิบมือเมื่อจำเป็นต้องแบ่งไปทางอื่นทำให้ต้านทานทัพของหานชิ่งนับพันได้ยาก เมื่อสถานการณ์เริ่มย่ำแย่ จ้าวอวิ๋นหยางจึงตัดสินใจเด็ดขาดส่งม้าเร็วจำนวนหนึ่งเข้าเมืองหลวงเพื่อขอทัพเสริมโดยไม่ได้แจ้งหรือได้รับอนุญาตจากจ้าวกงหยู่หวงตี้ ถึงเป็นเหตุฉุกเฉินและความจำเป็นแต่กระนั้นก็ไม่สามารถนำมาเป็นข้ออ้างลดความกริ้วของฝ่าบาทได้แม้แต่น้อย ในท้ายที่สุดฝ่าบาททรงยินยอมมอบกำลังทหารจำนวนหนึ่งเข้าช่วยเหลือ แต่การช่วยเหลือนั้นมาช้ากว่าที่คาดคิด ใครต่างก็พูดว่าต้องเสียเมืองหยางโจวไปเป็นแน่ จ้าวอวิ๋นหยางไม่มีทางนำชัยกลับคืนมาได้ เช่นเดียวกับเฟิ่งเซียนฮวาก็มีความคิดเช่นนั้น ส่วนตัวนางได้หลบหนีกลับจวนสกุลเฟิ่งก่อนแล้วด้วยความช่วยเหลือจากองครักษ์เยี่ยน กระทั่งผ่านมาร่วมเดือนถึงได้รู้ถึงความเก่งกาจของผู้เป็นพระสวามี ไม่เพียงแต่จ้าวอวิ๋นหยางสามารถต้านทัพหานชิ่งได้ เขายังสามารถชิงดินแดนสองในสามส่วนที่เป็นของแคว้นหานชิ่งกลับมาด้วยกำลังเพียงหยิบมือ ครั้นอวิ๋นอ๋องเคลื่อนทัพกลับเมืองหลวง ได้นำไส้ศึกมาลงมือตัดคอต่อหน้าพระพักตร์จ้าวกงหยู่หวงตี้ด้วยตัวเอง ความโหดร้ายป่าเถื่อนและความเก่งกาจนี้ดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งแคว้นจ้าว สร้างความไม่พอพระทัยแก่ฝ่าบาทอย่างยิ่ง อีกทั้งเขายังพาศัตรูเข้าบ้าน ให้ทายว่าเขาได้พาใครกลับมาด้วย.. ติ๊กตอก.. ถูกต้อง! แม่นางเอกนั่นเอง ลู่มู่อิง นึกถึงแม่นางดอกบัวขาวผู้นี้แล้วเลือดนางร้ายในตัวของนางที่พอหลงเหลืออยู่เล็กน้อยพลันคิ้วกระตุกถี่..! ไม่รู้ด้วยวาสนาดอกบัวชนิดไหน บุรุษรูปงามทั้งหลายถึงได้ลุ่มหลงนางนัก ด้วยลู่มู่อิงเป็นสตรีที่ถูกจัดในประเภทอันตรายทว่าลึกลับน่าค้นหา ส่วนตัวเฟิ่งเซียนฮวาชื่นชอบตัวละครนี้ไม่น้อย ทั้งสู้รบได้ไม่แพ้บุรุษทั้งดูอันตรายแต่กลับงดงามอ่อนช้อยในเวลาเดียวกัน ผิดกับนางร้ายเช่นนางที่อาศัยเพียงใบหน้างดงามและความร้ายกาจแบบไร้สมอง.. เกริ่นมาเสียยืดยาว.. เอาเป็นว่าสาเหตุที่นางรู้ว่าป้ายเหล็กสลักชื่อนี้ไม่ใช่ของธรรมดา เพราะหลังจากจ้าวอวิ๋นหยางเล่าถึงภูมิหลังของลู่มู่อิฝที่ต้องลำบากลำบนอย่างไรเพื่อปลอมตัวเป็นบุรุษเพื่อให้รอดพ้นจากการถูกจับไปเป็นทาสอุ่นเตียงให้ทหารในกองทัพหานชิ่ง ไม่เท่านั้นยังให้ความร่วมมือในการชิงดินแดนครั้งนี้ นางนับว่าสมควรได้รับความดีความชอบ แต่ทว่าจ้าวกงหยู่หวงตี้กลับไม่ยอมอ่อนข้อละเว้นโทษตาย รับสั่งว่าอย่างไรศัตรูต้องถูกกำจัดทิ้งให้สิ้นซาก ทำให้จ้าวอวิ๋นหยางต้องใช้ป้ายเหล็กนี้ในการช่วยเหลือนาง และไม่รู้ด้วยสาเหตุใดจ้าวอวิ๋นหยางถึงรู้ว่าป้ายเหล็กนี้เฟิ่งเซียนฮวาเป็นคนขโมยไป! ทำให้ตอนนั้นนางถูกตำหนิจากท่านพ่ออย่างรุนแรงและเป็นครั้งแรกที่ถูกผู้เป็นบิดาลงมือตบหน้า ครอบครัวเกือบถูกสั่งโทษประหารเพียงแต่อวิ๋นอ๋องไม่ติดใจเอาความ นางถึงรอดมาได้ ยิ่งทำให้ความแค้นที่มีต่อจ้าวอวิ๋นหยางเพิ่มขึ้นทวีคูณ จากเดิมที่เกลียดนักหนาก็ยิ่งไม่อยากเห็นหน้า หาหนทางทุกอย่างเพื่อแก้แค้นเขา ไม่เว้นแม้แต่ลู่มู่อิงที่ถูกนางกลั่นแกล้งสารพัด ร้ายแรงที่สุดคงเป็นหลอกล่อส่งลู่มู่อิงขึ้นเตียงเจียงเว่ยหู เพราะตัวร้ายผู้นั้นก็หมายปองแม่นางเอกเช่นเดียวกัน.. เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว.. จุดเริ่มต้นมันก็เกิดขึ้นเพราะนางเองแท้ ๆ ขอตายไปแล้วเกิดใหม่อีกรอบได้หรือไม่ ฮือ.. เท้าความเมื่อหลายวันก่อนตอนยังเป็นเพียงเฟิ่งเซียนฮวาสตรีที่มีสมองเท่าเม็ดถั่ว ไม่รู้ว่านางมีความกล้ามาจากไหนหรืออะไรดลใจให้ขโมยป้ายเหล็กประจำตัวจ้าวอวิ๋นหยางมา “ข้าว่าข้าไปตายแล้วเกิดใหม่เป็นติ่งในท้องแม่ยังจะดีเสียกว่า” ถูกต้อง.. เรื่องนี้ไม่มีนางก็ดำเนินเนื้อเรื่องต่อไปได้ นางมันก็แค่ส่วนเกิน.. เฟิ่งเซียนฮวาเช็ดน้ำตาสีหน้าปรับเปลี่ยนเป็นแน่วแน่.. แน่วแน่ที่แปลว่าช่างมัน! ก่อนจะเดินออกไป “ติ่ง? หรือพ..เพคะ พ..พระชายาจะไปไหนหนะเพคะ!!” ซูผิงแม้ไม่เข้าใจความหมายแต่ก็รีบผุดลุกขึ้นเดินตามร่างเล็กไป ขณะมองอาภรณ์เรียบง่ายสีม่วงอ่อนด้วยความกังวล เพราะความรีบร้อนวิ่งตรงมายังเรือนอวิ๋นอ๋องทำให้ไม่ทันเปลี่ยนเป็นชุด จึงมีเพียงเสื้อคลุมบางกันความหนาวไว้เท่านั้น ด้านคนตัวเล็กเดินดุ่ม ๆ เรียบทางเดินสวนดอกไม้ไปยังเรือนนอนของตัวเองพลางพูดเสียงนิ่ง “ข้าจะนำสิ่งนี้ไปคืนหรือไม่อย่างไรก็ถูกลงโทษอยู่ดี ร้ายแรงที่สุดครอบครัวของข้าคงถูกสั่งประหาร สุดท้ายก็วนเข้าเส้นเรื่องเดิมแม้ข้าพยายามเพียงใด ไม่สู้ข้าไปสู่ขิตชำระความผิดให้รู้แล้วรู้รอดไปไม่ดีกว่ารึ ถึงอย่างไรใคร ๆ ก็โกรธแค้นข้า แช่งให้ข้าตายวันตายพรุ่งอยู่แล้ว ตายอีกสักรอบจะเป็นอะไร” น้ำเสียงชินชามีกระแสเยือกเย็นพาให้คนฟังเช่นซูผิงใจหายอย่างน่าหดหู่ ถึงในใจจะยังสงสัยกับคำว่าสู่ขิตก็ตาม “เหตุใดพระชายาถึงตรัสเช่นนี้กันเพคะ ใครบังอาจหวังให้พระองค์..” ซูผิงหยุดคำพูดไว้เพียงเท่านั้น ไม่กล้าเอ่ยวาจาน่ากลัวขึ้นมาซ้ำสอง จวบจนเสียงพ่นลมออกจมูกดังขึ้นจากคนตัวเล็กด้านหน้าซึ่งก็ไร้การตอบกลับเช่นกัน ซูผิงจึงเลือกที่จะพูดต่อว่า “ถึงหม่อมฉันไม่เข้าใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้น แต่หากว่าพระองค์ต้องการนำของในมือไปคืนให้แก่อวิ๋นอ๋อง พระองค์ควรทำเสียตอนนี้เลยเพคะ เพราะท่านอ๋องไม่อยู่เวลานี้ พระองค์ไม่คิดว่านี่เป็นเวลาเหมาะสมที่จะคืนสิ่งของหรือเพคะ!” ร่างบางพลันหยุดชะงักกึกอยากตีหัวตัวเองสักที! นางดันหวาดกลัวและท้อแท้จนลืมคิดให้ถี่ถ้วน น่าตีจริงเชียว “ถูกของเจ้า.. ข้าลืมไปได้อย่างไรว่าอวิ๋นอ๋องไม่อยู่เรือนเวลานี้” ดวงตากลมโตเบิกกว้างใบหน้าหม่นหมองในคราแรกเริ่มมีประกายความหวังให้เห็น เฟิ่งเซียนฮวาไม่รอช้ารีบกลับลำหันหลังไปยังเรือนจ้าวอวิ๋นหยางทันทีทันใด ทั้งสองคนผ่านเข้าไปได้โดยที่ไม่มีใครทันสังเกต อาจเป็นเพราะเวลานี้ภายในตำหนักอ๋องอยู่ในช่วงตึงเครียดเรื่องทัพต่างแคว้นจึงไม่มีคนพลุกพล่านให้เห็นเสียเท่าไหร่ พ้นลานกว้างมาได้ สองเท้าก็รีบเดินปรี่ผ่านระเบียงทางเดินไปยังประตูชั้นในโดยมีซูผิงดูลาดเลาหน้าประตูไว้ให้ เมื่อเฟิ่งเซียนฮวาเข้ามาภายในได้แล้ว ดวงตาดอกท้อจึงกวาดมองโดยรอบประมวลภาพอย่างรวดเร็ว นางเคยมาครั้งหนึ่งแล้วก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าเหตุใดเรือนนอนของผู้เป็นอ๋องถึงมีไม่กี่ชิ้น เปรียบเทียบเรือนนอนของนางที่ตระกูลเฟิ่งแล้วผิดกันราวกับฟ้ากับเหว ซึ่งภายในห้องแบ่งสัดส่วนชัดเจน ตรงกลางจัดเป็นส่วนสำหรับจิบชามีชั้นวางหนังสือคั่นระหว่างห้องทรงงานทางฝั่งซ้าย ทางด้านขวาเป็นส่วนที่มีฉากกั้นปกปิดมิดชั้นขึ้นมาเล็กน้อย ห้องด้านในต้องเป็นห้องบรรทมอวิ๋นอ๋องไม่ผิดแน่ ภายในใจเฟิ่งเซียนฮวาเกิดความลังเลว่าสมควรเก็บเจ้าป้ายแสนสำคัญนี้ไว้ที่ใด ตอนนำออกมาก็แสนง่ายดายประหนึ่งจ้าวอวิ๋นหยางหยิบใส่มือนางเอง! ของสำคัญเช่นนี้ผู้เป็นอ๋องกลับเลือกวางไว้คั่นตำราบนโต๊ะ หากไม่ใช่นางที่เอาไปคงเป็นโจรสักคนลักขโมยไปแทน! เฟิ่งเซียนฮวาทำได้เพียงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่สลัดความคิดไร้สาระเล็ก ๆ ออกไป กลับมาหาวิธีทำให้พ่อพระเอกไม่คิดสงสัยนาง ตัวนางเองไม่ได้สตินานถึงสิบวันไม่มีทางที่จ้าวอวิ๋นหยางจะไม่ระแคะระคายว่าป้ายเหล็กได้หายไปแล้ว หากนำกลับไปวางที่เดิมย่อมน่าสงสัย คิดได้ดังนั้นปลายเท้าจึงเดินไปยังชั้นวางด้านหลังโต๊ะกลางห้อง บนนั้นมีตำราหลายเล่มเรียงซ้อนกันเสียแน่นขนัด ตำราหลายเล่มเพียงนี้กลับไม่มีเล่มไหนจับฝุ่นส่วนบางเล่มมีร่องรอยการอ่านซ้ำหลายครั้ง เฟิ่งเซียนฮวาเห็นแล้วก็อดทึ่งไม่ได้ ด้วยดีกรีพระเอกไม่แน่ว่าจ้าวอวิ๋นหยางอาจจะอ่านทั้งหมดนี่จริง ๆ และบ่อยครั้งเสียด้วย นึกถึงตรงนี้บางสิ่งบางอย่างก็สะกิดใจคนที่แม้จะมีหลัวหรือไม่มีก็ไม่เคยได้เล่นจ้ำจี้สักครั้งจนอดที่จะพูดออกมาไม่ได้ว่า “ให้ตายเถอะ แล้วไม่รู้ผีสางตนใดบังตาข้าถึงมองว่าสวามีตัวเองไม่มีอะไรดี! ดูสิ๊ ทั้งเก่งกาจมีความสามารถ เรื่องสู้รบนี่ยกให้ที่หนึ่ง แล้วยังมีความเฉลียวฉลาดหมั่นจับตำราอ่าน ไม่พอยังโคตรหล่อ หล่อแบบต้องร้องตะโกน หล่อแบบต้องร้องขอชีวิต! หล่อแบบอยากชี้หน้าชะมัดว่านี่แหละพ่อของลูก! ฮึ่ย เซียนฮวาหนอเฟิ่งเซียฮวามีหลัวหล่อและเก่งขนาดนี้ยังคิดหวังสูงจนต้องถูกเขาทรมานตาย!” ระหว่างตำหนิตัวเองเป็นเรื่องราวก็พยายามหาช่องว่างเพื่อสอดป้ายเหล็กนี้เข้าไป ทำทรงเนียนว่าเขาเป็นคนลืมไว้เองมิใช่นางเอกไปเสียหน่อย! “..คราวเป็นฟางเซียนจะหาหลัวสักคนยังยาก นัดบอร์ดมาหลายสิบครั้งก็ไม่เคยไปกันรอดสักครา! คราวนี้มีหลัวหลัวก็เป็นของคนอื่นอีกวุ้ย!! อิจฉาแม่นางลู่จริงเชียว!” หลังจากหาที่เหมาะเจาะสักพักหนึ่งจึงพบช่องว่างระหว่างหนังสือตำราอยู่ช่วงชั้นบนซึ่งสูงกว่านางหนึ่งช่วงแขน เฟิ่งเซียนฮวาคิดเอาเองว่าจุดนี้ควรเป็นจุดที่มองหาได้ยากที่สุด มุมปากได้รูประบายยิ้มกว้าง พลางเขย่งปลายเท้าเพื่อแทรกป้ายเหล็กนี่เข้ามาพอหมิ่นเหม่ให้เห็นเพียงเล็กน้อย ตั้งมุมยี่สิบองศาพอดิบพอดีฉบับคิดเอาเองว่ามันเนียน! “ฮึบ..” นางจำต้องเขย่งปลายเท้าขึ้นอีกหน่อยเพื่อส่งป้ายเหล็กเข้าไปให้ลึกขึ้น มันต้องใช้ความพยายามอย่างมากจึงมีสะดุดเล็กน้อย แต่เมื่อเทียบกับความสูงของจ้าวอวิ๋นหยางแล้วเขาต้องสอดไว้สูงกว่านี้อีกแน่ ทว่ามันน่าเจ็บใจที่ความสูงของเฟิ่งเซียนฮวานั้นเตี้ยกว่ามาตรฐานเล็กน้อยทำให้ตอนนี้นางใช้ความพยายามทั้งหมดในการเขย่งแล้วจริง ๆ ! คนตัวเล็กงุ่นง่านอยู่ช่วงอึดใจหนึ่งกระทั่งป้ายเหล็กนั้นอยู่ในจุดที่นางตั้งใจไว้เรียบร้อย “ฮู่ว..” หญิงสาวพ่นลมหายใจขึ้นจมูก ขยับถอยหลังออกมาเล็กน้อยเพื่อมองผลงานตัวเอง เมื่อคิดว่าเนียนดีแล้วก็ยิ้มร่าจนแก้มปริ หันหลังเตรียมตีหน้ามึนไม่รู้ไม่ชี้กลับเรือนพลางคิดถึงวิธีเอาใจสามีต่อจากนี้ต่าง ๆ นานา ในจังหวะโล่งใจนั่นเอง บางอย่างที่อยู่เบื้องหลังก็พลันทำเอาใจน้อย ๆ ของเฟิ่งเซียนฮวาแทบเด้งกระดอนออกจากอก!! กรี๊ดดดดดด.. ซึ่งเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจอย่างที่สองคือนางสามารถกรี๊ดในใจได้แม้จะรู้สึกโคตรจะตกใจเหมือนเจอผีก็ตาม!! เมื่อสักครู่เขาได้ยินนางหมดแล้วใช่หรือไม่?! เบื้องหลังปรากฏบุรุษร่างสูงเกือบเจ็ดฉื่อซึ่งนับว่าสูงนัก ทว่านั่นไม่ได้ดูเทอะทะอย่างที่ควรเป็นกลับดูสมส่วนรับกับไหล่กว้างที่ให้ความรู้สึกราวขุนเขาอันหนักแน่นพร้อมจะปกป้องสิ่งรอบกาย ยิ่งมีใบหน้าหล่อเหลาราวบรรจงปั้นกับดวงตาสีดำทมิฬคู่คมที่จ้องมองมาก็สามารถสะกดลมหายใจให้หยุดชะงัก ยังไม่นับมวลกล้ามเนื้อแข็งแกร่งที่ถูกขัดเกลาผ่านสนามรบและฝึกฝนมาอย่างดีสะท้อนผ่านชุดเกราะหนักกระแทกตาชะนีตัวน้อยอย่างนางราวกับตั้งใจยั่วยวน อึก.. ลำคอเล็กเผลอกลืนน้ำลายไม่รู้ตัว เฟิ่งเซียนฮวายิ่งอยากจิ้มตาตัวเองให้บอดที่มองข้ามบุรุษรูปงามสุดกร้าวใจอย่างจ้าวอวิ๋นหยางได้ลงคอ!! ด้านจ้าวอวิ๋นหยางเพียงยืนพิงอย่างนิ่งสงบข้างเสา แววตานุ่มลึกยากจะคาดเดาความคิดจับจ้องมาที่คนตัวเล็กราวกับกำลังคิดบางสิ่ง.. ผิดกับเฟิ่งเซียนฮวาที่ข้างในเริ่มลุกร้อนเป็นไฟ ครั้นพริบตาแรกที่เห็นร่างสูงใหญ่บดบังแสงแดดแต่ความหล่อดันสะท้อนเกราะแยงลูกตา อาการความรักตัวกลัวตายก็เป็นดั่งหืดขึ้นมาจากคอถึงศีรษะชวนขนลุกขนพอง! มือบางเผลอกำกระโปรงจนแน่น สัญชาตญาณสั่งการร่างกายและสมองทันทีว่า ถึงจะหล่อ แต่หล่อนห้ามมีพิรุธนะย้ะ!!
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม