นางเดินไปทีเรือนนอนของหวังหย่ง ความเขินอายหายไปเมื่อใดไม่รู้ นางเข้าห้องเขาอย่างคุ้นเคย หวังหย่งเงยหน้าจากตำรา เห็นจางลี่เดินเข้ามาก็ประหลาดใจ เขาเริ่มเบื่อจางลี่แล้วจึงไม่ค่อยเรียกนางมาปรนนิบัติ
“คุณชาย...บ่าวรู้สึกไม่สบายเจ้าคะ”
“เป็นอะไร” เขาถามอย่างตัดรำคาญ แต่จางลี่กลับเดินมาตรงหน้าเขา เอนกายพิงโต๊ะเล็กน้อย ส่วนเขานั่งบนเก้าอี้ มือของนางเลื่อนไปผลักหนังสือออกจากโต๊ะ แล้วค่อยเลื่อนมาจับชายกระโปรงให้ค่อยๆ ร่นขึ้น
“ตรงนี้ มันแฉะเจ้าค่ะ” นางยกเท้าขึ้นข้างหนึ่งวางบนหน้าตักของเขา ทำให้ภายใต้กระโปรงที่ไม่ได้สวมการเกงชั้นในเผยกลีบดอกไม้งดงามเบื้องหน้าชายหนุ่ม
“มันเสียวด้วยเจ้าค่ะ แค่ข้าคิดถึงคุณชายมันก็ทั้งแฉะทั้งเสียว ข้าจะทำอย่างไรดีเจ้าค่ะ ข้าแย่งนิ้วเข้าไปแบบนี้ รัวๆ แบบนี้ๆ แรงๆ อย่างนี้ มันยังไม่หายเสียวเลยเจ้าค่ะ อา...”
นางหลับตาแหงนหน้าครางกระเส่า ขณะสาวนิ้วเรียวในร่องรักต่อหน้าชายหนุ่ม
เห็นเช่นนี้แล้ว แก่นกายบุรุษของหวังหย่งก็ดุนดันกางเกงจนเขาต้องขยับสายรัดเอวออกคลายเสื้อผ้า
“ให้ข้าช่วยรักษาเจ้าเอง”
“คุณชายช่างเมตตาจริงๆ” นางถอดนิ้วแล้วส่งนิ้วเข้าปากตนดูดนิ้วอย่างหิวกระหาย “คุณชายเจ้าขา ข้าน้อยขอบังอาจขึ้นขย่มแท่งหยกของท่านได้ไหมเจ้าคะ แท่งหยกของท่านราวกับม้าหนุ่ม ข้าอยากขย่มสักครั้ง”
แม้ปากขอไปเช่นนั้น แต่นางกลับทรุดตัวคุกเข่าแล้วอ้าปากงับท่อนเอ็นผ่านผ้าเนื้อดี แรงขบกัดนั้นทำให้หวังอี้ครางออกมาอย่างพอใจ
“มาเลยเด็กดี เจ้ามาลองควบขี่มัน”
จางลี่ถอยห่าง ปลดเปลืองเสื้อผ้าตนเองแล้วยื่นมือไปถอดเสื้อผ้าของชายหนุ่ม เขาลงไปนอนแผ่หราแต่จางลี่ขึ้นคร่อมแล้วกดสะโพกของตนให้สวมทับแท่งหยกร้อนระอุ
“อร๊ายยย”
“โอ้วววว”
จางลี่เคลื่อนไหวร่างกายราวร่ายรำ โยกไหวบดคลึงตามอารมณ์รุ่มร้อน แต่เดิมนางได้แต่เป็นผู้เดินตามการชักนำของหวังหย่ง แต่ครั้งนี้นางเป็นคนเริ่มก่อนและควบคุมชายหนุ่มเบื้องล่าง นางร่วมรักกับเขามาหลายครั้ง รู้ดีว่าเขาใกล้ถึงฝั่งก็ถอดสะโพกออกอ้าปากดูดกลืนยื้อเวลา พอหลอกล่อได้ที่ก็ขึ้นคร่อมโยกบดกดกระแทก กลิ่นคาวน้ำรักอบอวลในห้อง
“ให้ข้าปลดปล่อย” หวังหย่งคำราม นางทรมานเขาด้วยความเสียวซ่าน ร่างงามยังบิดส่ายวนทำชายหนุ่มกัดฟันแน่น นางขย่มได้เร้าใจอย่างที่เขาไม่รู้มาก่อนว่าเร้าร้อนได้เพียงนี้
“จางลี่”
“คุณชาย...รับปากจางลี่ข้อหนึ่งได้ไหมเจ้าคะ” นางหอบครางแม้จะขย่มแท่งหยกจนเหนื่อยเหงื่อไหลโทรมกาย
“ว่ามา!” เขาอยากปลดปล่อย แน่นางกลับทำเกือบถึงจุดสุดยอดแล้วหยุด เช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเขาเจียนคลั่ง
“ท่านแต่งงานกับใครก็ได้แต่ห้ามทอดทิ้งข้า รับข้าเป็นอนุของท่าน”
“ได้! ข้ารับปาก!”
จางลี่ได้อย่างที่ต้องการ นางเร่งควบโจนทะยานไม่ยั้งจนตนเองร่างเกร็งกระตุกและหวังหย่งก็พ่นน้ำรักออกมาจนล้นร่องรัก นางถอนกายออกแล้วก้มลงไล้เลียทำความสะอาด
“เด็กดี เจ้าเก่งกาจเพียงนี้ ข้าไม่ทอดทิ้งเจ้าแน่นอน”
จางลี่ไม่ตอบได้แต่ยิ้มในใจ ขั้นแรกคือเป็นอนุ แต่หลังจากนั้นนางจะใช้เรือนร่างนี้ไขว่คว้าทุกอย่างมาเป็นของตนเอง!
................................
ปีศาจสาวขยับตัวเล็กน้อย แม้จะนอนอยู่แต่รับรู้ว่าเกิดเรื่องใดในเรือนแห่งนี้ มุมปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย หัวเราะเบาๆ เพียงการชี้นำเล็กน้อยก็ทำให้สตรีในบ้านสกุลหวัง ‘ฉลาด’ ขึ้น นางไม่ได้กินพลังชีวิตมาหลายวันแล้ว แต่คนพวกนี้ไม่คุ้มค่าให้นางดื่มกินเลยสักนิด นางแค่อยากเล่นสนุกก่อนไปเผชิญหน้ากับเรื่องที่รออยู่เบื้องหน้า
....................
รถม้าเรียบง่ายแต่ดูหรูหราหยุดนิ่งหน้าประตูคฤหาสน์หลังหนึ่ง กวงหมิงมารอรับด้วยท่าทีเงียบขรึมเช่นทุกครั้ง ชิงหรูเยี่ยงย่างกายออกมาจากด้านใน นางปรายตาส่งยิ้มเล็กน้อยให้เหมยกุ้ยและหูเตี๋ยที่ยิ้มแย้มเปี่ยมความสุข ทั้งสองออกมาส่งนางด้วยตนเอง ชิงหรูมองเลยไปยังสาวใช้ที่ชื่อจางลี่ นับจากนี้ชะตาชีวิตของนางคงไปได้ไกลอย่างที่นางหวัง ทว่าไม่มีสิ่งใดได้มาโดยง่าย นั้นอยู่ที่ว่านางเลือกจะพอใจกับสิ่งที่ตนมีหรือไต้เต้าไปสู่กิ่งไม้ที่สูงกว่านี้
“ขอบคุณทุกท่านที่ดูแลอย่างดียิ่ง ชิงหรูขอตัวกลับก่อน หากมีวาสนาวันหน้าคงได้พบกันอีก”
“แม่นางชิงหรู เดินทางดีๆ”
หวังอี้กล่าวในฐานะเจ้าบ้าน แล้วมองบุรุษรูปร่างสูงใหญ่แต่งกายเรียบง่ายสีน้ำเงินเข้มเหลือบดำเข้ามาหาหญิงสาว ชายผู้นั้นประสานมือคารวะแล้วเอ่ยขึ้น
“รถม้าพร้อมแล้วขอรับนายหญิง”
“คราวนี้คงไม่มีอะไรเสียหายอีกแล้วนะ” ชิงหรูแสร้งตำหนิบ่าวรับใช้ ยื่นมือไปจับท่อนแขนแข็งแกร่งของเขาเพื่อประคองตัวเองขึ้นรถม้า เมื่อหญิงสาวขึ้นรถม้าเรียบร้อยแล้ว กวงหมิงหันไปผงกศีรษะให้ทางคนสกุลหวังเล็กน้อย หมุนตัวกลับมานั่งประจำตำแหน่งสารถี ตวัดแส้ในมือแล้วบังคับให้ม้าเคลื่อนตัวออกไป
“กวงหมิง”
เสียงเรียกไม่ดังนักแต่ชายหนุ่มที่นั่งด้านหน้าได้ยินชัดเจน
“ขอรับนายหญิง”
“ไปเมืองหลวง”
“ขอรับ”
กวงหมิงตวัดแส้ในมือแล้วมุ่งหน้าสู่เส้นทางที่ปีศาจสาวสั่ง เขาเป็นเพียงบ่าวรับใช้ย่อมไม่มีสิทธิ์ถามว่าเหตุใดนางจึงไปเมืองหลวงในยามนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้หลายปี แม้มีคนเชิญนางไปเมืองหลวงอย่างไรนางก็ไม่ไป เขาเพียงหวังใจว่านางจะเมตตาปล่อย ‘ชิงหรู’ ให้เป็นอิสระในเร็ววัน
รถม้าหรูหราหยุดที่ศาลาพักม้า สายตาหลายคู่จับจ้องไปยังรถม้าจนกระทั้งสารถีร่างสูงใหญ่ลงจากรถมารับหญิงสาวที่สวมหมวกปีกกว้างคลุมด้วยผ้าโปร่งก้าวลงจากรถอย่างเชื่องช้า แม้สวมเสื้อคลุมสีเลือดนกมิดชิดแต่เหล่าบุรุษต่างกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น แม้หญิงสาวเดินผ่านอย่างสำรวมแต่กลับสร้างความรู้สึกเย้ายวนให้ผู้พบเห็น นางเดินเข้าไปนั่งด้านในแม้มีฉากกันให้ความเป็นส่วนตัว แต่นางยังไม่ยอมถอดหมวกนั้นออก
“นายหญิงรับของว่างหรือไม่ขอรับ”
หญิงสาวไม่ได้เอ่ยตอบเพียงแต่พยักหน้ารับ ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่จึงเดินออกมาสั่งน้ำชากับของว่างให้ เขายืนรอจนเสี่ยวเอ้อนำถาดน้ำชาและของว่างเข้ามาจึงสาวเท้าเข้าขวาง รับถาดนั้นไว้เองแล้วหมุนตัวเดินเข้ามาด้านใน จัดแจงวางเรียบร้อยแล้วจึงรินน้ำชาให้หญิงสาวด้วยตนเอง มือเรียวงามยื่นมารับถ้วยน้ำชาจิบไปเล็กน้อยก็เบือนหน้าไปทางอื่น
“ให้บ่าวเปลี่ยนใบชาไหมขอรับ”
หญิงสาวโบกมือห้ามก่อนชี้นิ้วไปที่ขนมดอกกุ้ย ชายหนุ่มยื่นมือมาหยิบบิเป็นชิ้นเล็กๆ ส่งเข้าปากให้โดยที่นางไม่ต้องหยิบเอง นางกินเพียงชิ้นเดียวก็ส่ายหน้าไม่กินอีก
‘ข้ากินไม่ลง หากเจ้าไม่กินเองก็เอาไปทิ้งเสีย’
นางขยับปากแต่ไม่ได้ส่งเสียง แต่ถ้อยคำเหล่านี้มีเพียงกวงหมินที่ได้ยิน เขารับเพียงผงกศีรษะรับแล้วยกของว่างเหล่านั้นไปให้พ้นสายตาของหญิงสาว
“เช่นนั้นนายหญิงนั่งพักสักครู่ ให้ม้ากินหญ้ากินน้ำแล้วค่อยเดินทางต่อ”
หญิงสาวแค่พยักหน้ารับ นางมองร่างสูงใหญ่ในชุดบุรุษสีดำเดินออกไปแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ ลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินออกไปด้านนอกเล็กน้อย จุดนี้เป็นเนินเขาจึงมองเห็นทิวทัศน์ได้ไกล นางเหม่อมองเส้นทางที่ผ่านมา และคิดถึงเส้นทางที่มุ่งหน้าไป
ตั้งแต่ถูกเลือกมาเป็นร่างทรง ชิงหรูไม่สามารถพูดจาส่งเสียงได้ นางทำแต่ได้แค่ขยับปากแต่ไร้เสียง หากไม่ใช่คนที่มีความสามารถในการอ่านปากจะไม่เข้าใจนางและมักคิดว่านางเป็นใบ้หูหนวก แต่แท้ที่จริงแล้วเพราะร่างกายของนางมิใช่ของนาง นางจำได้ว่า หากเมื่อใดที่ร่างกายนี้หมดประโยชน์และมีผู้อื่นถูกเลือกเป็นร่างทรงแทนนาง ยามนั้นนางจะได้เสียงและชีวิตของนางกลับคืน