พอเดินเข้าไปถึงปุ๊บ ตะวันถึงกับหยุกชะงัก ยืนนิ่งเหมือนถูกไฟช็อต มีแค่สายตาที่เลิ่กลั่กมองไปยังคนตัวสูงที่ยืนค้ำขอบอ่างล้างหน้า ชายหนุ่มมองตะวันผ่านกระจกด้วยแววตาครุ่นคิดสงสัย ตะวันตัดสินใจจะเข้าห้องน้ำแต่...
“เดี๋ยว!” ศิลาเรียกเอาไว้เสียก่อน ทำให้ตะวันไม่กล้าก้าวขา ใจเต้นแรงกว่าตอนอยู่ข้างนอกอีก ขณะเดียวกันศิลาก็เอี้ยวตัว แล้วเดินเข้ามาใกล้ๆ คล้ายกับพินิจเด็กหนุ่มร่างเล็กตรงหน้า ผิวขาว ปากนิดจมูกหน่อย พิมพ์นิยมสไตล์เกาหลี ศิลาค่อนข้างจะมั่นใจแล้วว่า คนที่เขาเกือบปล้ำเมื่อคืน คือไอ้เด็กคนนี้ ให้ตายเถอะ! ให้ตายเถอะ!
“มะ มะ มีอะไรเหรอครับ” ตะวันถามกลับเสียงสั่นและก้มหน้า
“เราเคยเจอกันมาก่อนไหม” ศิลาลองถามเพื่อหยั่งเชิงเท่านั้น ทั้งที่มั่นใจแล้ว
“เอ่อ มะ... มะ... ไม่เคยครับ” ตะวันปฏิเสธเสียงสั่น
“แน่ใจ แล้วเธอทำท่าเหมือน กลัวฉัน ไม่กล้ามองหน้าไม่สบตา ทำอย่างกับไปทำผิดอะไรมา”
“คือ... เอ่อ... คือ... ก็ท่านเป็นเจ้านายนี่ครับ”
“ก็ไม่เห็นใครสั่นเป็นเจ้าเข้าเหมือนเรานี่ ว่าแต่เธอคงไม่ใช่ คนเดียวกับที่เอาแจกันฟาดหัวฉันเมื่อคืนหรอก ใช่ไหม” คราวนี้ศิลาเอ่ยถามตรงๆ
“เอ่อ!” ตะวันจะแก้ตัวอย่างไรดีในเมื่อเขาจี้ขนาดนี้
“ผะ ผมจะทำอย่างนั้นทำไม ระ... ระ... เราเพิ่งเคยเจอกันวันนี้”
“ไม่ใช่ก็แล้วไป ฉันไม่ได้จะว่าอะไร แค่กำลังสงสัยว่าเลขาผู้หญิงหรือผู้ชายของไอ้วิน โผล่ขึ้นไปบนห้องนอนฉันที่โรงแรมเมื่อคืน” เจอคำถามนี้เข้าไปตะวันยิ่งตัวแข็งทื่อ ไม่รู้เหมือนกันว่ากลัวอะไรนักหนา
“ผู้ช่วยคุณวินมีตั้งหลายคน คุณท่านอาจจะ... จำผิดก็ได้”
“ทำไมฉันต้องจำผิดด้วย ฉันแค่เมานะไม่ได้เป็นอัลไซเมอร์ สร่างเมาแล้วก็จำได้อยู่ดี” ศิลาบอกด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้นและเดินเข้ามาจนกระทั่งแผงอกชิดกับหัวไหล่ของตะวัน
“คุณท่านต้องการอะไร” ตะวันถามอีกครั้ง ขณะที่ศิลาสัมผัสได้ว่าเด็กหนุ่มถึงกับตัวสั่น ทว่าสายตาของเขากลับจ้องมองที่จมูกโด่งและปากรูปกระจับนั่น ปากนั่นหรือที่เขาจูบ เขาถามตัวเองจนถึงตอนนี้ เขาจูบผู้ชายเข้าไปได้ยังไงวะ
“หาคนทำร้ายร่างกายฉัน”
“ผะ ผะ ผมไม่รู้เรื่อง” ยิ่งตะวันปฏเสธ ศิลาก็ยิ่งมั่นใจและยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ
“เดี๋ยวก็รู้” ศิลากระซิบเสียงกดต่ำน่ากลัว ก่อนจะเอ่ยออกมาอีก
“เมื่อคืน... ฉันจูบเธอใช่ไหม” สิ้นคำถาม ตะวันถึงกับเงยหน้าหันมาปฏิเสธทันควัน
“ไม่! ไม่ครับ!” สติสตังไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้วตะวันเอ๊ย วินาทีนี้เองที่ทำให้ศิลาได้เห็นหน้าตะวันชัดๆ
แล้วภาพที่เขากำลังกอดจูบลูบคลำซุกไซ้ร่างน้อยก็เด่นชัดขึ้นมาเลย
“เธอเป็นผู้ชาย เธอ... ” ศิลาแทบจะพูดไม่ออกเขาเป็นอะไรไป แต่ตะวันก็ได้เห็นศิลาใกล้ๆ เช่นกัน ใกล้จนไม่คิดว่าจะทำให้ใจเต้นแรงอย่างผิดปกติขนาดนี้
“ก็ผมเป็นผู้ชาย ผมบอกท่านแล้ว” ตะวันว่า และคราวนี้ศิลาไม่ได้ตอบ หากแต่กัดฟันแน่นเหมือนโกรธตัวเองทั้งหงุดหงิดระคนสับสน ทว่าสายตายังคงจับจ้องที่ปากเล็กๆ ที่สาบานเถอะว่าเขาจูบเด็กนี่ แต่ละสายตาไม่ได้เลย สุดท้ายแล้วเขาจึงสินใจผละออกจากตะวัน แล้วออกจากห้องน้ำไปทันที
ส่วนตะวันถอนหายใจโล่งอกตั้งสติแล้ว และล้างหน้าเพื่อจะได้คลายความร้อนลงไปบ้าง ระหว่างที่จ้องมองตัวเองในกระจกก็เกิดคำถามที่ว่า ทำไมกลัวศิลา ทำไมหวาดหวั่นครั่นคร้าม เนื้อตัวร้อนและใจเต้นแรง หรือเป็นเพราะว่าเมื่อคืนเสียจูบให้ผู้ชายด้วยกัน และมันทำให้กลัวว่าจะเกิดขึ้นอีกหรือเปล่า แต่กับกรกฎดันไม่รู้สึกอะไร
“เป็นอะไรวะเนี่ย” ตะวันถามตัวเอง
ขณะเดียวกันศิลาออกมาที่ห้องอาหารแล้ว และนั่งสมทบกับทุกคน ทว่าสีหน้าไม่สู้ดีเอาเสียเลย เหมือนไปเจอความหงุดหงิดอะไรมาก สันกรามที่ขบกัดกันแน่นบ่งบอกว่าเขาไปเจออะไรไม่ดีมาแน่ๆ ทุกคนคิด
“โอเคหรือเปล่าครับเนี่ย” ภัสกรคนสนิทเดินเข้ามาถามเบาๆ
“โอเคสิ จะให้ฉันเป็นอะไร” ศิลาตอบเสียงเรียบ
“เห็นคุณท่านดูไม่ค่อยโอเค”
“ฉันโอเค” สิ้นคำตอบ สายตาของเขาก็เหลือบมองตะวันที่เดินกลับมาที่โต๊ะช้าๆ ก้มหน้าก้มตาจนกระทั่งนั่งลง ไม่มีใครสังเกตหรอกว่าเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ ยกเว้นมาวินที่อยู่ใกล้ตะวัน สังเกตว่าคงอยากออกไปจากตรงนี้เต็มที พอมองเจ้านายก็ดูเหมือนจะอยากกลับออฟฟิศเสียเต็มประดา
เวลาไปจนกระทั่งบ่ายถึงเวลาเข้างาน ตะวันยังคงนั่งไปกับมาวินเช่นเคย แต่ศิลาทักท้วงขึ้นเสียก่อน
“แกไปนั่งกับฉัน ไอ้วิน ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย เอาผู้ช่วยของแกไปด้วย” ศิลาบอกระหว่างที่กำลังเดินนำไปยังที่จอดรถ
“ครับ” มาวินรับคำทันที แต่ตะวันนี่สิอยากปฏิเสธเหลือเกินแต่ทำไม่ได้ ได้แต่เดินตามเจ้านายขึ้นรถหรูอีกคันไป ซึ่งเป็นรถประจำตำแหน่งของศิลา ตะวันนั่งด้านหน้าและให้เจ้านายใหญ่และรองนั่งด้านหลังเพื่อจะได้คุยกัน
“มีอะไรหรือเปล่าวะ” มาวินถามขึ้นอย่างเป็นกันเองทันทีที่อยู่กันตามลำพัง ขณะที่คนขับรถเคลื่อนรถออกไป
“ฉันมาคิดๆ ดูแล้ว ฉันจะให้เด็กแกมาช่วยงานเจ้าภัสมัน” สิ้นเสียงศิลาเอ่ย ตะวันถึงกับตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ
“ดีเลย จะได้เรียนรู้งานระดับสูงขึ้น กับฉันก็แค่รองกรรมการ กับนายน่ะบิ๊กบอส เรียนจบปุ๊บก็เก่งเลย”
“อุตส่าห์ปั้นมากับมือตั้งสามเดือนคงไม่หวงใช่ไหม ก็จะเรียกใช้เป็นบางเวลาเท่านั้นแหละ”
“โอ๊ยไม่สิ ที่จ้างก็เพื่อให้รับใช้เจ้านายตามที่เห็นสมควร เงินที่ได้ฉันเอาเงินจากบริษัทนะไม่ใช่เงินส่วนตัว”
“ก็ดี เวลาฉันเรียกใช้งานคงไม่อิดออด”
“ใครจะกล้าปฏิเสธเจ้านาย จริงไหมตะวัน”
“เอ่อ คะ... คะ... ครับ” ตะวันตอบเสียงสั่น ศิลาจึงช้อนตามองไปที่คนตัวเล็กที่นั่งด้านหน้า
“ไม่มีใครกล้าปฏิเสธฉัน ฉะนั้นฉันจะถามเรื่องหนึ่ง หวังว่าจะไม่ปฏิเสธ” ศิลาถามพลางมองทางด้านหน้า
“เรื่องอะไรวะ”
“เมื่อคืนแกให้ใครขึ้นไปห้องฉัน”
“อ้าว! แกอยู่บนห้องเหรอ ฉันก็ลืมไป ให้ตะวันไปเอากระเป๋าเอกสารน่ะ” ได้คำตอบที่ตะวันปฏิเสธก่อนหน้าแล้ว ให้ตายสิ จะโกหกทำไมไม่เข้าใจ ศิลาคิด หรือว่ากำลังกลัว
“ให้ตะวันขึ้นไปเอากระเป๋าเอกสารเหรอ” ศิลาย้ำคำอีก
“ใช่ จริงสิ เมื่อคืนไม่ได้เจอกันหรอ”
“เมา จำอะไรไม่ค่อยได้ รู้แต่ว่ามีคนขึ้นห้อง มาค้นเอาอะไรก็ไม่รู้” ใครจะบอกหมดว่าทำอะไรลงไปบ้าง ศิลาคิด
“ถึงว่าวันนี้เจอหน้ากัน เหมือนไม่เคยเห็น”
“แน่ใจนะ ว่าไม่ได้ให้เอด้าขึ้นไปใช่ไหม”
“ไม่ ฉันไม่ให้ผู้หญิงขึ้นไปเอาของให้หรอก” มาวินบอกอีกครั้ง เมื่อได้คำตอบที่ต้องการแล้ว ศิลาจึงเอนหลังพิงอย่างสบายใจ ขณะที่สายตาหรี่มองไปเบื้องหน้า พร้อมกับหยักยิ้มมุมปากเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต
“เลขาฝึกหัดของแกเนี่ย ชายแท้หรือเปล่านั่น” ศิลาแกล้งถามตรงๆ พลางมองไปที่เจ้าตัว
“เฮ้ย ท่านครับ เห็นมันหน้าหวานขนาดนั้นน่ะ มีแฟนแล้วนะ ใช่ไหมตะวัน”
“ครับ” ตะวันรีบตอบเช่นกัน
“แล้วแฟนผู้หญิงหรือผู้ชายอ่ะเรา” ศิลาเอ่ยถามกับตะวัน
“ก็ต้องผู้หญิงสิครับ” ตะวันตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเหวี่ยงๆ
“หึๆ” ศิลาหัวเราะ แต่ฟังเสียงออกแปลกๆ เหมือนไม่เชื่ออย่างนั้นแหละ ตะวันไม่ชอบเสียงแบบนั้นเอาเสียเลย ทำไมเจ้านายคนนี้ดูจะมีเลศนัย ฟังแล้วหงุดหงิดไม่อยากเข้าใกล้ ระหว่างนั่งรถกลับบริษัท เจ้านายใหญ่ไม่ได้ให้ความสนใจที่จะพูดเรื่องตะวันอีก แต่ก็อีกนั่นแหละ ปากพูดเรื่องงานแต่ใจดันจดจ่อกับหนุ่มน้อยในชุดนักศึกษา นั่งหน้าคู่คนขับ