“เมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธ คนไทยเข้ากับคนต่างชาติและก็สามารถรับเอาวัฒนธรรมของต่างชาติได้ง่าย แต่พี่ว่าถึงยังไงคนไทยก็ไม่ลืมประเพณีดั้งเดิมของเราหรอก ปุ้นดูช่วงวันพระที่ผ่านมาสิ พี่พาน้องบลูไปวัด คนไปทำบุญเยอะมาก บนศาลาวัดแทบจะไม่มีทางเดินให้ไปตักบาตร”
ปรีชยาพรนึกถึงตอนพาน้องบลูไปทำบุญที่วัด หากสัปดาห์ไหนวันพระตรงกับวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ หญิงสาวจะพาลูกไปวัดทุกครั้ง เพราะอยากให้ลูกได้รู้จักทำบุญตักบาตร และซึมซับประเพณีอันดีงามของไทยเรา เธอเคยเห็นเด็กวัยรุ่นบางคน ไม่เคยไปวัดไปวา ไม่รู้จักด้วยซ้ำว่าการตักบาตรต้องทำยังไงบ้าง
“สาธุ! พี่สาวผู้ใจบุญของข้าวปุ้น“
ณิชาดาไม่ได้พูดเฉยๆ หญิงสาวยกมือขึ้นไหว้เหนือหัวประกอบคำพูดของตัวเองด้วย ทำเอาผู้เป็นพี่สาวต้องร้องเสียงหลง
“ว้าย! ตายแล้วข้าวปุ้น ปล่อยมือจากพวงมาลัยทำไม”
ปรีชยาพรร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อเห็นน้องสาวปล่อยมือจากพวงมาลัย
“ไม่ต้องตกใจหรอกน่าพี่หมู ปุ้นไม่ได้ขับรถเร็วสักหน่อยถึงปล่อยมือจากพวงมาลัยก็ไม่เกิดอุบัติเหตุหรอกค่ะ”
ณิชาดาแก้ต่างให้กับตัวเองน้ำขุ่นๆ ก่อนจะบ่นออกมาอีกระลอกใหญ่
“ทำไมวันนี้มันหาที่จอดรถยากจังเลยนะ”
“ใจเย็นๆ น้องรัก พี่กำลังช่วยมองหาที่จอดอยู่จ้ะ นั่นไง! ปุ้น มีที่จอดรถแล้ว ข้างๆ รถเบนซ์สีดำไงจ้ะ”
ปรีชยาพรชี้ไปข้างหน้า ใกล้ๆ รถเบนซ์สีดำรุ่นใหม่ล่าสุด ซึ่งมีที่ว่างให้จอดพอดี
“เฮ้อ...มีที่ว่างให้จอดสักที” ณิชาดาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“ถอยเข้าดีๆ นะข้าวปุ้น อย่าเอาเจ้ากระป๋องไปสะกิดกับรถเบนซ์เชียวน่ะ”
ปรีชยาพรเอ่ยเตือนน้องสาว รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง ขณะช่วยลุ้นระหว่างน้องสาวค่อยๆ ถอยรถเข้าไปจอด
“เชื่อขนมกินได้เลย ฝีมือขับรถของปุ้นไม่มีใครเกิน” ณิชาดาคุยโวเกินความเป็นจริงพร้อมกับทำหน้าทะเล้นใส่พี่สาวด้วย
“พี่กลัวว่าจะเป็นขนมบูดหรือไม่ก็ค้างคืนนะสิ” ปรีชยาพรมองค้อนน้องสาว
“เกลียดคนรู้ทันจริงๆ” ณิชาดาพึมพำยิ้มๆ
“ไม่ให้รู้ทันได้ยังไงละ เดือนที่แล้วก็ขับเจ้ากระป๋องไปเบียดต้นลีลาวดีจนท้ายรถยุบหมด”
“ใช่ๆ กระถางต้นไม้แตกด้วย น้องบลูนับกระถางที่แตกได้ตั้งสี่กระถาง ไฟข้างหลังรถก็แตกด้วยครับแม่หมู” น้องบลูเริ่มบรรเลงผสมโรงกับผู้เป็นมารดา ต่อว่าน้าสาวด้วยน้ำเสียงฉะฉาน
“เอาเข้าไป แม่ลูกคู่นี้ เผาเราจนเกรียมเลยนะ” ณิชาดาแกล้งต่อว่าพี่สาวกับหลานรักบ้าง
“ก็มันจริงนี่ข้าวปุ้น”
“แหม! พี่หมู ครั้งนั้นมันผิดพลาดทางเทคนิคนิดหน่อยค่ะ ปุ้นให้น้องบลูเป็นคนดูต้นทางให้ พอดีเราสื่อสารกันผิดพลาดเล็กน้อย ก็เลยทำให้ต้องฌาปนกิจต้นลีลาวดีไปหนึ่งต้น พร้อมกับกระถางอีกสี่ใบ”
เรื่องแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ณิชาดาถนัดเป็นที่สุด แถมยังแก้ตัวหน้าตาเฉยเสียด้วย
“เดี๋ยวเถอะ! ยังจะมาโทษหลานอีก เรานี่จริงๆ เลยน่ะ” ปรีชยาพรซัดหนักๆ ลงไปบนต้นแขนขาวเนียนของน้องสาวด้วยความหมั่นไส้เหลือกำลัง
“โอ๊ย! ปุ้นเจ็บนะพี่หมู“ ณิชาดาแกล้งร้องครวญครางเสียงดัง ทั้งๆ ไม่ได้เจ็บสักนิด
“อย่าให้มันผิดพลาดบ่อยนะน้องสาวที่รัก คราวที่แล้วพี่ซ่อมรถกระเป๋าแทบฉีก คราวนี้ถ้าปุ้นไปเบียดรถเบนซ์เข้าล่ะก็ พี่จะหักค่าขนมสามเดือนรวด เอาไว้มาจ่ายค่าซ่อมรถแทน”
“ดีครับแม่หมู น้องบลูก็จะไดมีค่าขนมเพิ่ม เพราะไม่ต้องจ่ายค่าขนมให้กับน้าปุ้น” น้องบลูตบมือชอบใจยกใหญ่ พร้อมกับฉีกยิ้มแป้นให้กับน้าสาวด้วย
“พี่สาวใจร้าย ไม่รักน้องสาวคนสวย หลานชายก็ใจร้าย ไม่รักน้าปุ้น”
ณิชาดาแกล้งร้องต่อว่า พอเห็นพี่สาวกำลังจะเอ่ยเจริญพรเธอต่อ ก็รีบยกมือห้ามทัพแล้วเอ่ยว่า
“เดี๋ยวขอเวลานอกสักครู่ ขอให้ทุกท่านสงบศึกชั่วคราว ปุ้นขอทำสมาธิก่อน เดี๋ยวถอยรถไปชนรถเบนซ์เข้า ปุ้นไม่รับผิดชอบด้วยนะ”
ณิชาดาตีสีหน้าตาจริงจัง ค่อยๆ ถอยรถเข้าไปจอดตามช่องจอดรถด้วยความระมัดระวัง พอจอดได้เรียบร้อยแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก
“เฮ้อ...ค่อยยังชั่วหน่อย กว่าจะจอดได้ ลุ้นแทบตาย นึกว่าจะโดนหักค่าขนมซะแล้ว”
ณิชาดาเปิดประตูด้านคนขับแล้วก้าวลงมาจากรถ นิ้วเรียวยาวเคาะไปที่กระโปรงหน้ารถเบาๆ พร้อมกับเอ่ยชมรถยนต์คันเก่งของตัวเอง
“เจ้ากระป๋อง! แกอยู่ใกล้รถคันโก้แบบนี้ทำเอาราศีรถเขาหมองเลยนะ แต่ถึงยังไงฉันก็รักแกเหมือนเดิม”
ณิชาดาพูดกับรถยนต์ราวกับว่ามันมีชีวิตรับรู้ในสิ่งที่เธอพูดไป หญิงสาวรักรถคันนี้มาก เพราะอุตส่าห์เก็บหอมรอมริบเงินค่าขนม เพื่อซื้อรถคันนี้ ถึงแม้มันจะเกเรบ้างในบ้างครั้งแต่เธอก็รักและภูมิใจในตัวมันมาก
“ไปกันหรือยังจ๊ะข้าวปุ้น” ปรีชยาพรตะโกนเรียก เมื่อน้องสาวไม่ยอมเดินออกมาจากลานจอดรถสักที
“แม่หมูครับ น้องบลูอยากไปดูต้นคริสมาร์ตที่มีไฟเยอะๆ แม่หมูพาน้องบลูไปดูนะครับ”
“ได้ค่ะ เดี๋ยวเราเข้าไปดูต้นคริสมาร์ตกัน” ปรีชยาพรตอบรับคำขอของลูกชาย พลางก้มหน้าไปหอมแก้มลูกอีกฟอดใหญ่
“น้าปุ้นล็อกรถเสร็จแล้วไปกันเถอะค่ะ” ณิชาดาเดินมาสมทบกับพี่สาว มือเรียวยาวเอื้อมไปจับแขนหลานอีกข้างหนึ่ง
“ไปกินไอศรีมกันดีกว่า งานนี้น้าปุ้นเลี้ยงเอง ฉลองที่แม่หมูต้องเสียค่าขนมให้น้าปุ้นเหมือนเดิม” ณิชาดาเอ่ยกลั้วหัวเราะหันไปยักคิ้วใส่พี่สาว
“เดี๋ยวเถอะ! โดนหักค่าขนมเมื่อไร ห้ามมาร้องโวยวายนะ คราวนี้พี่ไม่ใจอ่อนแล้ว” ปรีชยาพรมองค้อนน้องสาว
“รับทราบค่ะ”
ณิชาดาทำเสียงขึงขังแล้วจูงมือหลานเดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้าพร้อมๆ กับพี่สาวร่างสูงเพรียวบางของสองพี่น้องพาน้องบลูเดินเข้ามาด้านในของห้างสรรพสินค้า ก่อนจะเดินตรงไปยังลานกิจกรรมที่มีการจัดต้นคริสมาสต์ไว้ พร้อมกันนั้น ปรีชยาพรก็เริ่มตั้งคำถามกับลูกชาย
“เดี๋ยวก่อนเจ้าตัวยุ่ง เรามาทบทวนความจำกันก่อน” ปรีชยาพรคุกเข่าลงกับพื้น ใบหน้างามหวานจับจ้องอยู่ที่ตัวลูกชาย
“น้องบลูตอบคำถามแม่หมูก่อน ข้อแรก ถ้าน้องบลูหาแม่หมูกับน้าปุ้นไม่เจอ น้องบลูต้องทำยังไงคะ”
น้องบลูทำท่าคิดนิดหนึ่ง ก่อนจะตอบคำถามแม่ “น้องบลูก็จะเดินไปหาคุณลุงคนโน้น แล้วบอกว่าน้องบลูหาแม่กับน้าปุ้นไม่เจอครับ”
เด็กน้อยนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้ม ชี้นิ้วไปยังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ที่กำลังเดินดูแลความเรียบร้อยอยู่ภายในห้างสรรพสินค้า