“อ้าว! แล้วจะให้เรียกว่าอะไร”
“อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่คำว่า หนู!”
“ถ้างั้นเรียกว่า ที่รัก!” ใบหน้าคมเข้มคล้ำแดดก้มลงมาพูดใกล้ๆ จมูกโด่งแทบจะชนกับใบหน้าขาวเนียน
“ไม่ได้!”
“มายเดียร์!”
“ไม่ได้!” ณิชาดาปฎิเสธเสียงสูง
“ฮันนี่! สรุปง่ายๆ เรียกว่า ฮันนี่ แล้วกัน” คาเมลยิ้มแกล้งแหย่ต่อเมื่อเห็นหญิงสาวแก้มแดงก่ำด้วยความโกรธ
“ไม่ได้ จะเรียกชื่อไหนก็ไม่ได้ทั้งนั้น ฉันไม่อนุญาต คุณมายุ่งกับฉันทำไม ว่างมากนักหรือไง”
ณิชาดาชักฉุนเมื่อเถียงชายหนุ่มไม่ชนะสักที อีกทั้งยังหงุดหงิดที่ชายหนุ่มทำให้เธอต้องเสียเวลาในการตามหาหลานชายด้วย
“ชอบและก็สงสาร เห็นเด็กขี้แยมานั่งร้องไห้คนเดียวไม่มีใครมาสนใจก็เลยอยากมาปลอบ” คาเมลยิ้มกริ่มทั้งใบหน้าและดวงตา
“ไม่ต้องมาสงสาร ไม่ต้องมาปลอบและไม่ต้องมายุ่งด้วย ฉันไม่ชอบ! หลีกไปฉันกำลังรีบ” ร่างบางระหงลุกขึ้นยืน ขณะออกปากไล่ชายหนุ่ม
คาเมลหาได้หลบข้าวปุ้นไม่ เขายังปักหลักยืนเด่นมองใบหน้านวลลออสวยจับจิตด้วยความถูกใจ ปากอุ่นเปิดยิ้มกว้างให้หญิงสาว
“เอ๊ะ! บอกให้หลบไป หูตึงไม่ได้ยินหรือยังไง” ณิชาดากระทืบเท้าด้วยความขัดใจที่อีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะหลบทางให้
“หูไม่ได้ตึง ยังหนุ่มยังแน่นอยู่ จะรีบไปไหน ฮันนี่! บอกก่อนแล้วจะหลีกทางให้”
“จะไปไหนก็ได้ เรื่องของฉันบอกแล้วว่าไม่ต้องมายุ่ง”
“ไม่บอกก็ไม่ต้องไป ยืนเถียงกันอยู่ตรงนี้แหละ สนุกดี” ชายหนุ่มเอ่ยขำๆ
“ฉันจะไปห้องน้ำ ปวดท้อง พอใจหรือยัง “
ชายหนุ่มมองดวงตาคู่สวยแล้วกล่าวยิ้มๆ “โกหกไม่เก่งเลยนะ ฮันนี่”
“บอกแล้วว่าไม่ต้องมาเรียก ฮันนี่ ไม่ชอบ ฉันไม่ใช่ที่รักของคุณ”
“ตอนนี้อาจจะไม่ใช่ แต่ในอนาคตอันใกล้ก็ไม่แน่ เพราะฉะนั้นซ้อมเรียกไว้ก่อน ถึงเวลาจริงๆ จะได้ไม่เขินนะ ฮันนี่นะ” คาเมลตอบหน้าตาย อยากจะเข้าไปกดจูบปากแดงก่ำช่างจำนรรจานัก
“เชิญคุณไปซ้อมเรียกกับคนอื่นเถอะ คงมีคนเข้าแถวยาวเหยียดรอให้เรียกจนแจกบัตรคิวไม่ทัน” ใบหน้างามค้อนประหลับประเหลือก
“อ๊ะๆ เริ่มหึงแล้ว แสดงว่ายอมรับว่าเป็นฮันนี่ของผมแล้วใช่ไหมครับ”
ควาวนี้ณิชาดาหน้าแดงซ่านตั้งแต่ใบหน้าสวยจนมาถึงลำคอระหงเพราะความเขินอาย
“หึงบ้า หึงบออะไรกัน ใครเขาเป็นที่รักของคุณ หลีกไปฉันจะไปแล้ว”
ณิชาดายื่นแขนเรียวยาวไปผลักร่างสูงใหญ่ ใบหน้างามยังไม่หายแดงจากความเขินอายที่จู่ๆ ก็มีคนมาบอกรักกลายๆ
คาเมลไม่สะทกสะท้านกับแรงผลักของหญิงสาว ร่างสูงใหญ่แทบจะไม่ขยับเขยื้อนจากท่าที่ยืนอยู่ เขาฉวยโอกาสก้มหน้ากดจูบหนักๆ บนริมฝีปากสีแดงสด พร้อมกับหอมแก้มเนียนอีกฟอดหนึ่ง
ณิชาดาไม่ทันระวังตัว นึกไม่ถึงว่าจะถูกขโมยจูบกลางห้างฯ จึงได้แต่ตะลึงงันตกใจกับการกระทำของอีกฝ่าย แต่พอได้สติก็กระโดดเข้าใส่ชายหนุ่มและทุบตามตัวเขาเป็นพัลวัน
“ไอ้บ้า! ไอ้คนลามก! ไอ้โรคจิต! มีสิทธิ์อะไรมาทำกับเขาแบบนี้”
ณิชดามัวแต่ทุบชายหนุ่ม จนไม่รู้ตัวว่าตัวเองถูกอีกฝ่ายกอดอยู่เต็มอ้อมแขนแล้ว
“จุ๊ๆ ฮันนี่ดูสิ พวกเขามองเราใหญ่แล้ว”
ชายหนุ่มจุ๊ปาก ชี้ให้มองรอบๆ ตัว ณิชาดามองตามชายหนุ่ม พอเห็นคนในร้านและที่เดินผ่านไปผ่านมาพากันมองที่พวกเธอ แล้วก็พากันอมยิ้มขำ ก็รู้สึกเขินอายเหลือกำลัง
“แฟนผมขี้งอน ผมกำลังง้ออยู่ครับ” คาเมลยิ้มละไมหันไปบอกคนในร้านและที่เดินผ่านไปมา
“ง้อให้สำเร็จนะน้อง พี่เอาใจช่วย” ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาเชียร์ให้กำลังใจคาเมล
“ขอบคุณครับพี่ ผมจะพยายามง้อให้สำเร็จครับ” คาเมลขอบคุณชายหนุ่มที่เข้ามาทักและหันมายิ้มหน้าบานให้หญิงสาว
“ใครเป็นแฟนนาย อย่ามาขี้ตู่นะ ปล่อยได้แล้ว นายมากอดฉันทำไม”
ณิชาดากัดฟันดังกรอดๆ โกรธชายหนุ่มที่บอกคนอื่นไปทั่วว่าเธอเป็นคนรักของเขา
“ก็บอกแล้วว่าชอบ อยากกอดก็กอด ไม่เห็นต้องมีเหตุผลอื่นเลย”
คาเมลตอบแบบกวนๆ กวนโทสะเป็นที่สุด
“แต่ฉันไม่ชอบ บอกให้ปล่อย ได้ยินมั้ย”
“ปล่อยก็ได้ แต่ขอชื่นใจก่อน”
ว่าแล้ว ริมฝีปากสีเข้มก็กดจูบไปบนเรียวปากบางแดงก่ำและหอมแก้มเนียนอีกฟอดใหญ่ แต่ก็ไม่ยอมปล่อยมือสักที
“ไม่ยอมปล่อยใช่ไหม ถ้างั้นต้องเจอแบบนี้”
ณิชาดาเขย่งเท้าขึ้นยื่นใบหน้าไปใกล้และกัดลงไปบนติ่งหูของชายหนุ่มสุดแรง จนอีกฝ่ายร้องลั่นเพราะความเจ็บปวด ควาวนี้มือใหญ่ถึงกับยอมปล่อยร่างบางอรชรแต่โดยดี
“สมน้ำหน้า ขอให้หูขาดไปเลย” ณิชาดาไม่อยู่รอดูผลงานของตัวเอง พอชายหนุ่มปล่อยมือ เธอก็วิ่งหนีไปทันที
“ยัยเด็กบ้า!” มือใหญ่จับที่ติ่งหูซ้ายรู้สึกเหมือนมีเลือดออกซิบๆ “ตัวเล็กแค่นี้แต่แสบจริงๆ ฉันจะต้องรู้ให้ได้ว่าเธออยู่ที่ไหน แล้วฉันจะเอาคืนให้อ่วมไปเลย”
คาเมลบ่นงึมงำกับตัวเอง หมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องตามหาหญิงสาวที่แสนน่ารัก น่าจูบคนนี้ให้พบจนได้
ส่วนณิชาดา วิ่งหนีมายืนหอบอยู่ข้างๆ แผนกเสื้อผ้าเด็ก นิ้วเรียวยาวเผลอลูบไปบนพวงแก้มกับริมฝีปากที่ถูกจูบเมื่อสักครู่
“อีตาบ้า! นี่มันเฟิร์สคิสของฉันเลยนะยะ อุตส่าห์ถนอมมาตั้งนานถูกคนบ้าที่ไหนก็ไม่รู้มาจูบ เจ็บใจจริงๆ รอให้หาน้องบลูเจอก่อนเถอะ ฉันจะไปแจ้งตำรวจให้จับนายเข้าคุกขังลืมไปเลย”
ณิชาดาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเพราะความโมโห จากนั้นก็เริ่มเดินตามหาหลานชายต่อ พอก้าวเดินได้สองสามก้าวก็นึกอะไรขึ้นมาได้
“นึกออกแล้ว น้องบลูต้องแอบไปดูต้นคริสมาสต์แน่เลย”
รอยยิ้มสว่างสดใสปรากฎขึ้นบนใบหน้าเนียน หญิงสาวลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ แล้วรีบวิ่งไปที่ลานกิจกรรมของชั้นสี่ ซึ่งมีต้นคริสมาสต์ถูกจัดไว้อีกต้นหนึ่ง
น้องบลูยืนมองกล่องของขวัญห่อด้วยกระดาษสีน้ำเงิน ซึ่งวางปะปนกับกล่องของขวัญสีอื่นๆ ที่ถูกวางเรียงรอบๆ ต้นคริสมาสต์ ด้วยแววตามันวาว ริมฝีปากเล็กค่อยๆ กัดกินไอศรีมแบบโคนไปเรื่อยๆ กำลังตัดสินใจว่าจะลอดเชือกที่กั้นรอบต้นคริสมาสต์เข้าไปแกะกล่องของขวัญดีหรือเปล่า แต่ไม่ทันได้ทำตามที่นึกคิด ก็มีเสียงห้าวทุ้มเอ่ยถามอยู่ใกล้ๆ ตัว
“น้องบลูทำอะไรอยู่ครับ” โดมินิทเอ่ยถามน้องบลู
“น้องบลูกำลังคิดว่าข้างในกล่องของขวัญจะมีหุ่นยนต์อยู่หรือเปล่านะครับ” เด็กน้อยเอ่ยตอบโดยไม่ได้หันหน้าไปมองคนถาม