ตอนที่ 9
“กรี๊ด...แกว่าใครกันยะไอ้บ้า ไอ้ห้าร้อย พูดมาได้ไม่อายปาก” ไม่พูดเปล่าเกร็ดแก้วถือโอกาสฟาดลงไปบนแขนแข็งแกร่งและลากแรงๆ ด้วย
“โอ๊ย!! เจ็บนะคุณเมียสุดที่รักจ๋า เดี๋ยวเถอะคืนนี้ผัวจะลงโทษให้หนำใจเลยคอยดู” ชายหนุ่มจับปลายจมูกโด่งเป็นสัน ดวงตาแวววาวระยับ เขายังไม่อยากคิดถึงเรื่องที่หลับที่นอนคืนนี้ เพราะเดี๋ยวต้องมีปัญหาแน่นอน ที่...เอาไว้ค่อยคิดเมื่อถึงเวลาก็แล้วกัน
“ก็ลองดูซิ ถ้าขืนนายไม่พาฉันส่งบ้านในวันนี้นะ คืนนี้อย่าหวังจะได้นอนหลับอย่างเป็นสุข แม่จะเอามีดเสียบพุงให้ไส้ทะลักเลยคอยดู”
“โอ๊ย...คุณเมียที่รักของผัวใจร้ายจัง จะทำผัวได้ลงเชียวหรือจ๊ะ ถ้าทำแบบนั้นก็ไม่มีใครกอดให้อุ่นนะซิ” ธราเทพลากไล้มือไปตามลำแขนเรียวยาว ใบหน้าเปื้อนยิ้ม ก่อนจะหันไปเลิกคิ้วให้กับลูกปัดที่ตอนนี้นั่งอ้าปากค้างตามคนเป็นย่าไปอีกคนแล้ว
ปานธิดาคลานเข่าไปใกล้ๆ กับคนเป็นลุง ยื่นมือไปแตะที่หน้าผากกว้าง แล้วส่ายศีรษะเพราะไม่เชื่อในสิ่งที่เห็นและคำพูดที่ได้ยิน
“หัวก็ไม่ร้อนสักหน่อยนะลุงกำนัน แล้วทำไมถึงพูดจาแบบนั้นละ” ปานธิดาอดถามไม่ได้ เมื่อได้ยินคำพูดแปลกๆ จากปากผู้เป็นลุง ที่เป็นเหมือนกับละครบางเรื่องที่เคยดู แต่ดูท่าว่าจะเปิ่นกว่าหลายเท่านัก
“นั่นซินังปัด ข้าก็คิดว่าตัวเองหูคงฝาดไป แต่นี่ทั้งได้เห็นและยังได้ยินอย่างชัดเจนอีก สงสัยข้าจะแก่จนเลอะเลือนไปแล้ว ถึงได้เห็นกำนันเปลี่ยนไป” นางแก้วตาพูดกับหลานสาว ด้วยเพราะลูกชายเป็นคนพูดจาไพเราะ มีเหตุมีผล อีกทั้งยังรู้จักใช้คำพูดคำจาให้ผู้อื่นคล้อยตามได้เสมอ แต่ไอ้ประโยคหลายๆ ประโยคที่ได้ยินมันกลับเลี่ยนๆ และเปิ่นๆ เหมือนเสแสร้งและไม่จริงใจอย่างไรก็ไม่รู้
“โอ๊ย!! เอ็งหยิกข้าทำไมวะนังลูกปัด” แก้วตายกมือขึ้นลูบแขนป้อยๆ พลางตวัดค้อนใส่หลานสาวที่ทำเอาเจ็บตัวไปเสียหนึ่งที
“อ้าว...ก็ย่าสงสัยไม่ใช่หรือไง ตัวเองเลอะเลือนหรือเปล่า หนูก็ช่วยให้แน่ใจไง ไอ้ที่ยินมานะ ไม่ผิด” ปานธิดาโต้กลับขณะอมยิ้มจนแก้มตุ่ย
“อ้าว...แล้วทำไมเอ็งไม่หยิกตัวเองวะนังลูกปัด มาหยิกข้าทำไม”
“จะหยิกตัวเองให้เจ็บทำไมกันละย่าก็ หยิกย่านั่นแหละดีแล้ว ชัวร์ที่สุด” ปานธิดาเลิกคิ้วขึ้นสูงหยิกๆ สองมือยกขึ้นกอดอก ขณะมองไปยังลุงที่รักและหญิงสาวหน้าสวยผู้มาใหม่ แล้วรอฟังเหตุการณ์ก่อนจะได้เอาไปป่าวประกาศให้กับพี่ป้าน้าอาข้างๆ บ้านได้รู้ ที่สำคัญคือจะได้รีบไปรายงานข่าวให้กับทิพย์นาราที่ชอบในตัวลุงกำนันอยู่ และให้เธอคอยรายงานสถานการณ์ให้ฟังตลอด ใครไปใครมาในตอนไหนบ้าง งานนี้เงินก้อนโตคงจะลอยเข้ากระเป๋าอีกแล้ว เสียดายว่าไอ้กระดาษที่จดหมายเลขโทรศัพท์ของอินทุภาถูกน้าพรฉวียึดไปเสียแล้ว ไม่อย่างนั้นเธอได้กำไรสองต่อทีเดียว แต่ช่างเถอะ แค่จากทิพย์นาราคนเดียวก็ได้กินขนมไปหลายวันแล้ว
ถึงจะอยู่ในสถานการณ์ไม่สู้ดี เพราะไม่รู้ว่าถูกพาตัวมาทำไมและต้องการอะไร แต่การได้เห็นสองย่าหลานที่แม้จะทะเลาะกันบ้าง แต่กลับมีความรักให้แก่กันอย่างเห็นได้ชัดก็เรียกรอยยิ้มของเกร็ดแก้วได้ไม่ยาก บ้านเธอไม่เคยมีภาพแบบนี้ให้เห็นเลย แม้กระทั่งเวลาที่จะกินอาหารด้วยกันครบทั้งครอบครัวก็ยังไม่มีเลย พ่อจะต้องเอาแต่ทำงาน เลิกงานตอนเย็นก็ไปกินเลี้ยงสังสรรค์และตีกอล์ฟกับลูกค้า เพื่อนๆ บ้างพร้อมกับอีหนูหน้าแฉล้มร่วมวงด้วย แต่ไม่เคยมีเวลาให้คนในบ้าน
ส่วนแม่ก็เช่นกัน วันๆ ก็ขลุกอยู่แต่กับเครื่องเพชรพลอย หรือไม่ก็งานการกุศล งานใดที่บริจาคแล้วมีชื่อเสียง แม่เร่งทำทันที แต่งานใดที่ไม่เด่นดังแม่ไม่เคยหันหน้ามอง เพียงแค่คิดถึงเรื่องของคนในครอบครัว น้ำตาก็เอ่อล้นคลอเบ้า ถึงแม้จะร่ำรวยแต่ไม่เคยมีความสุขและอบอุ่นอย่างเช่นครอบครัวของหนุ่มที่จับตัวมา มองแล้วก็ได้แต่แอบอิจฉาอยู่ในใจ
เกร็ดแก้วหันหน้าหนีภาพแห่งความสุข แต่กลับเจอหน้าชายคนที่จับเอาตัวมาที่มองด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม แล้วก็รู้สึกขัดอกขัดใจยิ่งนัก
แสงสว่างที่ส่อง มาทำให้มองเห็นรูปร่างหน้าสามีกำมะลอได้ชัดขึ้น
ใบหน้าคมคร้ามแกร่ง คิ้วเข้มหนา ดวงตาคมดุล้อมกรอบด้วยขนตายาวงอน จมูกโด่งขึ้นสันรับกับริมฝีปากหนา ลำคอและเรือนร่างแข็งแกร่งได้รูป ถ้าให้คิดถึงรูปร่างตอนที่กำลังใกล้ชิดกันอยู่ ใบหน้านวลก็เห่อแดงขึ้นอย่างรวดเร็ว
‘บ้า...คิดอะไรของเธอนะเกร็ดแก้ว บ้าไปแล้ว’ หญิงสาวสะบัดศีรษะทุยเบาๆ เพื่อไล่ความคิดเกี่ยวกับเรื่องรูปร่างของชายตรงหน้าออกไปจากสมอง แต่ความอบอุ่นยามที่ได้อยู่ในอ้อมแขนแข็งแกร่ง อีกทั้งจุมพิตที่ได้รับทำให้วางเรื่องที่กำลังคิดอยู่ได้ยากเย็นเหลือเกิน
“ลูกปัดไปปลุกน้าฉวีให้ลุงหน่อย”
“โอ๊ย!!” ปานธิดาร้องเสียงดังเสียลั่นบ้านด้วยความเจ็บปวด ศีรษะทุยได้รูปส่ายแรงๆ จนเส้นผมกระจาย สองมือก็ยกขึ้นมาบอกปฏิเสธ
“ไม่เอา ลุงกำนันไปเรียกเองซิ เดี๋ยวน้าฉวีด่าหนูอีก ไม่เอาด้วยหรอก” ปานธิดาขยับร่างอวบอ้วนไปนั่งด้านหลังผู้เป็นย่า สองแขนโอบรอบร่างเล็กเอาไว้อย่างต้องการที่พึ่ง เพราะความกลัวในสิ่งที่ได้รับจากพรฉวี...
รสมือที่จิกทึ้งลงบนเรือนกายแล้วแต่จะทำได้ กับคำพูดดุด่าและจิกกัดอยู่เสมอ คำที่สร้างความเจ็บปวดให้ทุกครั้งคือ...
‘นังเด็กไม่มีพ่อไม่มีแม่ นังเด็กพ่อทิ้ง’
“ไม่หรอกลูกปัด บอกว่าลุงเป็นคนเรียก”
“เดี๋ยวแม่ไปเรียกเองก็ได้กำนัน” แก้วตาเสนอตัว เพราะต้องการตัดปัญหาต่างๆ
“ไม่ต้องครับแม่ ผมใช้ลูกปัดให้ไปเรียกฉวี ถ้าหากเรื่องมาก ก็ไม่ต้องมาพูดกัน แล้วถ้าไปเรียกแล้วถูกฉวีด่ากลับมา ผมจะจัดการเอง” ธราเทพพูดเสียงเข้มงวด เคยเตือนมารดาหลายต่อหลายครั้งแล้ว เรื่องนิสัยของพรฉวีที่ด่าเก่ง และชอบเอารัดเอาเปรียบคนอื่น แต่มารดากลับเข้าข้าง ไอ้เขาก็งานยุ่งไม่ค่อยได้ดูแลมากนัก
ปานธิดาอิดออดไม่อยากไป แต่เมื่อสบสายตากับผู้เป็นลุงแล้วรีบกดหน้างุด เพราะรู้ดีว่าถ้าไม่ทำตามจะต้องถูกผู้เป็นลุงลงโทษ แล้วเธอก็ไม่อยากถูกผู้เป็นลุงลงโทษด้วยการเมินหน้าหนี ไม่พูดไม่จาอีก ร่างป้อมๆ ลุกขึ้นเดินอย่างเชื่องช้าไปเคาะประตูห้องพรฉวีด้วยความขลาดกลัวและรังเกียจ
“กำนันต้องการอะไรจากฉวีมันล่ะ ถึงได้ให้ลูกปัดไปปลุก” แก้วตาอดถามไม่ได้ ดวงตาที่มองอะไรใกล้ๆ แทบไม่เห็นแล้วเพ่งมองหน้าสาวน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของลูกชายอย่างงงๆ อยากจะถามให้ได้เรื่อง แต่ก็รู้ดีว่าถ้าเมื่อไหร่ลูกชายไม่อยากจะบอกขึ้นมา ต่อให้เอาคีมเหล็กไปง้างก็ไม่มีทางที่จะขยับปาก
“อยากยืมเสื้อผ้าของฉวีให้ไพลินใส่ก่อนนะแม่ เดี๋ยวหลังจากที่ดูแลเจ้าพวกข้างล่างเรียบร้อยแล้ว จะพาไปซื้อในตัวเมือง แต่ถ้ายุ่งมากก็คงจะให้ซื้อที่ตลาดพรุ่งนี้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเกร็ดแก้วถึงกับยิ้มกระจ่างสดใส ถ้าได้เข้าไปในเมืองก็หาทางส่งข่าวบอกให้พ่อรู้ได้ ให้ท่านส่งคนมารับ แต่ก่อนอื่นก็ต้องรู้เสียก่อนว่าที่นี่คือที่ไหน แล้วห่างจากกรุงเทพฯ เท่าไหร่ จะว่าไปตอนถูกเอาตัวมา เงินทองก็ไม่มีติดตัวมาเลย ยกเว้นก็พวกเครื่องประดับที่ติดตามตัวมา ของพวกนี้ตอนซื้อราคาสูง แต่ตอนขายออกนี่แทบจะไม่มีค่ามีราคา ไม่รู้ว่าจะได้สักเท่าไหร่ จะพอค่ากินและค่าเดินทางไปถึงกรุงเทพฯ หรือเปล่าก็ไม่รู้
“คิดอะไรอยู่หรือครับคุณเมียสุดที่รักจ๋า” ธราเทพแกล้งถาม เมื่อเห็นสีหน้าครุ่นคิดของสาวน้อยในอ้อมแขน