ตอนที่ 2 ทางที่เลือกแล้วไม่คิดหวนกลับ3

1384 คำ
ภาพนางตอนอายุห้าขวบพลันผุดวาบขึ้นในห้วงคะนึงแห่งความทรงจำอันเลวร้าย เด็กหญิงวิ่งร่ำไห้ร้องเรียกมารดาท่ามกลางสายตาเวทนาของบ่าวไพร่ และสายตาเจ็บช้ำแฝงโทสะยากระบายของบิดา ‘ท่านพ่อ ท่านแม่หายไปทางใด เหตุใดไม่กลับมา...’ ‘หยุดร้องไห้ได้แล้วฟางเอ๋อร์ แม่เจ้าทิ้งเราพ่อลูกไปแล้ว ไม่มีเหตุผลต้องเรียกร้องการกลับมาของนาง’ ‘ท่านพ่อ เพราะอันใด ไฉนท่านแม่จึงจากไป’ ‘ฟางเอ๋อร์ พ่อไม่ดีเอง พ่อไร้ความสามารถ บุรุษผู้นั้นดีกว่าพ่อทุกอย่าง’ ขุนนางล้วนสำคัญที่เส้นสายสร้างสัมพันธ์ทางการเมือง มารดารู้ดีและรับได้ในจุดนี้มาตลอดตั้งแต่ก่อนแต่งงานด้วยซ้ำ เพียงแต่ด้วยกฎเกณฑ์ระเบียบแบบแผนของตระกูลขุนนางราชสำนักมีมากเกินไป กดขี่และจำกัดอิสระอิสตรี มิไยดีกระทั่งความคิดเห็น สุดท้าย เมื่อมีบุรุษอื่นที่ดีกว่า มอบชีวิตดั่งวิหคบินถลา มิใช่เป็นผืนฟ้ารับบัญชาจากสรรค์เพียงครอบคลุมภรรยาที่เป็นผืนดินให้กำเนิดเผ่าพันธุ์ แต่กลับเป็นบุรุษที่สามารถมอบผืนฟ้าให้ภรรยาโบยบินได้อย่างอิสรเสรีไม่มีจำกัด มารดาจึงละทิ้งได้แม้กระทั่งบุตรี ที่ยามนั้นอายุเพียงห้าปี เพื่อไปอยู่กับบุรุษอื่นถึงขั้นทิ้งให้เด็กหญิงตัวน้อยบอบบางที่ไร้ประสาต้องอยู่กับแม่เลี้ยงจอมเสแสร้งแกล้งมารยาทำตัวใจดีแบบจอมปลอม เด็กน้อยต้องอยู่กับสตรีที่มักแสดงออกถึงความริษยาชิงชังทุกครั้งที่มีโอกาส ต่อหน้าบิดาทำดีสารพัดไร้ที่ติกับนางแต่ลับหลังกลับชัดเจนถึงอาการรังเกียจเดียดฉันท์ ‘เหตุใดแม่เจ้าไม่พาเจ้าไปด้วย ไฉนต้องทิ้งเจ้าไว้ให้พ่อเจ้าต้องทนมองใบหน้าอันงดงามนี้ตลอดเวลา เมื่อไรพ่อเจ้าถึงจะลืม ยามใดพ่อเจ้าถึงจะรักข้า นังเด็กบ้า! ข้าเกลียดเจ้า เกลียด...’ เด็กหญิงผู้หนึ่งต้องอดทนกับสิ่งใดกัน นางคือเด็กที่ถูกทิ้ง และถูกตอกย้ำว่าคือตัวปัญหา ใช่หรือไม่? คำถามถูกสั่งสมโดยแม่เลี้ยงของนางที่ชอบตัดพ้อทั้งน้ำตา โยนความผิดทุกอย่างให้นางอย่างน่าเวทนา ครั้นคิดมาถึงตรงนี้ หวงลี่ฟางเพียงหลับตา ทอดอาลัยในโชคชะตาตน ท่านพ่อแต่งแม่เลี้ยง ท่านแม่แต่งพ่อเลี้ยง แต่ละคนต่างมีชีวิตที่สมบูรณ์ มีเพียงนางที่ต้องอยู่ระหว่างกลางอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย เอาเถิด เรื่องนี้ไม่มีใครผิด เพราะนับเป็นวาสนาแต่ละคน หวงลี่ฟางยังคงใช้น้ำเสียงราบเรียบเอื้อนเอ่ย “ข้าอาจจะน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตากับเหตุพลิกผันจนสูญสิ้นศักดิ์ศรีของอิสตรีวัยสาว แต่กลับมิอาจเทียบเท่าความเสียใจที่ถูกมารดาทิ้งไปตั้งแต่วัยเยาว์” หญิงสาวเอ่ยเสียงเบาคล้ายรำพึงรำพันกับตนเอง “สิบสองปี นางทิ้งเด็กหญิงคนหนึ่งไปนานถึงสิบสองปี มิพบพาน” นางหันหน้ากลับมาจ้องตาหลันฮวา “ฝากไปถามสตรีผู้นั้นด้วยว่ายามที่ข้าต้องการนางมากมายไยไม่กลับมา ไฉนไม่คิดกลับมาดูแลเด็กน้อยตาดำๆ คนนี้ให้ดี เหตุใดถึงปล่อยให้ต้องเผชิญหน้ากับแม่เลี้ยงใจร้ายอย่างเดียวดายนานหลายปี” แม้น้ำเสียงติดเย็นชา ทว่าประกายตากลับฉ่ำน้ำไหวระริก หวงลี่ฟางเอ่ยต่อ “ถามให้ทีว่าการปล่อยให้บุตรสาวต้องเติบโตด้วยตัวเองอย่างยากลำบาก ต้องกลายเป็นเครื่องมือขั้วอำนาจให้คนสกุลหวง นางไม่นึกละอายใจบ้างเลยหรือ?” หวงลี่ฟางหยุดเว้นวาจาชั่วครู่ ก่อนถามดูถึงสิ่งที่ค้างคาใจหลังจากสืบจนรู้มาเรื่องหนึ่งเมื่อสองปีที่แล้วก่อนสกุลหวงล่มสลาย ก่อนปักปิ่น[2]ไม่กี่วันนางแอบเขียนจดหมายขอร้องให้มารดาส่งคนมารับไปอยู่ด้วยกัน แต่มารดาเพียงลอบส่งคนชุดดำมายื่นจดหมายปฏิเสธ ส่วนเหตุผลน่ะหรือ เพราะมารดามิอาจมีลูกให้ใครได้อีกและบุรุษผู้นั้นจะมีลูกกับหญิงใดก็ได้แต่ต้องมิใช่นาง “อ้อ...ข้าได้ข่าวว่าสามีของสตรีผู้นั้นหนุ่มแน่นหล่อเหลา นางหวงแหนมากมิอยากให้สตรีใดเข้าใกล้แม้กระทั่งตัวข้านี่นา จดหมายที่ปฏิเสธข้าในปีนั้นล้วนชัดเจน” ชัดเจนอยู่แล้วว่าหากนางไปหามารดาตั้งแต่วันนั้น แม่ลูกย่อมไม่พ้นมีสามีคนเดียวกัน นางรู้ว่านั่นมิใช่การหึงหวงแต่เป็นวิธีปกป้องของมารดา การอยู่สกุลหวงที่ยิ่งใหญ่ย่อมดีกว่า เพียงแต่ใครจะรู้ว่าสองปีต่อมา ...ไม่มีสกุลหวงแล้ว “เจ้ากลับไปเถอะ บอกสตรีผู้นั้นว่าข้าดูแลตัวเองได้” กล่าวจบไม่รอให้สตรีชุดดำที่นั่งอ้าปากเบิ่งตานิ่งงันอย่างคนไม่กล้าเถียงอันใดออกมา หวงลี่ฟางเพียงลุกขึ้นยืน เชิดคางพลางปรายหางตามองอีกฝ่ายอย่างเย่อหยิ่งทะนงตนและเย็นชาก่อนสะบัดแขนเสื้อทำท่าจะเดินจากไป เห็นคนกำลังจะจากไปอย่างเย็นชา หลันฮวาพลันร้อนใจ วาจาจึงฉะฉานไม่มียั้งคิด “คุณหนูแน่ใจได้อย่างไรว่าจะอยู่ในข้างกายเขาอย่างผาสุกมิสิ้นสุด วันนี้ซื่อจื่ออาจไม่มีใคร แต่ก็แน่นอนว่ามิใช่ตลอดไป วันหน้าเมื่อเขาเบื่อคนเก่า เขาย่อมรับหญิงงามคนใหม่เข้าเรือนมา บุรุษก็เท่านี้ มองสตรีเป็นเครื่องมือปรนเปรอ เมื่อถึงเวลาเหมาะสม เขาย่อมต้องแต่งงานกับสตรีที่สูงส่งคู่ควร ซึ่งแน่นอนว่ามิใช่คุณหนูที่มีอาญาแผ่นดินติดตัว ที่สำคัญ ท่านจะกลายเป็นปัญหาค้างคา หากเขาไม่รีบสะสางออกจากตัว เก็บเอาไปคิดให้ดีเถิด” เรียวนิ้วงดงามขาวเนียนชะงักค้างตรงขอบประตู ทว่าเพียงชั่วครู่เท่านั้น หวงลี่ฟางก็เลื่อนเปิดออกคล้ายไม่ได้ยินสิ่งใด ศีรษะที่ปกคลุมด้วยเรือนผมเงางามเชิดขึ้นเล็กน้อย หญิงสาวค่อยๆ เดินจากไปอย่างไม่เหลียวหลัง ทิ้งไว้เพียงกลิ่นอายสงบและเยือกเย็น ให้คนมองเห็นรู้สึกหนาวสะท้านอย่างไร้สาเหตุ โรงน้ำชาฝูหมิงชั้นสอง หลันฮวายืนนิ่งทอดสายตามองตามสตรีร่างบางระเหิดระหงที่เดินอยู่ไกลๆ หวงลี่ฟางเป็นโฉมงามปานเทพธิดา ดวงหน้าคิ้วตาสะสวยชนิดหาตัวจับได้ยาก นางเหมือนบุปผาน้ำแข็ง แลดูบริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่กลับมอบความเหน็บหนาวที่หยั่งลึกถึงจิตวิญญาณให้แก่คนมอง เท่าที่สืบทราบ หวงลี่ฟางเป็นสตรีใจเย็นเรียบง่าย พูดน้อย นิสัยอ่อนโยน แทบจะไม่โกรธหรือมีเรื่องกับใครเลย ทว่าพอเอาจริงขึ้นมา กลับพูดจาได้เย็นเยียบเด็ดขาด ทั้งเฉยชาและไร้อารมณ์อาวรได้อย่างน่าทึ่ง ความรู้สึกหนึ่งคือหวงลี่ฟางไม่มีใครสามารถด้อยค่าได้ คำพูดที่กดให้ต่ำล้วนกระทำเพื่อให้ฉุกใจคิดว่าสมควรไปอยู่ในฐานะที่ดีกว่าการเป็นภรรยาลับของผู้ใด ทว่าคนกลับไม่แยแสแม้หางตา ดีเหลือเกินที่นายหญิงมิได้มาด้วยตัวเอง หาไม่ย่อมเกิดศึกสายเลือดจนสะบั้นมากกว่าเดิมก่อนเปิดปากสนทนาเป็นแน่แท้ หลันฮวาหลับตาทอดถอนใจ ก่อนลืมตาขึ้นมาใหม่เพื่อมองแผ่นหลังของหวงลี่ฟางที่เหยียดตรง ท่วงท่ายามย่างก้าวงามสง่า ทั้งบริสุทธิ์งดงามและผ่าเผย ไหนเลยจะเห็นเป็นสตรีต่ำต้อยด้อยค่า ภายใต้เสื้อผ้าเนื้อธรรมดาไร้สีสันนั้น คำว่าหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี ล้วนมีอยู่ทั่วอณูเรือนกาย ชินอ๋องซื่อจื่อจะรู้หรือไม่ ว่าตนเป็นบุรุษที่ได้ครองหงส์ฟ้า ทว่ากลับมองว่าเป็นเพียงนกกาไร้ค่าให้ใส่ใจ เฮ้อ...ช่างน่าเศร้า [1]หญิงสาวผู้มีกลิ่นหอม [2] เมื่ออายุ 15 ปี เด็กหญิงต้องเข้าสู่พิธีการเกล้าผมปักปิ่น เป็นการประกาศก้องโดยไม่ต้องใช้เสียงว่าเข้าสู่วัยสาวโดยสมบูรณ์และพร้อมสำหรับการเป็นเจ้าสาว
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม