หอดวงดาว
ร่างอรชรของเจ้าหอแห่งดวงดาว นามว่าเว่ยหลินหลางในวัย 17 ปีกำลังนั่งเข้าญาณอยู่ภายในห้องพระจันทร์เสี้ยวซึ่งสร้างยื่นออกไปจากขอบหน้าผา เบื้องล่างคือหุบเหวมรณะ เบื้องบนเปิดกว้างไร้หลังคาบดบังเพื่อให้เจ้าหอคำณวนวิถีแห่งดวงดาวคือท้องฟ้าในยามราตรีเต็มไปด้วยหมู่ดาวนับหมื่นล้านดวงทอแสงระยิบระยับเต็มแผ่นฟ้าไปหมด ยอดเขาเทียนเหมินซานสูงเสียดฟ้าประหนึ่งประตูสวรรค์น้อยคนยิ่งนักที่จะล่วงล้ำเข้าเขตแดนนี้ได้
ท่ามกลางขุนเขาสูงของเทือกเขาเทียนเหมินซาน กลางหุบเหวลึกเป็นที่ตั้งของหอดวงดาวอันเป็นขุมคลังของความรู้ที่รวมตำราโบราณมาตั้งแต่ยุคสร้างแผ่นดิน ล้วนเก็บรักษาเอาไว้อยู่ในสถานที่เป็นความลับสุดยอดไม่อาจเปิดเผยให้ผู้ใดล่วงรู้ได้ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นล่วงรู้ที่ตั้งหอดวงดาวแห่งนี้ ศูนย์รวมแห่งพลังหยินหยางก่อกำเนิดตำรายาลับมากมาย รวมไปถึงสูตรยาอายุวัฒนะก็อยู่รวมภายในนี้เช่นกัน
ท้องฟ้าเบื้องบนในยามนี้เต็มไปด้วยดวงดาวมากมายนับหมื่นล้านดวง ต่างกำลังแข่งขันเปล่งแสงสุกสกาวออกมาอย่างเต็มที่กลับปรากฏ หนึ่งในดวงดาวเหล่านั้นที่เปล่งแสงเจิดจ้าอยู่ดีๆ พลันดับวูบลงไปอย่างไม่รู้สาเหตุและร่วงหล่นตกลงจากฟากฟ้าลงสู่พื้นเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว
พรึบ!!!! เปลือกตาที่กำลังปิดสนิทอยู่ในขณะนั้นเปิดขึ้นทันที ใบหน้างดงามเฉิดฉายบ่งบอกถึงความตกใจสุดขีดกับสิ่งที่นางสัมผัสได้ทางญาณ พร้อมแหงนหน้ามองท้องฟ้าเบื้องบนซึ่งดวงดาวกำลังร่วงหล่นจากแผ่นฟ้าอยู่ในขณะนั้น ไร้สิ้นแสงสว่างเจิดจ้าไปชั่วนิรันดร์
“หลิงเอ๋อ!”เว่ยหลินหลางเรียกชื่อของน้องสาวฝาแฝดออกมาทันใด ร่างงามลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วเฝ้าจับจ้องดวงดาวที่ร่วงหล่นลงมาจากฟ้าก่อนจะแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ
ไม่!!! เสียงตะโกนก้องด้วยความตกใจอย่างสุดขีดเมื่อเห็นดาวประจำตัวของเว่ยหลิงเหลียนแตกดับไปต่อหน้าต่อตาเช่นนั้น ก่อนจะเหลือบสายตาไปที่ดาวประจำตัวของเว่ยอี้ก็กำลังเริ่มอ่อนแสงลงไปด้วยเช่นกัน
“แย่แล้ว! ดาวประจำตัวของท่านพ่อเหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนั้น นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวของข้ากันแน่!”เว่ยหลินหลาง กล่าวได้เพียงแค่นั้นญาณหยั่งรู้อนาคตปรากฏขึ้นมาโดยพลัน
ภาพใบหน้าอันงดงามของสตรีสูงศักดิ์นางหนึ่งปรากฏขึ้นมาทันใด รอยแสยะยิ้มเหยียดมาพร้อมกับเสียงหัวเราะหวีดหวิวเต็มไปด้วยความอำมหิตและเหี้ยมเกรียม พร้อมร่างอันไร้วิญญาณมากมายนอนตายเกลื่อนกลาด
ทั่วทั้งแผ่นดินเต็มไปด้วยหยาดโลหิตแดงฉานไหลเนืองนอง และภาพบุรุษผู้สูงศักดิ์แต่กลับไม่ได้มีเพียงหนึ่งเดียวแต่มีสองคนหนึ่งในนั้น เป็นดวงดาวจักรพรรดิและอีกหนึ่งเป็นดวงดาวแห่งหายนะ! และที่สำคัญนางเห็นตัวเองยืนอยู่ท่ามกลางบุรุษทั้งสองที่กำลังเผชิญหน้ากันอยู่ในขณะนั้น
พรึบ! ญาณหยั่งรู้อนาคตดับวูบลงไปโดยพลันพร้อมชื่อของใครบางคนดังออกมาจากปากของนางทันที
“ลี่หยาง!”เจ้าหอแห่งดวงดาวเอ่ยชื่อดังกล่าวออกมาทันที ดวงตาเต็มไปด้วยอาการตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด
“แผ่นดินต้าโจวกำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และตระกูลของข้าจะพานพบเรื่องเลวร้ายแต่เป็นเรื่องอะไร เหตุใดข้าจึงมองเห็นตัวเองอยู่ในสถานที่เช่นนั้นหรือว่า....”เว่ยหลินหลางเอ่ยได้เพียงเท่านั้น
ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อท้องฟ้าเบื้องบน มีบางอย่างปรากฏให้นางเห็นเพียงผู้เดียวเท่านั้น ซึ่งเป็นประโยคจากลิขิตสวรรค์ที่ทำเอานางถึงกับยืนอึ้งไปทันที
บัลลังก์หงส์ถึงกาลวิบัติเมื่อผู้มาจากดวงดาวปรากฏตัวและจบสิ้นลงด้วยน้ำมือของดาวจักรพรรดิ
ทันทีที่อ่านประโยคดังกล่าวจากสวรรค์จบลง เว่ยหลินหลางหันกายกลับเดินออกไปจากห้องพระจันทร์เสี้ยวอย่างรวดเร็วก่อนจะหยุดลงเมื่อมาถึงตรงหน้าประตู
“ตามผู้คุมกฎทั้งเก้ามาพบข้าที่นี่เดี๋ยวนี้!”นางสั่งการออกไป
“ขอรับ”เสียงเวรยามหน้าประตูขานรับอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางใบหน้าและแววตาของเจ้าหอคนงามเต็มไปด้วยความกังวลอย่างเห็นได้ชัด
ในเวลาต่อมา
ผู้คุมกฎทั้งเก้าต่างมาปรากฏตัวที่หอคอยดวงดาวกันอย่างพร้อมเพรียงตามคำสั่งของเจ้าสำนักคนปัจจุบัน พร้อมเสียงของผู้คุมกฎซึ่งอาวุโสสูงที่สุดเอ่ยขึ้นมาทันที เมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากเว่ยหลินหลางจบลง
“อะไรนะ! เจ้าหอต้องการลงจากเขาเพื่อเดินทางไปเมืองหลวงอย่างนั้นเหรอ! ไม่ได้นะ! ทำเช่นนั้นไม่ได้อย่างเด็ดขาดหาไม่แล้วชะตาของท่านจะต้องพลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือไปอย่างสิ้นเชิง ซ้ำร้ายเจ้าสำนักหอดวงดาวทุกรุ่นไม่เคยย่างกายออกจากสถานที่แห่งนี้ก่อนอายุ 20 ปีเลย เพราะทันทีที่ย่างก้าวออกไปนอกจากจะทำให้ชะตาแปรเปลี่ยน อายุขัยจะลดลงไปถึงครึ่งหนึ่งเลยเชียวนะ”ผู้คุมกฎซึ่งอาวุโสสูงสุดกล่าวเตือนด้วยความห่วงใย พร้อมเสียงของผู้คุมกฎคนอื่นๆ ต่างคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน
“เจ้าหอได้โปรดเปลี่ยนใจเถิด ท่านเป็นผู้หยั่งรู้อนาคตทั่วผืนแผ่นดินนี้ไม่มีสิ่งใดที่ท่านไม่รู้ หากก้าวออกจากหอดวงดาวจะประสบชะตากรรมร้ายกับท่านจะทำเช่นไร หอดวงดาวแห่งนี้ขาดไร้เจ้าสำนักไม่ได้ ท่านคือความภาคภูมิใจของพวกข้าทั้งหมดที่เลี้ยงท่านมาตั้งแต่เกิดเลยนะ”เสียงคัดค้านของผู้คุมกฎซึ่งเป็นสตรีหนึ่งในผู้เลี้ยงดูเจ้าหอคนงามเอ่ยแทรกขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย
ท่ามกลางเสียงเอ็ดอึงกันอย่างถ้วนหน้าต่างพากันทัดทานเว่ยหลินหลางอย่างสุดกำลัง นางล่วงรู้ดีว่าผู้คุมกฎไม่เห็นด้วยในการออกจากหอดสงดาวก่อนอายุครบ 20 ปีของนางในครั้งนี้
“เรื่องนั้นข้าล่วงรู้เป็นอย่างดีผู้อาวุโสทั้งหลาย แต่จำเป็นต้องไปเพราะนี่คือลิขิตแห่งสวรรค์!”เว่ยหลินหลางอธิบายกลับไป
“อะไรนะ!”ผู้คุมกฎทั้งเก้าต่างพูดออกมาพร้อมกันเมื่อได้ยินเช่นนั้น
ใบหน้างดงามพยักขึ้นลงติดต่อกันเป็นการยืนยันคำกล่าวของนาง ซึ่งทำให้ผู้คุมกฎทั้งเก้าได้แต่ยืนเงียบงันไปตามๆ กัน
“เหตุใดสวรรค์จึงลิขิตออกมาเช่นนี้ ตั้งแต่หอดวงดาวก่อตั้งมานานนับพันปีเป็นเจ้าหอคนแรกที่ต้องออกจากหอดวงดาวก่อนอายุ 20 ปี สวรรค์ต้องการอะไรจากท่านกันแน่ ไม่ง่ายเลยที่จะปรากฏผู้หยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้เช่นนี้”ผู้คุมกฎอาวุโสสูงสุดกล่าวพร้อมถอนหายใจออกมาอย่างแรง
“คาดว่าสวรรค์ต้องการให้ข้าออกจากหอดวงดาวเพื่อไปทำตามลิขิตของสวรรค์เบื้องบน มีเพียงข้าผู้เดียวเท่านั้นที่จะต้องลงมือ ผู้อาวุโสหลงลืมไปแล้วหรือว่า ข้าเกิดมาพร้อมกับดวงชะตาล้มบัลลังก์หงส์ของแผ่นดินต้าโจว และนี่คงจะถึงเวลาแล้ว”
คำกล่าวของเว่ยหลินหลางแม้จะสร้างความกังวลใจให้แก่ผู้คุมกฎทั้งเก้าก็ตาม แต่ก็มิอาจฝืนโชคชะตาและลิขิตของสวรรค์นี้ได้แม้แต่น้อย จำต้องยอมรับในการออกจากหอดวงดาวของเจ้าสำนักคนปัจจุบันนี้แต่โดยดี
“เมื่อเป็นเช่นนั้นพวกข้าทั้งหมดก็ไม่อาจเหนี่ยวรั้งเอาไว้ได้ เพราะลิขิตของสวรรค์ยากที่ผู้ใดฝ่าฝืนแม้ว่าการออกจากหอดวงดาวก่อนอายุครบ 20 ปีจะส่งผลต่อตัวท่านเป็นอย่างมากก็ตาม ก็ขอให้ท่านเจ้าหอเดินทางอย่างปลอดภัยถ้าจะให้ดีนำสิ่งที่สามารถปกป้องชีวิตให้พ้นภัยร้ายไปด้วยจะดีมาก วรยุทธ์ของท่านก็ยังอ่อนด้อยยากนักที่จะต่อกรกับผู้ใดได้”เหล่าผู้คุมกฎกล่าวแนะนำ
“ขอบคุณท่านอาวุโสทั้งเก้าที่เข้าใจ ข้าจะนำมุกวิเศษและเทียนอธิษฐานนำติดตัวไปเพียงสองสิ่งเท่านั้น ขอได้โปรดวางใจเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยข้าจะกลับคืนสู่หอดวงดาวเช่นเดิม ในระหว่างนี้เว่ยหลินหลางขอฝากหอดวงดาวให้แก่ผู้อาวุโสทุกท่านช่วยดูแลไปพลางก่อน”เจ้าหอคนงามพูดพร้อมยกสองมือเรียวงามประสานเข้าหากัน ก้มศีรษะคำนับคารวะผู้คุมกฎทั้งเก้าที่ยืนมองด้วยความเป็นห่วงมิรู้คลาย
ผู้คุมกฎทั้งเก้าคนต่างเริ่มปรากฏรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า เมื่อล่วงรู้ว่าเจ้าหอนำสิ่งใดติดตัวไปด้วย ทั้งหมดต่างยกมือประสานเข้าหากันรับการคารวะจากเจ้าหอคนปัจจุบันเช่นเดียวกัน พร้อมเสียงของเว่ยหลินหลางดังกึกก้องขึ้น
“ปิดหอคอยดวงดาว!”เสียงของนางสั่งการออกไปทันที
“ขอรับ!”ทุกชีวิตที่คอยดูแลหอดวงดาวขานรับพร้อมเพรียง
แอดดดด!!! ห้องพระจันทร์เสี้ยวสำหรับเจ้าหอแห่งดวงดาวเริ่มปิดตัวลงอย่างช้าๆ พร้อมร่างของเจ้าหอแห่งดวงดาวเดินนำหน้าออกจากหอคอย โดยมีผู้คุมกฎทั้งเก้าเดินตามหลังมาติดๆ
ปัง!!! ประตูทางเข้าของหอคอยที่จะขึ้นไปบนยอดเขาซึ่งมีห้องพระจันทร์เสี้ยวอยู่บนนั้นถูกปิดผนึกลงด้วยเช่นกัน พร้อมผนึกด้วยค่ายกลดวงดาว
ครืนนนน!!! ค่ายกลดวงดาวปิดผนึกลงอย่างแน่นหนาจนทั่วทั้งหอคอยสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปหมด และจะไม่มีผู้ใดสามารถเปิดหอคอยดังกล่าวนี้ได้อีกต่อไป นอกเสียจากเจ้าหอแห่งดวงดาวเพียงผู้เดียวเท่านั้น ด้วยภายในนั้นเต็มไปด้วยตำราศักดิสิทธิ์และสิ่งวิเศษของแผ่นดินที่เล่าขานในตำนานเก็บรักษาอยู่ภายในนั้น
พรึบ! เปลวเพลิงสีส้มแสดปะทุขึ้นมาจากเทียนอธิษฐานเมื่อถูกจุดขึ้นมาจากการร่ายคาถากำกับ
“เจ้าหอจะออกเดินทางเดี๋ยวนี้เลยเหรอ อีกหนึ่งชั่วยามฟ้าก็จะสางแล้ว”เสียงของหนึ่งในผู้คุมกฎเอ่ยถามกลับไปเมื่อเห็นเจ้าหอแห่งดวงดาวจุดเทียนอธิษฐานขึ้นเพื่อนำนางกลับไปเมืองหลวงภายในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูปจากที่จะต้องเดินทางนานนับแรมเดือนเลยทีเดียว
“ข้าไม่อาจรั้งรอได้เพราะนี้คือเหตุเร่งด่วน จึงจำเป็นต้องใช้เทียนอธิษฐานนี้พาข้ากลับไปที่จวนราชครูภายในวันนี้ให้ได้ ขอผู้อาวุโสทุกท่านอย่าได้เป็นห่วง”
เว่ยหลินหลางตอบผู้คุมกฎทั้งเก้ากลับไป ก่อนจะออกเดินทางลงจากเขาเป็นครั้งแรกในรอบ 17 ปีตั้งแต่นางเกิดและเติบโตมาจากที่นี่ บรรดาผู้คุมกฎทั้งเก้าและลูกศิษย์ของหอดวงดาวต่างเฝ้ายืนมองเจ้าสำนักดวงดาวลงจากเขาไปโดยถือเทียนอธิษฐานอยู่ในมือท่ามกลางแสงอาทิตย์กำลังโผล่พ้นจากขอบฟ้า
ร่างระหงของเว่ยหลินหลางสวมอาภรณ์ขาวลออตา ค่อยๆ เดินลงจากเขาไปอย่างช้าๆ เพียงลำพังก่อนจะเลือนหายไปเพียงชั่วพริบตา
“อีกนานเท่าใดหนอเจ้าหอจะได้หวนคืนกลับมาที่หอดวงดาว ลงจากเขาก่อนอายุจะครบ 20 ปีเช่นนี้ เจ้าหอจะประสบกับชะตาที่พลิกผันอย่างไรก็ไม่รู้ และจะผ่านพ้นไปได้หรือไม่”เสียงของหนึ่งในผู้คุมกฎอาวุโสสูงที่สุดเอ่ยขึ้นด้วยความกังวล
“เจ้าหอหยั่งรู้ฟ้าดิน นางน่าจะล่วงรู้ว่าชะตาเบื้องหน้าจะต้องประสบกับอะไรบ้างหรอกนะ ท่านกังวลมากจนเกินไปหรือเปล่า”เสียงของหนึ่งในผู้คุมกฎแสดงความคิดเห็นออกมา
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยส่ายไปมาติดต่อกันเมื่อได้ยินหนึ่งในผู้คุมกฎกล่าวออกมาเช่นนั้น
“นางหยั่งรู้ฟ้าดินของผู้อื่น แต่ในทางกลับกันนางไม่อาจญาณหยั่งรู้โชคชะตาของตัวเอง ลิขิตสวรรค์ไม่ได้ให้มาครบทุกสิ่งอย่างหรอกนะ นางจะรอดพ้นหรือไม่ขึ้นอยู่กับการกระทำของตัวเองและสถานการณ์ที่บีบบังคับ อย่าลืมสิว่าเจ้าหอเพิ่งจะมีอายุ 17 ปีเท่านั้น นางยังเยาว์และด้วยวัยเพียงเท่านี้ต้องมารับภาระอันยิ่งใหญ่คอยปกป้องและดูแลหอดวงดาวแห่งนี้”ผู้อาวุโสสูงสุดหรือที่เรียกขานกันภายในหอดวงดาวว่าท่านลุงใหญ่กล่าวพลางถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วงพร้อมเอ่ยขึ้น
“ความคิดความอ่านของนางอาจจะโตกว่าอายุจริงแต่นางไม่ใช่ผู้ทรงศีลหรือบำเพ็ญตนเพื่อประพฤติเป็นเซียน บางวันยังวิ่งเล่นเป็นเด็กเล็กๆ ก็ยังเห็นอยู่เลย ดังนั้นขึ้นชื่อว่าสตรีย่อมที่จะมีอารมณ์อ่อนไหวด้วยกันทั้งสิ้น อีกทั้งการออกจากหอดวงดาวในครั้งนี้ล้วนเป็นลิขิตของสวรรค์ที่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น”
ผู้คุมกฎอาวุโสที่สุดอธิบายออกมาพลางทอดถอนหายใจออกมาอย่างแรงอีกเป็นครั้งที่สองด้วยไม่อยากคิดเลยว่า เจ้าหอแห่งดวงดาวจะพานพบสิ่งใดที่จะเกิดขึ้นในชีวิตของนางบ้าง
และนั่นทำให้ผู้คุมกฎที่เหลือได้แต่ยืนฟังอย่างเงียบๆ ไม่ปริปากกล่าวสิ่งใดออกมาอีก ทำได้แต่เพียงภาวนาให้เรื่องร้ายกลับกลายเป็นเรื่องดีเพื่อเจ้าหอคนงามจะได้กลับคืนหอดวงดาวดั่งเดิม
พระราชวังหลวง
ตำหนักบูรพา
“ไม่จริง!!!!”สุระเสียงดังกระหึ่มด้วยความตระหนกพระทัยอย่างยิ่งยวดเมื่อขันทีคนสนิทเข้ามากราบทูลรายงานข่าวด่วนเรื่องของพระชายารัชทายาท
หมับ! พระหัตถ์ตรงเข้าคว้าสาบเสื้อของขันทีที่เฝ้าคอยปรนนิบัติรับใช้มาอย่างช้านานพร้อมกระชากร่างสันทัดเข้ามาใกล้ๆ
“เจ้าพูดให้ข้าฟังอีกครั้ง! ผู้ใดกันที่ตายในวันอภิเษกของข้า!”รัชทายาทหนุ่มตวาดถามจนสุดพระสุระเสียง
ขันทีกู้ถึงกับตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดหวั่นเมื่อถูกองค์ชายรัชทายาทรับสั่งถามกลับมาเช่นนั้น
“ข่าวด่วนจากจวนราชครูเว่ยอี้พ่ะย่ะค่ะ ส่งทหารให้กลับมาแจ้งทางราชสำนักว่าพระชายาสิ้นพระชนม์ลงแล้วเมื่อกลางดึกของเมื่อคืนที่ผ่านมาพ่ะย่ะค่ะ”ขันทีคนสนิทกราบทูลกลับไปด้วยอาการหายใจไม่ทั่วท้องเลยทีเดียว
และนั่นทำให้พระวรกายสูงใหญ่ของรัชทายาทแห่งต้าโจวถึงกับนิ่งงันไปทันทีครั้นทรงได้ยินเช่นนั้น พระพักตร์คมคร้ามหล่อเหลาเริ่มส่ายไปมาติดต่อกัน ด้วยเพราะพระองค์ทรงไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“ไม่จริง! ข้าไม่เชื่อ! ชายาของข้ายังไม่ตาย! นางต้องไม่ตาย! ชายาของข้าจะต้องไม่ตาย!!!!”สิ้นพระสุระเสียง
รัชทายาทรูปงามซึ่งอยู่ในฉลองพระองค์เจ้าบ่าวสีขาววิ่งพรวดพราดออกจากพระตำหนักส่วนพระองค์รีบเสด็จไปหาพระชายาที่ทรงคาดหวังว่าจะได้เคียงคู่กับนาง ท่ามกลางเสียงร้องเรียกของขันทีกู้
“องค์รัชทายาท! อย่าเสด็จไปพ่ะย่ะค่ะ...องค์รัชทายาท!”ขันทีคนสนิทเรียกจนเสียงหลงพร้อมรีบวิ่งตามหลังไปอย่างกระชั้นชิด แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักเมื่อขบวนเสด็จของหวังฮองเฮามาถึงพระตำหนักพอดี
“รีบขัดขวางองค์รัชทายาทเอาไว้! อย่าให้เสด็จออกจากวังหลวงเป็นอันขาด”หวังฮองเฮามีพระบัญชาออกมาทันที
องครักษ์มากมายรีบกรูเข้าไปหารัชทายาทแห่งต้าโจวพร้อมยืนล้อมรอบพระองค์เอาไว้อย่างแน่นหนาไม่ให้เสด็จหลบหนีไปจากวังหลวงตามรับสั่งของหวังฮองเฮา
“เสด็จแม่ปล่อย! ทรงขัดขวางเอาไว้เช่นนี้ทำไม! นางคือพระชายาของลูกนะพ่ะย่ะค่ะ ลูกไม่เชื่ออย่างเด็ดขาดว่านางตายถึงอย่างไรก็ต้องไปหานาง! อย่างไงก็จะไป!!!”รัชทายาทรูปงามรับสั่งสุระเสียงกึกก้อง
“แต่แม่ไม่ให้เจ้าไป! ชายาของเจ้านางตายแล้ว! ได้ยินหรือไม่ว่านางตายแล้ว คนตายย่อมไม่อาจฟื้นคืนกลับมาได้อีก เจ้าดั้นด้นไปหานางก็เท่านั้นไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา ทางที่ดีควรจะเลือกพระชายาในลำดับต่อไปให้เสด็จพ่อของเจ้ามีพระราชโองการแต่งตั้งนางให้ขึ้นมาเป็นพระชายาแทน แล้วรีบเข้าพิธีอภิเษกให้เรียบร้อยเสียเถอะ เชื่อแม่หยางเย่ว!!!”หวังฮองเฮารับสั่งคำรามลั่น
ครั้นรัชทายาทรูปงามได้ยินรับสั่งของพระมารดาออกมาเช่นนั้น พระพักตร์หันกลับไปทอดพระเนตรหวังฮองเฮาเขม็งด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวังอย่างยิ่งยวด
“เหตุใดเสด็จแม่จึงมีรับสั่งเช่นนี้ออกมา! หลิงเหลียนคือพระชายาเอกของลูกจะให้เลือกสตรีอื่นขึ้นมาแทนที่แล้วให้เข้าพิธีอภิเษกแทนนาง ไม่รีบร้อนมากเกินไปหน่อยเหรอพ่ะย่ะค่ะ! ทรงกลัวว่าฐานอำนาจในกองทัพของสกุลหวังจะถูกเปลี่ยนมือไปที่สกุลเว่ยใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ!”โจวหยางเย่วตวาดถามกลับไปจนสุดเสียง
“ใช่แล้วจะทำไม! เจ้าคือรัชทายาทแห่งต้าโจวจะต้องขึ้นครองบัลลังก์สืบต่อจากเสด็จพ่อ ดังนั้นฮองเฮาที่จะต้องเคียงคู่ราชบัลลังก์แห่งต้าโจวจะต้องมาจากสกุลหวังเท่านั้น สกุลอื่นไม่ได้แม้แต่จะคิด!”หวังฮองเฮาตวาดพระโอรสพร้อมเสด็จเข้าไปหา
“เจ้าคือพระโอรสหนึ่งเดียวของแม่นะเย่วเอ๋อ ลูกรักของแม่ทุกสิ่งที่ทำลงไปก็เพื่อเจ้าทั้งสิ้นมิใช่เพื่อผู้ใดทั้งนั้น”หวังฮองเฮาพยายามรับสั่งหว่านล้อม
ถ้อยรับสั่งของพระมารดาทำให้รัชทายาทหนุ่มเสียพระทัยอย่างยิ่งยวดในการกระทำที่ทำลายหัวใจรักของพระองค์จนไม่เหลือชิ้นดีเช่นนี้ รักแรกในหัวใจหวังครองคู่ไปกับนางจนแก่เฒ่ามลายหายไปโดยพลัน รอยแสยะยิ้มเหยียดปรากฏขึ้นบนพระพักตร์งาม พระเนตรแข็งกร้าวจ้องเขม็งไปที่พระมารดา
“ในเมื่อเสด็จแม่คาดหวังที่จะให้ชายาของลูกมาจากสกุลหวังเห็นทีคงได้แต่ฝันเพราะลูกไม่ต้องการ! ชายาของลูกคือธิดาจากสกุลเว่ยเท่านั้นหากแม้นไม่ใช่นางอย่าหวังว่าจะมีพิธีอภิเษกสมรสนี้เกิดขึ้น และอย่าทรงคิดว่าลูกจะอยู่ในตำแหน่งรัชทายาทนี้ต่อไป เพราะไม่มีนาง! ก็จะไม่มีข้าเช่นกัน!!!”
รัชทายาทรูปงามรับสั่งตวาดก้องท่ามกลางอาการตื่นตระหนกจนหัวใจแทบวอดวายของหวังฮองเฮาครั้นทรงได้ยินพระโอรสมีรับสั่งเช่นนั้นออกมา
“เจ้าจะทำอะไรเย่วเอ๋อ! อย่าทำอะไรสิ้นคิดขึ้นมาไม่ได้นะ!”หวังฮองเฮารับสั่งดังก้อง
สิ้นพระสุระเสียงของพระมารดา
โจวหยางเย่วทรงใช้วิชาตัวเบาขั้นสูงกระโดดตัวลอยละลิ่ว พร้อมวิ่งไปตามหลังคาพระตำหนักของวังหลวงเพื่อเล็ดรอดออกจากพระราชวังมุ่งตรงไปที่จวนราชครูเพื่อไปหาพระชายาของพระองค์ ท่ามกลางสุรเสียงร้องเรียกของพระมารดา
“เย่วเอ๋อกลับมาหาแม่เดี๋ยวนี้! เย่วเอ๋อ!!”หวังฮองเฮารับสั่งตะโกนก้องไปทั่วบริเวณ ก่อนจะหันกลับไปเล่นงานกับเหล่าข้าราชบริพารที่กำลังพากันยืนมององค์ชายรัชทายาทเสด็จหนีออกจากพระราชวังหลวงเพื่อไปหาพระชายา
“มัวพากันยืนเซ่ออยู่ทำไมรีบตามเสด็จรัชทายาทเร็วเข้า! ไปนำพระองค์กลับคืนวังหลวงให้จงได้ หาไม่แล้วข้าจะสั่งกุดหัวพวกเจ้าทุกคน!”หวังฮองเฮามีพระบัญชาออกไปทันที
“พ่ะย่ะค่ะ!”บรรดาทหารองครักษ์ขานรับกันพร้อมเพรียง
ท่ามกลางสายพระเนตรของหวังฮองเฮาทรงทอดพระเนตรขบวนทหารองครักษ์ รีบวิ่งออกไปจากตำหนักบูรพาอันเป็นสถานที่ประทับขององค์รัชทายาท ด้วยความรู้สึกหงุดหงิดในพระทัยยิ่งนัก
“เว่ยหลิงเหลียน! เจ้าแน่มากนะที่ทำให้โอรสของข้าทุ่มเทหัวใจให้ถึงเพียงนี้ ในเมื่อนางมีอิทธิพลเหนือจิตใจของลูกข้า ความตายที่มอบให้ล้วนเป็นสิ่งสมควรแล้วที่จะได้รับ!”หวังฮองเฮารับสั่งอย่างเหี้ยมเกรียม แววตาลุกโชนดั่งไฟเต็มไปด้วยความแข็งกร้าวและอำมหิตอย่างยิ่งยวด