บทนำ...

1973 คำ
สายเรียกเข้าที่โทรศัพท์มือถือหลายสายไม่ได้รับความสนใจจากเจ้าของเมื่อหญิงสาวผู้ครอบครองมันอย่างจันทร์เจ้าขา พรอัครเดชา สนใจสิ่งที่เพื่อนร่วมงานกำลังนำเสนออยู่บนจอโปรเจคเตอร์ขนาดเล็กมากกว่าสายเรียกเข้าจากหมายเลขที่ไม่คุ้นชิน ความตั้งใจและเข้มงวดในการทำงานเพราะต้องการเป็นแบบอย่างให้เพื่อนร่วมงานเพราะหญิงสาวเป็นครีเอทีฟที่ควบตำแหน่งผู้บริหาร บริษัท สกาย แอดเวอร์ทิส บริษัทโฆษณาเล็กๆ ในย่านทวีวัฒนา... หล่อนก่อตั้งบริษัทร่วมกับพี่ชายคืออาทิตยะกับรัศมีดาราน้องคนสุดท้องโดยได้ทุนจากค่าประกันชีวิตของบิดามารดาที่ลาลับไปและทิ้งมรดกไว้ให้คือค่าประกันชีวิตมากพอสำหรับสร้างกิจการเพื่อรองรับสายงานที่ทั้งสามคนได้เล่าเรียนมา “พี่พระจันทร์ ออกไปรับโทรศัพท์เถอะ... มันทั้งสว่างทั้งสั่นจนคนอื่นเสียสมาธิหมดแล้ว” รัศมีดาราน้องสุดท้องสะกิดพี่สาว เมื่อเห็นว่าสายเรียกเข้าที่เห็นเพียงหมายเลขนั้นเรียกเข้ามาหลายสายแต่จันทร์เจ้าขาไม่ยอมรับมัน ปล่อยให้สั่นจนคนที่พรีเซนต์งานโฆษณาชิ้นใหม่กับลูกค้าอยู่สะดุดหลายครั้งกับแสงวาบๆ ที่หน้าจอยามเมื่อต้องปิดห้องมืดเพื่อพรีเซนต์งาน... “เบอร์ใครก็ไม่รู้... ไม่ได้บันทึก แต่โทรมาสิบกว่าสายแล้ว เดี๋ยวค่อยโทรกลับ” จันทร์เจ้าขาหยิบโทรศัพท์มาปิดเครื่องแล้วฟังพรีเซ็นต์งานต่อ... เห็นใบหน้าพึงพอใจของลูกค้าเจ้าของผลิตภัณฑ์แล้วก็ค่อนข้างวางใจ งานนี้เป็นงานระดับนานาชาติที่หล่อนไปเปิดตลาดด้วยตัวเองในประเทศเพื่อนบ้าน แม้ว่าไม่ได้ก้าวไกลหรือว่ายิ่งใหญ่ แต่การเปิดตลาดเพื่อหาลูกค้าใหม่ๆ นับว่าเป็นการขยายงานที่น่าพึงพอใจ... บริษัทสกายเป็นบริษัทเล็กแต่พริกขี้หนู ด้วยมีทีมครีเอทีฟมือฉมังอยู่หลายคน ทุกคนล้วนอยู่ที่สกายด้วยใจรักงานและมีความสุขกับงานและเพื่อนร่วมงานแม้ว่าแต่ละคนจะอาร์ตบ้าง อินดี้บ้าง มีนิสัยบ้าๆ บวมๆ ไปคนละอย่างก็ตามแต่ผลงานก็การันตีได้ว่า พวกเขาเป็นกลุ่มเล็กแต่ทำงานที่ใหญ่ได้อย่างไม่บกพร่อง และแน่นอนว่าสกายต้องเติบโตได้อย่างภาคภูมิในอนาคต ปิดการพรีเซ็นต์ที่มีการแก้ไขตอนท้ายของโฆษณาตรงบทพูดแต่ว่าไม่มีการถ่ายทำใหม่แต่อย่างใด เจ้าของสินค้าเอ่ยลาหลังจากที่มอบสินค้าอีกตัวให้แก่ตัวแทนของสกายเพื่อเป็นคนทดลองหลังจากที่ส่งมาให้ทีมครีเอทีฟก่อนที่จะคิดงานโฆษณานี้ขึ้น เพื่อให้ทีมครีเอทีฟค้นหาจุดขายที่แท้จริงจากประสบการณ์ของผู้ใช้สินค้า ก่อนเดินจากไปลูกค้ารายใหม่ซึ่งเป็นนักธุรกิจเจ้าของเครื่องสำอางจากประเทศเพื่อนบ้านได้เอ่ยอย่างเสียดาย “ไม่รู้ว่าคุณดาราคือหนึ่งในกรรมการของบริษัท ไม่อย่างนั้นจะเสนอให้เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้ ไม่ต้องไปจ้างนางเอกดังที่ไหน...” นี่ไม่ใช่ลูกค้าคนแรกที่เอ่ยปากอย่างนั้น เพราะว่ารัศมีดาราคือดาวดวงหนึ่งในวงการบันเทิงไทย และค่อนข้างมีชื่อเสียงอย่างมากในจีนและเวียตนามเพราะหล่อนเป็นเนตไอดอลก่อนจะก้าวมาเป็นนางแบบ และเข้าประกวดนางงาม แล้วเดินเข้าสู่สายงานแสดงอย่างเต็มตัว... แต่รัศมีดาราจันทร์เจ้าขาหรือว่าแม้แต่อาทิตยะที่หน้าตาโดดเด่นทั้งยามขึ้นกล้องและยามถูกมองด้วยตาเปล่าจนลูกค้าอยากจ้างเป็นพรีเซ็นเตอร์เสียเองนั้นไม่อยากเอาตัวเองไปอยู่หน้ากล้อง แต่อยากคิดงานครีเอทีฟอยู่เบื้องหลังมากกว่า “เอาไว้งานหน้านะคะ ดาราจะไม่ปฏิเสธ” รัศมีดาราได้แต่บอกลูกค้าไปอย่างนั้น และอีกไม่นานก็คงต้องรับหน้าที่เป็นพรีเซ็นเตอร์อย่างแน่นอน... อาทิตยะบอกว่ามันเป็นการทำการตลาดอย่างหนึ่ง... ยิ่งตอนนี้รัศมีดาราเริ่มมีชื่อเสียงติดลมบนงานยิ่งวิ่งเข้าชนมากขึ้น... “อีกหน่อยเราคงงานล้นมือ เพราะลูกค้ามาจ้างบริษัททำโฆษณา เพราะอยากให้น้องดาราเป็นพรีเซ็นเตอร์” ครีเอทีฟคนหนึ่งได้กล่าวขึ้น “โธ่ ถ้าพี่พระจันทร์หรือพี่รพียอมเข้าวงการ ดาราไม่ดังหรอกค่ะ” รัศมีดาราเกาะแขนพี่สาวคนกลางอย่างอ้อนๆ จันทร์เจ้าขายิ้มพลางถอนใจ “บ้านนี้มีเราเป็นดาราคนเดียวก็พอแล้ว ขี้เกียจสร้างบ้านเพิ่มเพราะต้องเอามาเก็บของขวัญจากแฟนคลับ...” อ้างเหตุผลไปข้างๆ คูๆ หากแต่ทุกคนก็รู้กันว่าจันทร์เจ้าขากับพี่ชายไม่อยากทำงานหน้ากล้องเพราะว่ารักความเป็นส่วนตัวและอยากเป็นคนธรรมดามากกว่า แม้ว่าหน้าตาจะหล่อเหลาสวยงามหาตัวจับได้ยาก แต่ว่าก็ยังพอยืนอยู่ในหมู่ผู้คนได้สบายๆ แต่หากเป็นดาราเมื่อไหร่คงต้องทุกสายตามาเฝ้าสังเกตและแอบเก็บภาพแทบทุกอิริยาบถซึ่งก็คงไม่มีทางรับได้... มีแต่น้องนุชสุดท้องคนเดียวที่ยอมเข้าวงการเพราะหล่อนชอบงานด้านนี้และไปได้ดีกับงานที่ทำจึงยอมเสียความเป็นส่วนตัวไป... “อ้อ... พี่พระจันทร์ ไม่โทรกลับหาสายปริศนาหน่อยหรือคะ ตอนนี้ว่างแล้วนี่ ดาราว่าคงเป็นคนรู้จักพี่แน่ๆ ถึงได้กระหน่ำโทรแบบนั้น” “อืม... พี่กำลังจะโทรเหมือนกัน” จันทร์เจ้าขาเดินแยกกับทุกคนไปที่โต๊ะทำงาน เมื่อต่างคนต่างแยกย้ายหลังจากพรีเซ็นต์งาน โดยมีบางคนยังนั่งจับกลุ่มคุยเกี่ยวกับงานที่เพิ่งนำเสนอไปเมื่อครู่ จันทร์เจ้าขาเดินไปหาที่เงียบๆ ต่อสายหาหมายเลขที่กระหน่ำโทรหาหล่อนอย่างอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อยว่าเป็นใครที่เรียกสายเข้ามาที่เบอร์ส่วนตัวซึ่งน้อยคนนักจะรู้จัก... “พระจันทร์ นี่ผมเอง คมเพชร” เสียงห้วนๆ ตอบกลับมาหลังจากที่โทรไปแล้วถามไปว่าได้โทรหาตนเองหรือเปล่า... โทรศัพท์หลุดจากมือจันทร์เจ้าขาเพราะมือหล่อนอ่อนกะทันหัน... แต่หล่อนก็มีสติยกมันขึ้นมาแนบหูใหม่ ด้วยมืออันสั่นเทากว่าเดิม... เป็นปีแล้ว ที่ไม่ได้มีสายเรียกเข้าจากเขา เป็นปีอีกเช่นกันที่ไม่ได้ยินเสียงผู้ชายคนนี้พูดกับหล่อน... หลังจากที่ หล่อนเลือกที่จะตัดขาดความสัมพันธ์ฉันแฟน แล้วบอกเลิกเขาด้วยการควงหนุ่มคนใหม่หยามเขา จนเขายอมเลิกรากับหล่อนไปด้วยความเสียหน้าที่สุดที่คนอย่างหล่อนเป็นคนบอกเลิกและตีจาก... หล่อนรู้ว่าเขาคงเกลียดหล่อนไปเลยเพราะเขาไม่ติดต่อมาเป็นปีและทำเหมือนว่าอยู่คนละโลกกันไป แต่เขาคงมีเรื่องสำคัญมากที่จะคุยกับหล่อนถึงได้โทรหาก่อน... “คุณมีอะไรถึงโทรมาคะ” เสียงถามอย่างเคลือบแคลงหลุดจากปากหล่อน... “ไม่ต้องตกใจ ผมไม่ได้โทรหาคุณ” น้ำเสียงหยันๆ ทำให้คนที่วิตกอยู่นั้นคอแข็งขึ้นมา... ฉุนเหลือเกินที่เขาพูดแบบนั้น... ไม่ได้โทรหาหล่อนแล้วนี่หล่อนคุยอยู่กับใครกันล่ะ “ผมหมายถึง ผมไม่ได้โทรมาเพื่อพูดเรื่องเก่าๆ ที่ไร้ความหมายของเราอย่างที่คุณคิด แต่ผมมีธุระเรื่องอื่นจะคุย” พอหล่อนเงียบ เหมือนจะรู้ว่าหล่อนคิดต่อว่าเขาอย่างไร เขาก็แก้ตัวเองเสร็จสรรพ... จันทร์เจ้าขาเม้มปาก ถามเสียงขุ่นกลับไป “มีอะไรจะคุยไม่ทราบ” “พลอยหนีออกจากบ้านไป... เขาอยู่ที่บ้านกับคุณไหม” วาวพลอยเป็นเพื่อนสนิทจันทร์เจ้าขาที่ไปมาหาสู่กันบ่อยๆ และเป็นน้องสาวของเขาเอง... “ยายพลอยไม่ได้อยู่ที่บ้านฉันหรอกค่ะ... คิดว่าน่าจะไปร่วมงานคริสมาสต์กับเพื่อนที่ฮ่องกงมากกว่า เห็นบอกว่าจะไป...” จันทร์เจ้าขาบอกไปเท่าที่รู้เพราะวาวพลอยบอกหล่อนเอง... แต่วาวพลอยคงลืมบอกพี่ชายตัวเองหรือไม่ก็พี่ชายวาวพลอยงานยุ่งมากจนไม่มีเวลาใส่ใจน้องสาว พอวันสำคัญอย่างวันคริสมาสต์อีฟเขาอยากให้ของขวัญน้องสาวแล้วหาไม่พบถึงได้โทรมาถามหล่อนอย่างเดือดร้อน... “ผมรู้ว่าคุณปกปิดช่วยยายพลอย... แต่ผมจะให้โอกาสพวกคุณ คืนน้องสาวผมให้ผม... อย่าชักชวนยายพลอยเถลไถล น้องสาวผมกำลังจะแต่งงานในอีกไม่กี่วัน ไม่ควรหายตัวไปแล้วติดต่อไม่ได้อย่างนี้” “คุณเข้าใจผิดมากไปแล้วค่ะ ยายพลอยไม่ได้ค้างที่นี่... คุณลองเช็คดูที่อื่นที่น่าจะเป็นไปได้ดูหน่อยไหมคะ” “ผมไม่เข้าใจผิด และรู้ว่าพลอยอยู่กับพวกคุณ บอกพลอยกลับบ้านด้วย” เขาบอกห้วนๆ ก่อนจะวางสายไป ปล่อยให้จันทร์เจ้าขางุนงง ว่าเขาโทรมาด้วยเรื่องไร้สาระแบบนี้หลังจากที่ไม่ได้คุยกันมาเป็นปี แถมเขายังปรักปรำหล่อนผ่านน้ำเสียงแสนเย่อหยิ่งราวกับมั่นใจว่าหล่อนรู้ว่าวาวพลอยอยู่ที่ไหน หล่อนเป็นเพื่อนที่วาวพลอยสนิทที่สุดก็จริงแต่ว่าก็ใช่จะรู้ทุกฝีก้าวที่วาวพลอยไปเสียที่ไหนกัน “หรือว่ายายพลอยจะหนีงานแต่ง” หล่อนนึกในใจ... เพราะรู้ว่าวาวพลอยไม่ได้รักคู่หมั้นคือน้ำเงินซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของคมเพชรเลย แต่ว่าพี่ชายของหล่อนบังคับและบอกว่าเลือกสิ่งที่ดีให้ วาวพลอยถูกจับแต่งงานแต่ก็ไม่ได้มีท่าทางว่าทุกข์และเดือดร้อนจนจะหนีงานแต่งงานได้... “เขาคงคิดไปเอง... และคิดมากไปด้วย ถึงได้ยอมลดศักดิ์ศรีโทรหาเราก่อน...” จันทร์เจ้าขาถอนหายใจ ลองแชทคุยกับวาวพลอยก็ได้รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ดีมีสุข ไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่อยากอยู่ฉลองวันคริสต์มาสกับเพื่อนแบบอิสระๆ ที่ต่างจังหวัดเลยไม่ยอมรับสายพี่ชายเพราะคงโดนดุ วาวพลอยชวนจันทร์เจ้าขาแต่แรกแล้วแต่หล่อนติดงานจึงไม่ได้ตามไป... หล่อนไม่ได้บอกวาวพลอยว่าพี่ชายของวาวพลอยโทรตามหาเจ้าตัวที่หล่อน และเมื่อวาวพลอยไม่ได้หายไปอย่างที่ถูกกว่าวหาหล่อนก็เลิกสนใจคมเพชรไป เพราะไม่อยากเก็บเรื่องเขาให้รกสมอง เพราะเลือกจะตัดขาดจากเขาแล้วในวันที่บอกเลิกเขา ดังนั้นเขาจึงไม่มีความสำคัญใดๆ กับหล่อนอีกต่อไป... คมเพชรวางรูปถ่ายหลายใบที่ได้จากนักสืบที่ส่งให้ตามน้องสาวตัวเองลงที่โต๊ะแรงๆ เขาไม่มีคำตอบให้เพื่อนสนิทที่กำลังจะกลายมาเป็นน้องเขยเขาเลยว่าเขาจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง “ถ้ามันยังยุ่งกับพลอยทั้งที่พลอยจะแต่งงานกับฉันแล้วแถมยังยื้อพลอยเอาไว้ข้างมัน ฉันก็คิดว่าน่าจะต้องลุย” น้ำเงินบอกด้วยเสียงหงุดหงิด คมเพชรเลิกคิ้วมองหน้าอีกฝ่ายอย่างชั่งใจ... “ลุยก็ลุย... ฉันไม่อยากให้น้องสาวไปยุ่งเกี่ยวกับคนบ้านนั้นนักหรอก... แต่เขามายุ่งกับยายพลอยเอง เล่นไม่ซื่อกันอย่างนี้ ก็คงต้องเล่นงานกันหน่อย” “ดี” น้ำเงินพึงใจที่เพื่อนเห็นด้วย... “ฉันไม่ยอมเสียพลอยไปหรอกนะ” “ฉันก็ไม่ยอมเสียน้องฉันให้คนอื่นเหมือนกัน... ถ้าจะมีใครจะต้องสูญเสียอะไรไป ก็เป็นเรื่องที่จะเกิดกับคนบ้านนั้นเท่านั้น” คมเพชรบอกอย่างหมายมาด... ดวงตาคมทอประกายไฟแห่งความพิโรธเจิดจ้าพร้อมจะแผดเผาทุกคนที่เลือกยืนคนละข้างกับเขา...
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม