Ep.8 ติดลิฟต์

1473 คำ
Ep.8 HE IS HER BOYFRIEND - แฟนเพื่อน - ตอน ติดลิฟต์ “ค่ะ” ฉันตอบกระแทกเสียงก่อนจะเดินไปที่ประตู “เธอจะผ่าน หรือไม่ผ่าน อยู่ที่ปากกาของฉัน ถ้าไม่โง่ควรรู้ว่าควรทำตัวยังไง” เขาพูดทันทีที่ฉันหันหลัง นี่คือคำขู่ใช่มั้ย การทำงานผ่านไปนานเป็นชาติ ในที่สุดก็ถึงเวลาเลิกงานสักที ฉันเหนื่อยแทบขาดใจ “วันนี้พอแค่นี้ก่อนก็ได้โมนา พรุ่งนี้เธอค่อยมาทำต่อ” เสียงพี่นงนุชพูดขณะที่ฉันกำลังนั่งยี้หัวตัวเองคิดงานไปนำเสนอไอ้รองประธานบ้าอำนาจนั้น “อ่อใกล้จะเสร็จแล้วค่ะ” ฉันพูดพลางเขียนดินสอลงไป พรุ่งนี้ค่อยพิมพ์ดีๆ “อื้ม งั้นพี่กลับก่อนนะ พอดีต้องรีบไปรับลูกชายที่โรงเรียน” แกพูดพลางรีบหยิบกระเป๋าเดินออกไป ซึ่งปกติ พี่นงนุชจะเป็นคนออกคนสุดท้าย หลังจากที่ฉันร่างแพลนการตลาด เพิ่มไปอีก 2 หัวข้อเสร็จ เหลือก็แค่เช็คกับพิมพ์ไปนำเสนอพรุ่งนี้ ทั้งบริษัทก็เงียบ เพราะทุกคนทยอยกลับบ้านกันหมดแล้ว ฉันสะพายกระเป๋าเก็บข้าวของเสร็จก็เดินตรงมาที่ลิฟต์ ฉันก็กดลิฟต์ทันที ฉันชอบที่มันเงียบสงบ และไม่มีคนพลุกพล่านเหมือนตอนเช้า บอกเลยนะ ฉันไม่ใช่คนกลัวผีค่ะ ฉะนั้นความมืด และความเงียบทำอะไรฉันไม่ได้สักนิด ติ้ง... ก่อนที่ลิฟต์จะเปิดออก ฉันก็เดินเข้าลิฟต์ไป แต่ยังไม่ทันจะกดปิดสนิท “รอด้วย รอก่อน” เสียงคุ้นๆ ก่อนที่ประตูลิฟต์จะเปิดกว้างอีกครั้ง ทีสอง ... ฉันเลือกที่จะเงียบไม่ทักทายใดๆ “เขาเดินถือกระดาษ มาสองสามแผ่น แต่พอเห็นฉันเขาก็ม้วนกระดาษไว้ แล้วกดปิดลิฟต์” จากฉันสิบเก้ามันก็จะช้ามาก ถึงมากที่สุด แต่อยู่ๆ พอลิฟต์ลงมาถึงชั้น สิบ ครื้ดด พรึ๊บๆ ไฟก็ติดๆ ดับๆ ลิฟต์ก็ยังคงค้างที่ชั้นสิบ ฉันกำลังจะกดปุ่มฉุกเฉิน แต่อยู่ๆ คุณท่านรองก็เดินมาประชิดติดตัวฉัน และใช้มือกดปุ่มฉุกเฉินอย่างเอาเป็นเอาตายซึ่งมันไม่ต่างจากฉันกำลังอยู่ในวงแขนของเขา “ลิฟต์เป็นเชี้ยไรเนี้ย ฮัลโหลมีใครได้ยินฉันมั้ย ลิฟต์ค้าง เห้ยย ไปตายไหนกันหมด” เขาเริ่มพูดอย่างหัวเสีย “นี่ นาย ใจเย็นๆ สิ จะโวยวายทำไม อากาศยิ่งน้อยๆ อยู่” เขาไม่สนใจยังคงกดปุ่มฉุกเฉินและตะโกนต่อไป “โถ่เว้ย ไปไหนกันหมด” เขาทุบปุ่มลิฟต์ เหมือนกลัวมันไม่พัง “คือตะโกนไปก็ไม่มีใครได้ยินหรอก นี้มันชั้นสิบ ปุ่มฉุกเฉินก็ขึ้นไฟแล้ว ใจเย็นหน่อยสิ” ฉันหันไปจะต่อว่าเขา แต่ หน้าของพี่ทีสองซีดมาก และเหงื่อแตกอย่างเห็นได้ชัด “นะๆ นาย เออ ท่านรองเป็นอะไรรึป่าว” สิ่งที่เห็นทำให้ฉันเริ่มเป็นกังวัล เขายังคงหายใจเข้าออกเหมือนคนหายใจไม่ค่อยออก “ท่านรอง เห้ยไม่ตลกนะ แกล้งกันรึป่าว” หรือเขาแค่อยากให้ฉันตกใจ แต่เหงื่อเขาออกหนักมากและหน้าก็ซีด “คุณนั่งลงก่อน และอยู่เฉยๆ ไม่ต้องไปทุบปุ่มโน้นนี่นั้น ฉันจะพยายามเรียกคนมาช่วยเอง” ปล่อยให้ฉันทำแต่แรกก็จบละ จะโวยวายเพื่อ? ฉันมีสติพอที่จะหยิบโทรศัพท์มาโทรตามเบอร์ที่ติดไว้ที่ ปุ่มฉุกเฉิน โชคดีที่มันพอมีสัญญาณโทรออกได้ “ตู๊ดด ตู๊ดด” “ฮัลโหลค่ะ ดิฉันกับท่านรองประธาน ติดอยู่ที่ลิฟต์ เออ ลิฟต์ B ชั้นสิบ ช่วยส่งคนมาช่วยด่วนเลยนะ..ค” ยังไม่ทันพูดจบ พรึ๊บบบบบ ไฟก็ดับทันที “โม โมนาาา” พี่ทีสองตะโกนลั่น “อะไร นี่คุณ ใจเย็นๆ สิ ช่างกำลังมาแล้ว ไฟมันตก และไฟสำรองก็หมด แต่เดี๋ยวเขาจะมางัดระ ...” อยู่ๆ ฉันก็โดนใครบางคนกอดทันที “ฉันกลัว ฉันกลัว” พี่ทีสองหายใจหอบมาก “เห้ย มาแตะอั๋งฉันทำไม ไอ้บ้า” ฉันตกใจกับการกระทำของเขา แต่พอจะผลักออก ก็ต้องชะงัก เมื่อตัวของพี่ทีสองทั้งสั่นทั้งเหงื่อแตก และเริ่มพูดจาไม่รู้เรื่อง “นี่ ท่านรอง ท่านรอง นายเป็นอะไรเนี้ย” ฉันพยายามสะกิด ทั้งที่เขากอดฉันอยู่ “ฉัน ... กลัวว ฉันกลัวที่แคบ กับความมืด” เขาพูดอย่างอ่อนแรง “นี่ฟังฉันนะ นั่งอยู่นี่เฉยๆ ใจเย็นๆ ช่างกำลังมาแล้ว นายห้ามพูด แต่ห้ามหลับ เด็ดขาด” เหงื่อเขาออกเยอะมาก จนฉันต้องเอาผ้าเช็ดหน้าตัวเองมาซับให้เขา จะไม่ช่วยก็สงสาร คนอะไรกลัวที่แคบ กลัวความมืด “งื้้ดดด” เสียงงัดประตูลิฟต์ ดังขึ้น “ท่านรองอยู่ข้างในใช่มั้ยครับ” เสียงช่างร้องเรียกขึ้น “ใช่ค่ะ พี่ๆ ช่วยเร่งมือหน่อยนะคะ อากาศมันเหลือน้อยมากเลยค่ะ” ตัวฉันเองยังเริ่มหายใจไม่ค่อยออก “ท่านรอง นี่ นี่ นาย” ฉันพยายามสะกิดเรียกให้เขามีสติ “ช่างมาช่วยเราแล้วนะ นายอย่าเพิ่งหมดสติ ได้ยินฉันมั้ย” “ท่านรอง?” “นาย?” “พี่ทีสอง” ฉันเรียกยังไงก็ไม่มีเสียงตอบรับ จนแสงสว่างจากข้างนอกสาดเข้ามาในลิฟต์ ...... ทีสองหน้าซีดและหมดสติ อยู่ในท่าที่ซบหน้าอกฉันอยู่ “ชิบหายละ เราตายกันแน่ๆ พวกมึงไปตามหมอมา” หัวหน้าช่างคนหนึ่งถึงกับหน้าซีด เมื่อเปิดลิฟต์มาแล้วเจอรองประธานหมดสติ หลังจากที่ พวกช่างหิ้วปีกพี่ทีสองออกมาจากลิฟต์ และเริ่มปลดกระดุมเสื้อ กับกางเกงออก เพื่อให้เขาสบายตัวปฐมพยาบาลเบื้องต้น ก็มีแพทย์คนหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นมาทันที “หมอเพลย์ๆ ทางนี้เลยครับ” พี่หัวหน้าช่างรีบกวักมือเรียกหมอหนุ่มคนนั้นทันที หมอคนนั้นเห็นว่าชื่อ เพลย์ เขาวิ่งมาพร้อมอุปกรณ์เครื่องมือเต็มไม้เต็มมือ จริงๆ คือฉันจะกลับแล้ว แต่พวกพี่ๆ ช่างขอให้อยู่ก่อน เพื่อจะได้บอกอาการ หมอถูก พอหมอมาถึง พวกช่างก็ยกเครื่องไม้เครื่องมือไปเก็บและไล่เช็คลิฟต์ทุกตัวในอาคาร หมอเพลย์ ยิ้มให้ฉันก่อนจะลงมือตรวจ พี่ทีสอง “เออ คุณทีสอง หมดสติไปนานรึยังครับ” เขาฟังชีพจรและหันมาถามฉันอย่างสุภาพ “อ่อ ก็ประมาณ 2-3 นาทีนะคะ” “ก่อนหมดสติมีอาการยังไงบ้างครับ” “ก็เหงื่อออก ตัวสั่น หายใจลำบาก” ฉันพูดไปตามที่เห็น “ครับ อาการไม่น่าห่วงหรอกครับ แต่คุณทีสองมีโรคประจำตัวคือ กลัวที่แคบ และก็ความมืดนะครับ” “อ่อค่ะ” บอกฉันทำไม ฉันจำเป็นต้องรู้มั้ย? แต่ฉันก็ได้แต่ยิ้มๆ รับ “เออ ....ถ้าเขา เออ ท่านรองไม่เป็นอะไรมาก งั้นฉันขอตัวกลับก่อนเลยนะคะ” ฉันพยายามจะพูดให้ดูไม่น่าเกลียด “อ่อครับๆ เดี๋ยวผมดูแลท่านต่อเอง ยังไงขอบคุณ คุณ...?” “โมนา ค่ะ ฉันโมนา” ฉันแนะนำตัวอย่างเป็นมิตร “ครับ ผม เพลย์นะครับ เป็นหมอประจำที่นี้” เขาคงเป็นหมอเก่งจากโรงพยาบาลในเครือ วันนี้คงเป็นเวรประจำที่นี้ “ค่ะ งั้นขอตัวนะคะ หมดไปสักทีวันที่แสนวุ่นวาย......... กว่าฉันจะต่อรถไฟฟ้ามาหานะเธอ... ลากยาวไปถึงคอนโดตัวเอง “อิโม ทำไมวันนี้กลับช้าหว๊ะ” เสียงอิตุ๊ดที่กำลังพอกหน้า กระโจมอกเอ่ยทักฉันขึ้น “นั้นมึงไปโดนหมาที่ไหนฟัดมาหว๊ะ” เมื่อมันเห็นสภาพที่ยับเหยินของฉัน มันก็ถามทันที “วันนี้มันวันซวย บรมซวยของกูเลย เฮ้อออ เหนื่อยโว้ย” ฉันทิ้งตัวลงนอนโซฟาทันที “บริษัทแฟนฉันใช้งานแกหนักขนาดนั้นเลยหรอ” เสียงหวานๆ ของยัยเพลินพูดขึ้น “ยัยเพลิน.... ฮัลโหล คิดถึง” ฉันเด้งขึ้นไปทางเสียงที่ดังจากไอแพดของอิตุ๊ด “เออ โมนาๆ แกรู้ป่ะ พี่ทีสองเลิกงานรึยังอะ ฉันโทรไปไม่เห็นรับเลย” ยัยเพลินถามขึ้นอย่างสงสัย “เห้ยย หรือว่ายัยเลขานมโตนั้นจะหนีบหลัวแกไปแล้วอิเพลิน เอ้ยย” อิตุ๊ดพูดขึ้นเชิงแกล้งๆ “เออ โมนา สรุปแกได้ดูแลพี่ทีสองให้ฉันปะเนี้ย” ยัยเพลินพูดขึ้นอย่างจริงจัง “มโนกันไปไกลละ แฟนแกน่ะเป็นลมสลบอยู่กับฉันในลิฟต์วันนี้เนี้ย” ฉันก็พูดไปตามจริง “เห้ยย แล้วตอนนี้อยู่ไหน เป็นลมได้ไง” ยัยเพลินเสียงเปลี่ยนทันที “อ่อ คือลิฟต์มันค้าง สักพักแฟนแกก็คลั่ง และก็ ..”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม