เมื่อเห็นโมนาขยับหนีไปข้างหน้า เอสก็ค่อยๆ ก้าวเดินตามไปชิดคนตัวเล็กทันทีเพราะอยากรู้ว่าเธอจะขยับหนีเขาไปได้อีกมั้ย ร่างสูงขยับมาใกล้จนตัวชิดกับโมนาแต่ก็ต้องชะงักเมื่อโมนาเอากระเป๋าสะพายข้างของเธอย้ายมาปิดก้นตัวเองไว้ทำเอาเอสถึงกับยิ้มชอบใจมากกว่าเดิมที่เห็นเธอระวังตัวเองเป็นอย่างดีจึงเลิกแกล้งเธอแล้วถอยห่างเธอเล็กน้อย ทางด้านโมนาเมื่อเห็นคนข้างหลังขยับมาชิดตัวเองก็รีบเอากระเป๋าย้ายไปกันข้างหลังตัวเองทันทีเพราะกลัวโดนลวนลามโดยที่ไม่ได้มองหน้าคนข้างหลังเลยว่าเขาเป็นใคร แต่สถานการณ์ก็ไม่เป็นใจให้เธอเลยสักนิดเพราะยิ่งรถเมล์จอดแต่ละป้ายแทบไม่มีคนลงกลับมีแต่ขึ้นมาจนเธอต้องถอยหลังไปชิดกับเอสเหมือนเดิมแถมรอบนี้เธอก็ขยับไปไหนไม่ได้อีก ทางด้านเอสก็ได้แต่ก้มมองคนตัวเล็กที่ตอนนี้กลับมายืนชิดอกเขาเหมือนเดิมตาคมกวาดตาสำรวจมองเธอทุกสัดส่วนทำเอาเขาแทบอย่างจับเธอหันมาหาเขาเพราะอยากเห็นหน้าเธอชัดๆ
‘ตัวเล็กโคตรสเปคเลยวะ อยากจับมาฟัดฉิบหาย’
เอสได้แต่คิดในใจขณะที่มองโมนาไม่วางตา จริงๆ เขาควรจะลงรถตั้งแต่รถเมล์จอดป้ายก่อน แต่เพราะอยากรู้ว่าโมนาอยู่แถวไหนจึงไม่ยอมลงจนรถเมล์มาจอดป้ายถัดไปก็เห็นโมนาพยายามดันเพื่อนของเธอเดินลงรถอย่างเร่งรีบ เอสจึงเดินลงรถตามไปห่างๆ โดยไม่ให้เธอรู้ เมื่อเอสลงรถมาแล้วก็เห็นโมนาจูงมือเพื่อนตัวเองวิ่งหายเข้าไปในซอยอย่างรวดเร็ว
“แม่ง เร็วฉิบหาย หึ แต่ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็รู้ว่าเป็นรุ่นน้องคณะเรา เราได้เจอกันอีกแน่คนสวย”
เอสพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดีที่เขารู้ว่าโมนาเป็นรุ่นน้องคณะตัวเองเพราะเห็นโบว์สีฟ้าที่เป็นสัญลักษณ์ของน้องปีหนึ่งคณะบริหารผูกไว้ที่ข้อมือเธอ เขาจึงไม่เร่งรีบที่จะเข้าไปหาเธอ เอสจึงตัดสินใจเดินกลับไปทางคอนโดตัวเองเพราะอยากเดินเล่นสักพักถึงจะนั่งรถแท็กซี่กลับ ทางด้านโมนาที่ลงรถเมล์มาแล้วก็รีบจับมือแพรวาวิ่งเข้ามาซอยบ้านตัวเองทันที
“ยัยโมแกจะพาฉันวิ่งทำไมเนี่ย”
แพรวาเอ่ยถามโมนาด้วยสงสัย
“แก ฉันว่าฉันเจอคนโรคจิตแน่ๆ เลย”
โมนาหยุดพาแพรวาวิ่งเมื่อเดินเข้ามาในซอยแล้วพูดขึ้นด้วยท่าทางตกใจ
“เจอที่ไหน”
แพรวาถามโมนากลับแล้วหันมองหาเพราะกลัวมีคนเดินตามมา
“บนรถอะแก ตอนที่แกถอยมาชนฉันจนฉันเซตามผู้ชายคนนั้นก็มากอดเอวฉันไว้ฉันตกใจมากเลยแก”
“เดี๋ยวก่อนยัยโม แกคิดไปเองรึเปล่า แกถอยไปหาเค้า เค้าก็รับแกไว้เพราะกลัวแกล้มมั้ย”
แพรวาพูดขึ้นทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่โมนาเล่า
“ตอนแรกฉันก็คิดแบบนั้นล่ะ แต่พอฉันขยับหนีไปเบียดแก อีตานั่นก็เดินมายืนชิดฉันอีกอะ เหมือนตั้งใจทำเลย น่ากลัวอะแก”
โมนาพูดขึ้นพร้อมกับทำหน้าจะร้องไห้
“แกจำหน้าได้มั้ยว่าคนไหน รอบหลังถ้ามาขึ้นรถแล้วเจออีกเราจะได้อยู่ห่างเค้า”
แพรวาเอ่ยถามโมนาขึ้น
“จำไม่ได้อะแก ฉันไม่ได้มองหน้าเค้า รู้แค่ว่าตัวสูงแค่นั้นเอง ตอนเดินขึ้นมาก็ไม่ได้สังเกตหน้าตาว่าใครยืนอยู่ก่อนตัวเอง”
โมนาตอบแพรวาไปตามตรง
“ช่างเถอะ แกอย่าคิดมากเลย บางทีเราอาจจะเข้าใจเค้าผิดก็ได้ กลับบ้านกันเถอะ ว่าแต่วันนี้มาร์เวลเลิกเรียนตอนไหนอะ”
แพรวาเปลี่ยนเรื่องคุยแล้วเอ่ยถามหามาร์เวลน้องชายแท้ๆ ของโมนาที่ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ชั้นมอห้าแล้ว
“เห็นว่าจะเลิกเที่ยงนะ เพราะวันนี้เหมือนมีกิจกรรมของโรงเรียนสงสัยจะเป็นกิจกรรมของเด็กมอสี่มั้ง ชั้นอื่นเลยได้กลับ”
โมนาตอบแพรวาทันทีเพราะมาร์เวลบอกกับเธอไว้แบบนั้น
“ดีเลย วันนี้ซื้อหมูกระทะมากินมั้ย เห็นแม่แกบ่นหิว มาร์เวลกลับมาแล้วค่อยไปซื้อด้วยกัน”
แพรวาพูดเสนอขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“เห็นด้วย พอได้พูดเรื่องกินหายเครียดเรื่องอีตาโรคจิตนั่นเลย ฮ่าๆ”
โมนาตอบกลับแพรวาอย่างอารมณ์ดีแล้วทั้งสองก็เดินกลับบ้านเช่าของโมนาทันทีเมื่อมาถึงบ้านทั้งสองก็เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมานั่งเล่นอยู่หน้าบ้านรอมาร์เวลกลับมา ทางด้านเอสเดินเล่นมาได้สักพักก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นเด็กมอปลายกำลังเดินถอยหลังหนีกลุ่มนักเลงสี่คนในซอยแคบๆ แถมยังเป็นซอยตันอีก ร่างสูงจึงเดินเข้าไปทันที
“ปล่อยผมไปเถอะพี่ ผมไม่มีเงินแล้วจริงๆ”
มาร์เวลพูดขึ้นเสียงสั่นด้วยความกลัวเพราะเวลาเขามาเรียนมักจะโดนกลุ่มนักเลงที่อยู่แถวนี้ดักรีดไถเงินตลอดจนบางวันเขาไม่ได้กินข้าวเที่ยงที่โรงเรียนเพราะไม่มีเงินแต่ก็ไม่ได้บอกครอบครัวเพราะกลัวท่านเป็นห่วง
“กูไม่เชื่อว่าวันนี้มึงจะมีเงินแค่นี้ เอากระเป๋ามาให้กูเดี๋ยวนี้”
กายที่เป็นลูกพี่ของกลุ่มพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“ผมไม่มีจริงๆ พี่ กระเป๋าผมมีแต่หนังสือเรียนจริงๆ”
มาร์เวลพูดขึ้นแล้วกอดกระเป๋าตัวเองไว้แน่นเพราะกลัวกายจะเอากระเป๋าไปแล้วพังหนังสือเรียนของเขา
“ไม่ยอมดีๆ ก็เจ็บตัวซะมึง โอ๊ยย! ใครถีบกูวะ”
กายตะโกนด้วยความโมโหเมื่อโดนถีบหลังจนล้มคว่ำลงทำเอาลูกน้องอีกสี่คนถึงกับตกใจ ส่วนมาร์เวลก็หันไปมองคนที่มาช่วยตัวเองทันที
“มาหาเรื่องเด็กนักเรียนแบบนี้โคตรกระจอก ไม่มีปัญญาไปทำมาหากินเองรึไงถึงมารีดไถเงินคนอื่น”
เอสพูดขึ้นอย่างกวนๆ เมื่อถีบกายจนล้มลงแล้ว ทำเอากายถึงกับมองเอสด้วยความโกรธ
“มึงเป็นใครมาเสือกอะไรด้วย อยากเจ็บตัวรึไง”
กายลุกขึ้นยืนแล้วพูดขึ้นด้วยความโมโห
“หึ อยากสิ แต่ไม่ได้อยากเจ็บตัวนะ อยากกระทืบพวกมึงมากกว่า”
พูดจบเอสก็เดินไปซัดหมัดใส่กายทันทีจนลูกน้องกายเข้ามาช่วยแต่ก็สู้เอสไม่ได้สักคนแถมทั้งสี่คนยังโดนเอส กระทืบจนน่วมสลบกันทุกคนเพราะเขาก็ฝึกต่อสู้มาเหมือนกันแถมคนที่ฝึกให้ก็คือมาวินพ่อของอคินเพื่อนของเขา ในช่วงที่เรียนมอปลายเอสไม่ค่อยอยากกลับบ้านเลิกเรียนจึงมักจะแวะนั่นแวะนี่ไปเรื่อย อคินจึงชวนเขามาฝึกต่อสู้ที่บ้านแทนซึ่งมาวินก็เป็นคนสอนเองกับมือ เมื่อเห็นนักเลงสี่คนล้มลงไปแล้วเอสก็เดินตรงไปหามาร์เวลทันที
“เป็นอะไรมากมั้ยน้อง”
เอสถามมาร์เวลพร้อมกับสำรวจร่างกายของมาร์เวลว่าเขามีแผลตรงไหนรึเปล่า
“ไม่ครับพี่ ขอบคุณนะครับที่มาช่วยผม ไม่งั้นผมแย่แน่ๆ”
มาร์เวลพูดขอบคุณเอสพร้อมกับยกมือไหว้เขา
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว บ้านอยู่แถวนี้หรอ”
“ครับ บ้านผมเดินไปอีกสองซอยก็ถึงแล้วครับ”
มาร์เวลตอบเอสด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
“อืม งั้นก็กลับบ้านเถอะ”
เอสพูดจบก็ตั้งท่าจะเดินไปแต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงท้องของมาร์เวลร้อง
“ยังไม่ได้กินข้าวหรอ”
เอสหันกลับมาถามมาร์เวลเมื่อได้ยินเสียงท้องเขาร้อง
“ครับ คือ…”
“คืออะไร”
เอสถามกลับเสียงเรียบเมื่อมาร์เวลไม่ยอมพูดต่อ
“เมื่อเช้าพวกนั้นมาดักเอาเงินตั้งแต่เช้าครับ วันนี้แม่ให้มาซื้อข้าวเช้ากินข้างนอกเพราะรีบเอาชุดไปส่งลูกค้า แต่โดนไถเงินไปก่อนเลยยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้าครับ”
คำตอบของมาร์เวลทำเอาเอสถึงกับชะงักเพราะสิ่งที่มาร์เวลเจอตอนนี้เป็นสิ่งที่เขาเคยเจอมาในช่วงเรียนมอสี่เทอมแรก
“รีบกลับบ้านมั้ย ถ้าไม่รีบก็ไปกินข้าวกับพี่ เมื่อกี๊เดินผ่านมาเห็นร้านข้าวอยู่”
คำพูดของเอสทำเอามาร์เวลถึงกับเงยหน้ามองเพราะไม่เคยมีใครทำกับเขาแบบนี้ ด้วยความที่มาร์เวลพึ่งย้ายมาเรียนที่นี่ พูดไม่ค่อยเก่งเข้าหาใครก่อนไม่เป็นแถมยังอ่อนแอไม่สู้คนเพื่อนผู้ชายในห้องเรียนจึงแทบไม่คบหากับเขา
“แต่ผมไม่มีเงิน”
มาร์เวลตอบเอสเสียงเบา
“มาเถอะน่า เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง กำลังหาเพื่อนกินข้าวอยู่พอดี”
เอสพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มแล้วเดินไปกอดคอมาร์เวลเดินไปทันที ทำเอามาร์เวลถึงกับยิ้มกว้างเมื่อมีคนพูดกับเขาอย่างเป็นมิตรแบบนี้
“ชื่ออะไรอะเรา”
เอสเอ่ยถามมาร์เวลขณะที่เดินกอดคอกันอยู่
“มาร์เวลครับ”
มาร์เวลตอบเอสด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“พี่ชื่อเอสนะ ยินดีที่ได้รู้จักนะน้องชาย”
มาร์เวลเงยหน้ามองเอสทันทีเพราะถึงมาร์เวลจะสูงถึงร้อยเจ็ดสิบแต่คนที่กอดคอเขากลับสูงกว่าเขามากเลยทีเดียว
“มองพี่ทำไม ไม่อยากเป็นน้องชายพี่หรอ”
เอสถามมาร์เวลด้วยน้ำเสียงกวนๆ เมื่อเห็นมาร์เวลเงยหน้ามองเขาโดยไม่พูดอะไร
“ผมไม่คิดว่าจะมีคนเข้ามาคุยกับผมแบบนี้ครับ คือผมพึ่งมาเรียนที่นี่เลยยังไม่มีเพื่อน”
มาร์เวลตอบเอสไปตามตรง
“งั้นหรอ ถ้ายังไม่มีเพื่อนเดี๋ยวพี่เป็นเพื่อนให้แล้วกัน แต่ห้ามเรียกไอ้นะ”
เอสพูดขึ้นอย่างกวนๆ ทำเอามาร์เวลถึงกับหลุดขำออกมา
“ครับพี่เอส ขอบคุณนะครับที่ยอมเป็นเพื่อนกับผม แต่ผมขอนับถือพี่เป็นพี่ชายได้มั้ยครับ แบบว่าถ้ามีอะไรผมสามารถคุยกับพี่ทุกเรื่องเลยได้มั้ยครับ”
มาร์เวลพูดร่ายยาวกับเอสเมื่อรู้สึกถูกชะตากับเขา
“ได้อยู่แล้วไอ้น้องชาย ไปกินข้าวกันก่อนแล้วค่อยแลกเบอร์แลกไลน์กัน หิวจนไส้กิ่วหมดแล้ว”
คำตอบของเอสทำเอามาร์เวลยิ้มกว้างขึ้นแล้วพยักหน้าตอบเขาทันที จากนั้นเอสก็เดินกอดคอมาร์เวลคุยนั่นคุยนี่ไปเรื่อยเพื่อให้มาร์เวลไม่เกร็งตอนคุยกับเขาจนมาร์เวลเริ่มกล้าพูดกับเขามากกว่าเดิมจนมาถึงร้านข้าวเอสก็สั่งข้าวให้มาร์เวลทันที