ขณะที่เอสกำลังชวนโมนาคุยนั่นคุยนี่ระหว่างขับรถก็ต้องชะงักเมื่อมีคนโทรเข้ามาหาเขา ใบหน้าหล่อจากที่ยิ้มอารมณ์ดีก็เปลี่ยนมานิ่งขรึมทันทีเมื่อคนที่โทรมาคือพ่อของเขาจนโมนาได้แต่มองเอสด้วยความสงสัยเมื่อเห็นสีหน้าเขาเปลี่ยนมานิ่งขรึม
“ใครโทรมาหรอคะ”
โมนาเอ่ยถามเอสด้วยความอยากรู้
“พ่อพี่โทรมาครับ พี่รับสายแป๊บนะครับ”
เอสตอบกลับโมนาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่ใบหน้ากลับไม่มีรอยยิ้มเลยแม้แต่น้อย เมื่อได้ยินคำพูดของเอส โมนาก็พยักหน้าแล้วเงียบเสียงเพื่อให้เขาได้คุยโทรศัพท์ ส่วนเอสเมื่อพูดจบก็กดรับสายขณะที่ขับรถอยู่
“ครับ”
(แกไปเรียนยัง)
“กำลังไปครับ”
(วันนี้เลิกเรียนมาที่บ้านด้วยนะ)
“ไปทำไมครับ”
(แกไม่คิดจะกลับมาบ้านเลยรึไง ฉันแค่อยากกินข้าวด้วย)
“มีแขกมาที่บ้านหรอครับ ถึงได้โทรตามผมไป”
เอสพูดกับผู้เป็นพ่อด้วยน้ำเสียงเย็นชา จนโมนาได้แต่มองด้วยความสงสัยเพราะตอนอยู่กับเธอ เขานั้นไม่มีท่าทางเย็นชาเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ไม่ได้พูดถามอะไรเพราะเห็นเขาคุยโทรศัพท์อยู่
(อย่ามาถามยอกย้อนฉัน ฉันบอกให้มาก็ต้องมา อย่าให้ฉันต้องเสียหน้า)
“ครับ โทรมาแค่นี้ใช่มั้ยครับ”
ยังไม่ทันที่เอสจะพูดจบพ่อของเขาก็ตัดสายไปทันที เอสจึงวางโทรศัพท์ไว้หน้ารถแล้วถอนหายใจออกมาเหมือนกำลังเหนื่อยใจ แต่ก็ต้องชะงักหันไปมองโมนาเมื่อเธอนั้นเอามือมาลูบแขนเขาเบาๆ
“พี่โอเคมั้ยคะ ถ้ามีอะไรไม่สบายใจเล่าให้หนูฟังได้นะ”
โมนาพูดกับเอสด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน จนเอสต้องปรับสีหน้ามาส่งยิ้มให้เธอ
“อย่างที่หนูได้ยิน พี่กับพ่อไม่ค่อยจะลงรอยกันเท่าไหร่ครับ พี่โดนพ่อบงการมาตั้งแต่เด็ก ท่านให้ทำอะไรก็ต้องทำ ท่านให้เรียนอะไรก็ต้องเรียน ไม่เคยถามว่าพี่อยากทำอะไร อยากได้อะไร นี่ก็เป็นสาเหตุที่พี่ออกมาอยู่คอนโดเพราะอย่างน้อยการได้ออกมาอยู่คนเดียวมันก็ทำให้พี่สบายใจขึ้น”
เอสบอกโมนาไปตามตรงโดยไม่ปิดบัง เรียกได้ว่านอกจากอคิน เขาก็ไม่เคยเล่าเรื่องของตัวเองให้ใครฟังเลย แต่กับโมนาเขาอยากเล่าให้เธอฟังเพราะเธอคือคนที่เขาอยากจะใช้ชีวิตด้วย และเคยสัญญากับเธอไว้ว่ามีอะไรจะคุยกับเธอทุกเรื่องโดยไม่ปิดบังอะไรกัน ทางด้านโมนาเมื่อได้ฟังสิ่งที่เขาเล่าก็รู้สึกเห็นใจเขาไม่น้อย
“แสดงว่าที่พี่เรียนบริหาร พี่ไม่ได้เรียนเพราะความชอบหรอคะ”
โมนาถามเอสด้วยความอยากรู้
“ครับ พ่อพี่ให้เรียนบริหารเพราะจะให้พี่รับช่วงต่อจากท่าน”
เอสตอบโมนาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“แล้วจริงๆ พี่อยากเรียนอะไรหรอคะ”
โมนาถามเอสขึ้นอีกครั้ง
“พี่ชอบเรียนออกแบบครับ ตอนนี้ก็รับงานวาดแบบบ้านบ้างแต่รายได้ไม่ได้เยอะอะไร ได้แค่หลักพันเอง”
“จริงหรอคะ โห เก่งจังวาดแบบบ้านได้ด้วยแถมยังมีคนจ้างวาดอีกอะ”
เอสถึงกับหันไปมองโมนาด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นท่าทางตื่นเต้นของเธอ
“เป็นแค่งานเล็กๆ ครับ แล้วนานๆ ทีถึงจะมีคนมาจ้างวาดด้วย คงยึดเป็นอาชีพหลักไม่ได้”
เอสพูดขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มอ่อนๆ ให้โมนาแต่สายตาก็ยังสนใจถนนเพราะขับรถอยู่
“ใครบอกล่ะคะ ถ้าอยู่ถูกที่ถูกทางยังไงก็รุ่ง ว่าแต่นอกจากวาดแบบบ้านพี่ออกแบบอย่างอื่นได้มั้ยคะ อย่างเช่นแบบเสื้อผ้าแฟชั่นประมาณนี้น่ะค่ะ”
โมนาเอ่ยถามเอสด้วยความอยากรู้
“จริงๆ นอกจากวาดแบบบ้าน พี่ก็ชอบออกแบบชุดแฟชั่นนะครับ แต่ทำได้แค่วาดแบบเพราะพี่ตัดชุดไม่เป็น”
คำตอบของเอสทำเอาโมนายิ้มกว้างขึ้นทันที
“แล้วพี่มีแบบชุดที่ออกแบบไว้รึเปล่าคะ”
โมนาเอ่ยถามเอสต่ออย่างสนใจ
“น่าจะมีประมาณสามสี่ชุดครับ พอวาดแล้วคิดว่าไม่น่าจะได้ใช้เลยไม่ค่อยได้ออกแบบ ว่าแต่หนูถามทำไมหรอครับ”
เอสหันไปถามโมนากลับทันทีเพราะเป็นช่วงรถติดไฟแดงพอดี
“พี่เอสคะ สนใจไปประกวดงานออกแบบชุดแฟชั่นกับหนูมั้ยคะ”
โมนาเอ่ยชวนเอสด้วยรอยยิ้มจนเอสถึงกับคิ้วขมวดรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของเธอ
“งานประกวดที่ไหนหรอครับ”
เอสถามโมนากลับด้วยความอยากรู้
“อีกสองอาทิตย์มีงานประกวดที่ห้าง xxx ค่ะ รางวัลหนึ่งแสนบาท ถ้าเราชนะนอกจากจะได้รางวัลแล้วเผลอๆ ผลงานอาจจะไปถูกใจเจ้าของแบรนด์ดังๆ แล้วติดต่อพี่ไปเป็นดีไซน์เนอร์ประจำแบรนด์นั้นก็ได้น๊า”
โมนาพูดรายละเอียดงานขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“แต่พี่ทำได้แค่ออกแบบเองนะครับ พี่ตัดชุดเองไม่เป็นเลย จะให้จ้างคนอื่นตัดให้หรอครับ”
เอสถามโมนาขึ้นด้วยความสงสัย
“จ้างทำไมให้เปลืองเงินคะ ในเมื่อหนูก็ตัดเป็น อย่าลืมนะคะว่าพ่อกับแม่หนูเปิดร้านตัดชุด เราแค่ลงทุนซื้อผ้ามาตัดก็พอ ขอแค่พี่บอกรายละเอียดของชุดมาก็พอค่ะ สนใจมั้ยคะพี่”
โมนาพูดขึ้นพร้อมกับอวดสรรพคุณตัวเองในเรื่องงานฝีมือจนเอสถึงกับยิ้มตามกับท่าทางของเธอ
“หนูยังไม่เห็นแบบชุดพี่เลย แล้วมั่นใจว่ามันจะโอเคหรอครับ บางทีพี่อาจจะทำไม่สวยก็ได้”
เอสพูดขึ้นอย่างไม่มั่นใจเพราะเขาไม่เคยเอางานออกแบบชุดให้ใครดูเลยสักครั้ง
“หนูเชื่อมั่นในตัวพี่ค่ะ จะสวยหรือไม่สวยเราก็ช่วยกันปรับแก้ได้ คนเรามันต้องลองผิดลองถูกกันทุกคนไม่งั้นงานก็ออกมาไม่ดีสิคะ ว่าไงคะ สนใจลองประกวดสักครั้งมั้ย”
โมนาเอ่ยชวนเอสอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าหนูมั่นใจในตัวพี่ พี่ลองก็ได้ครับ งั้นเย็นนี้ถ้าพี่กลับคอนโดพี่ส่งแบบให้ดูนะ แต่คงจะดึกหน่อยเพราะพี่ต้องไปกินข้าวเย็นที่บ้านก่อน”
เมื่อพูดถึงเรื่องที่บ้านแววตาเอสก็ดูเศร้าทันทีแต่ก็แค่แว๊บเดียวแล้วกลับมายิ้มต่อเพราะไม่อยากให้โมนาเป็นห่วงและเป็นจังหวะสัญญาณไฟเขียวพอดีเอสจึงหันไปสนใจถนนต่อแต่เขาไม่รู้ว่าเธอนั้นสังเกตเห็นตั้งแต่แรกแล้ว โมนาจึงตัดสินใจเปิดข้าวกล่องออกแล้วตักข้าวยื่นไปตรงหน้าเอสทันที
“กินข้าวก่อนมั้ยคะ สมองจะได้ไหล”
เอสหันไปมองโมนาทันทีเมื่อเห็นการกระทำของเธอ เพราะไม่คิดว่าเธอจะป้อนข้าวเขาแบบนี้ จึงส่งยิ้มให้เธอแล้วอ้าปากกินข้าวที่เธอป้อนทันที
“อร่อยจังครับ ป้อนข้าวตอนขับรถแบบนี้เหมือนเมียกำลังดูแลผัวเลยเนาะว่ามั้ย”
เอสพูดขึ้นอย่างกวนๆ
“ชิ เห็นคนบางคนเหมือนจะเครียดๆ เลยอยากทำให้อารมณ์ดีเฉยๆ หรอก ถ้ารู้ว่าป้อนแล้วจะโดนพูดกวนแบบนี้ไม่ทำดีกว่า”
“ไม่กวนแล้วครับ หยอกนิดหยอกหน่อยก็งอนซะแล้ว ขอบคุณนะครับได้อยู่กับหนูทำให้พี่สบายใจขึ้นเยอะเลย”
เอสพูดขอบคุณโมนาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนรู้สึกดีไม่น้อยที่เธอดูเป็นห่วงและใส่ใจเขาแบบนี้ทั้งๆ ที่เธอยังไม่ได้ตกลงจะเป็นแฟนเขาเลยด้วยซ้ำ
“อยู่กับหนูพี่เป็นตัวของพี่เองได้เต็มที่เลยค่ะ อะไรที่ทำแล้วสบายใจหรือมีความสุขพี่ทำได้เลย หนูจะสนับสนุนพี่ทุกเรื่องเลย”
โมนาพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มแล้วตักข้าวป้อนเขา
“พี่ทำได้ทุกเรื่องจริงๆ หรอครับ”
เอสถามโมนากลับด้วยรอยยิ้มพร้อมกับเคี้ยวข้าวที่เธอป้อน
“ใช่ค่ะ”
โมนาตอบกลับเอสสั้นๆ แต่ก็ต้องตกใจเมื่ออยู่ดีๆ เอสกลับเลี้ยวจอดข้างทางกะทันหัน โชคดีที่เข้ามาซอยเล็กแล้วแถมรถก็ไม่ค่อยเยอะจึงไม่มีรถอยู่ข้างหลัง
“พี่จอดรถทำไมคะเนี่ย ดีนะไม่มีรถข้างหลังไม่งั้นโดนเค้าด่าแน่ๆอยู่ๆ มาเลี้ยวจอดกะทันหันแบบนี้”
โมนาบ่นให้เอสทันทีเมื่ออยู่ดีๆ เขาเลี้ยวจอดข้างทางกะทันหันโดยไม่บอกก่อน
“ตอนนี้มีสิ่งหนึ่งที่พี่ทำแล้วจะทำให้พี่สบายใจมากเลย พี่ขอทำได้มั้ยครับ”
เอสหันไปพูดกับโมนาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ทำอะไรคะ ทำตรงนี้เนี่ยนะ”
โมนาเอ่ยถามเอสด้วยความสงสัยเพราะเธอไม่รู้ว่าอะไรที่เขาทำแล้วสบายใจตอนนี้
“หนูตอบมาก่อนสิครับ ว่าพี่ทำได้มั้ย”
เอสถามโมนาอีกครั้ง
“ถ้าทำแล้วทำให้พี่สบายใจพี่ก็ทำสิคะ”
โมนาตอบเอสแต่ก็ยังทำหน้าสงสัยเพราะไม่รู้ว่าเขาจะถามเธอทำไม
“พี่ถือว่าหนูอนุญาตแล้วนะครับ”
เอสพูดขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่เธอ
“อยากทำอะไรก็ทำไปสิคะ จะมารอให้หนูอนุญาตทำ…อื้อออ”
โมนาถึงกับกลืนคำพูดลงคอตากลมเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อโดนเอสจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัว