“โมนา”
ขณะที่โมนาเดินมาถึงหลังตึกคณะก็ต้องหยุดเดินแล้วหันกลับไปเมื่อได้ยินบริ๊งเรียกไว้ ส่วนบริ๊งเมื่อเห็นโมนาหันกลับมาแล้วก็เดินตรงไปหาโมนาด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร
“มีอะไร”
โมนาถามบริ๊งกลับพร้อมกับมองหน้าบริ๊งอย่างไม่เกรงกลัว
“ฉันขอคุยด้วยหน่อย”
“คุยเรื่องอะไร”
โมนาถามบริ๊งกลับทันทีเมื่อได้ยินเธอพูดขึ้น
“เรื่องพี่เอส”
เมื่อรู้ว่าบริ๊งจะพูดอะไรโมนาก็ปรับสีหน้ามามองบริ๊งด้วยสายตาเรียบนิ่งโดยไม่พูดอะไร
“เลิกยุ่งกับพี่เอสซะ”
บริ๊งพูดเข้าเรื่องทันทีเมื่อไม่เห็นโมนาพูดอะไร
“เธอมีสิทธิ์อะไรถึงมาบอกให้ฉันเลิกยุ่งกับพี่เอส”
โมนาถามบริ๊งกลับเสียงแข็ง ทำเอาบริ๊งถึงกับทำหน้าไม่พอใจใส่เธอ
“สิทธิ์ของการเป็นคู่หมั้นยังไงล่ะ แกอาจจะยังไม่รู้ งั้นฉันจะบอกอะไรให้แกตาสว่างแล้วกันนะว่าฉันกับพี่เอสกำลังจะหมั้นกัน และเมื่อวานที่พี่เอสกลับบ้านก็เพื่อไปคุยเรื่องการหมั้นของเราสองคน เพราะฉะนั้นคนนอกอย่างแกก็ควรหลีกทางไปซะตอนนี้เถอะ จะได้ไม่เสียใจทีหลัง”
บริ๊งพูดขึ้นพร้อมกับยิ้มเย้ยหยันใส่โมนาอย่างผู้ชนะแต่ก็ต้องทำหน้าสงสัยเมื่อโมนานั้นยิ้มมุมปากใส่เธอกลับ
“หึ เธอบอกว่าเธอกำลังจะหมั้นกับพี่เอส ถามพี่เอสยังว่าเค้าจะหมั้นกับเธอรึเปล่า”
โมนาพูดขึ้นพร้อมกับยิ้มมุมปากใส่บริ๊ง
“ถ้าพี่เอสไม่อยากหมั้นเค้าจะไปกินข้าวที่บ้านเมื่อวานทำไมล่ะ”
บริ๊งตอบโมนาอย่างไม่ยอม
“ที่พี่เอสไปเพราะโดนพ่อบังคับให้ไป แถมยังไม่รู้มาก่อนด้วยซ้ำว่าต้องไปเจอเธอ ฉันจะบอกอะไรให้นะเมื่อวานที่ไปกินข้าวที่บ้านพี่เอสบอกว่าอึดอัดมาก กินข้าวก็ไม่อร่อยกินได้แค่สองสามคำเลยต้องกลับมากินข้าวกับฉันแทนแถมยังนอนกอดฉันทั้งคืนอีก”
โมนาพูดขึ้นพร้อมกับยิ้มเย้ยหยันใส่บริ๊งเพราะคนอย่างเธอไม่ใช่คนยอมคนและที่เธอไม่รู้สึกตกใจที่บริ๊งบอกว่าเป็นคู่หมั้นเอส เพราะเขานั้นบอกเธอก่อนแล้วว่าพ่อให้ไปกินข้าวเพราะจุดประสงค์อะไร คำพูดของโมนาทำเอาบริ๊งโมโหมากกว่าเดิมเพราะไม่คิดว่าโมนาจะกล้าพูดใส่เธอกลับ แถมยังเป็นความจริงอีกเพราะเอสกินข้าวแค่นิดเดียวจริงๆ
“ยัยโมนาสรุปยังไงแกก็จะไม่เลิกยุ่งกับพี่เอสใช่มั้ย”
“แล้วทำไมฉันจะต้องเลิกยุ่งกับพี่เอส ในเมื่อทุกวันนี้เราสองคนก็รักกันดี”
โมนาตอบกลับบริ๊งเสียงเรียบจนบริ๊งได้แต่กำหมัดแน่นด้วยความโกรธ
“แกคิดว่าพ่อของพี่เอสจะยอมรับแกเป็นลูกสะใภ้รึไง อีกอย่างถ้าพี่เอสขัดใจพ่อ พี่เอสอาจจะโดนไล่ออกจากบ้านหรือโดนตัดออกจากกองมรดกจนไม่มีเงินเลี้ยงดูแกเลยนะ สภาพแกจะมีปัญญาเลี้ยงพี่เอสหรอ แล้วแกจะกล้าคบกับพี่เอสทั้งๆ ที่ไม่มีเงินเลยสักบาทงั้นหรอ”
บริ๊งพูดใส่โมนาอย่างไม่ยอม
“หึ เธอพูดแบบนี้เธอดูถูกพี่เอสมากเลยนะบริ๊ง”
โมนาพูดขึ้นพร้อมกับยิ้มมุมปากขึ้น
“แกหมายความว่าไง”
บริ๊งถามโมนากลับด้วยความสงสัยเพราะไม่เข้าใจสิ่งที่โมนาพูด
“ก็หมายความว่าพี่เอสเค้ามีความสามารถมากพอที่จะหาเงินด้วยตัวเองโดยที่ไม่ต้องพึ่งเงินของพ่อยังไงล่ะ เผลอๆ หาเงินได้มากกว่าที่พ่อเค้าให้อีก เธอคิดว่าทุกวันนี้พี่เอสเค้าใช้แค่เงินพ่อรึไง ไม่รู้จักพี่เอสดีแล้วยังกล้ามาพูดดูถูกพี่เอสอีก และอีกอย่างถ้าพ่อพี่เอสไม่ยอมรับฉันเป็นลูกสะใภ้แต่พี่เอสอยากได้ฉันเป็นเมียฉันก็ไม่จำเป็นต้องสนใจพ่อของพี่เอสเลยสักนิด เพราะฉันเอาพี่เอสเป็นผัวไม่ได้เอาพ่อเค้าสักหน่อย”
คำพูดของโมนาทำเอาบริ๊งถึงกับโกรธมากกว่าเดิมเพราะไม่คิดว่าคนเรียบร้อยอย่างโมนาจะกล้าเถียงเธอขนาดนี้
“อีโมนา แกมั่นใจหรอว่าพี่เอสจะยอมขัดคำสั่งพ่อของเค้า วันนี้พ่อพี่เอสโทรมาบอกฉันแล้วว่าพี่เอสจะเป็นคนไปส่งฉัน ยังไงวันนี้พี่เอสก็ต้องไปส่งฉันตามคำสั่งของพ่อ”
“ใครบอกว่าผมจะไปส่งคุณ”
บริ๊งและโมนาหันไปพร้อมกันทันทีเมื่อได้ยินเสียงเอสพูดขึ้นทำเอาบริ๊งถึงกับทำตัวไม่ถูกเมื่อสีหน้าไม่พอใจของเอส ส่วนโมนาก็ใจคอไม่ดีเพราะกลัวว่าเอสจะได้ยินคำพูดที่เธอกับบริ๊ง
“พี่เอสมาทำอะไรตรงนี้คะ มารอบริ๊งหรอคะ”
บริ๊งปั้นหน้ายิ้มใจดีสู้เสือพูดกับเอสแต่ก็ต้องหุบยิ้มเมื่อเอสนั้นยังมองเธอด้วยสายตาไม่พอใจอยู่ ส่วนโมนาก็ยืนเงียบไม่พูดอะไรรอดูว่าเอสจะพูดอะไรออกมา
“เปล่าครับ ผมมารอรับเมียผมต่างหากล่ะ ไปกันครับหนู กลับบ้านเรากัน”
เอสตอบบริ๊งเสียงแข็งจากนั้นก็เดินไปจับมือโมนาแล้วพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน โมนาจึงเงยหน้าส่งยิ้มให้เขาทันทีรู้สึกดีไม่น้อยที่เขานั้นตัดสินใจเลือกเธอ เมื่อเอสพูดจบก็ตั้งท่าจะจูงมือโมนาเดินไปก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินคำพูดของบริ๊ง
“แต่พ่อของพี่บอกให้พี่ไปส่งบริ๊งนะคะ พี่จะขัดคำสั่งพ่อพี่หรอพี่เอส”
บริ๊งพูดขึ้นเสียงดังด้วยความไม่พอใจ จนเอสต้องหันกลับมามองหน้าบริ๊งอย่างไม่พอใจ
“ผมไม่ใช่เด็กที่ต้องมาทำตามคำสั่งพ่อทุกอย่าง ถ้าคุณไม่พอใจก็เชิญไปฟ้องพ่อผมได้เลย แล้วอย่าคิดมาหาเรื่องโมนาอีกถือว่าผมเตือนแล้วนะครับ”
เอสพูดกับริ๊งเสียงแข็งแล้วจูงมือโมนาเดินไปทันทีโดยไม่สนใจบริ๊งเลยแม้แต่น้อย
“กรี๊ดดด พี่เอส กลับมาเดี๋ยวนี้นะ มาทำกับบริ๊งแบบนี้ได้ไง บริ๊งไม่ยอม กรี๊ดด”
บริ๊งทั้งร้องกรี๊ดทั้งพูดโวยวายอย่างคนเสียสติเมื่อเอสนั้นไม่สนใจเธอแม้แต่น้อยทำเอาเธอนั้นเกลียดโมนามากกว่าเดิน ทางด้านเอสกับโมนาที่เดินออกห่างบริ๊งมาไกลแล้วโมนาก็เอ่ยถามเอสขึ้นทันที
“พี่มาตั้งแต่ตอนไหนคะ”
“มานานแล้วครับ”
เอสตอบโมนาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“นะ...นานนี่ ตั้งแต่ตอนไหนคะ ได้ยินอะไรไปบ้าง”
โมนาถามเอสอีกครั้งด้วยน้ำเสียงกุกๆ กักๆ
“ได้ยินทุกประโยคครับ ทั้งบอกว่าเราสองคนรักกันดีเอย ทั้งเรื่องที่พี่อยากได้หนูเป็นเมีย แล้วก็หนูจะเอาพี่เป็นผะ…อุ๊บ!”
“งืออ พอแล้วค่ะ ไม่ต้องพูดแล้ว เชื่อแล้วว่าได้ยินทุกอย่างจริงๆ”
โมนารีบเอามือปิดปากเอสทันทีด้วยความอายเมื่อรู้ว่าเขาได้ยินทุกประโยคที่เธอพูด จนเอสได้แต่ยิ้มชอบใจกับท่าทางเขินอายของเธอจึงเอามือเธออกจากปากตัวเองแล้วจับมือเธอไว้พร้อมกับมองเธอด้วยสายตาอ่อนโยนจนโมนาต้องหลบสายตาเขาด้วยความเขิน
“ขอบคุณนะครับ”
“ขอบคุณเรื่องอะไรคะ”
โมนาเอ่ยถามเอสด้วยความสงสัย
“ขอบคุณที่หนูพูดปกป้องพี่ไงครับ ในขณะที่คนอื่นยังดูถูกว่าพี่ยังเกาะพ่อกินแต่หนูกลับพูดออกตัวว่าคนอย่างพี่ไม่จำเป็นต้องพึ่งเงินพ่อก็สามารถดูแลตัวเองได้ ถึงตอนนั้นหนูแค่จะพูดใส่ผู้หญิงคนนั้นก็ตามแต่ก็ยังทำให้พี่รู้สึกดีมากเลยล่ะครับ”
เอสพูดกับโมนาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ใครบอกว่าหนูแค่พูดใส่ยัยบริ๊งกันค่ะ หนูพูดตามความรู้สึกหนูต่างหากล่ะ บอกเลยตอนยัยนั่นบอกว่าพี่จะไม่มีเงินเลี้ยงหนูถ้าโดนพ่อตัดออกจากกองมรดกหนูโคตรโมโหถ้ากระโดดถีบได้หนูทำไปแล้วนะ ทำเป็นบอกว่ารักพี่เหมาะสมกับพี่แต่มาพูดดูถูกพี่แบบนี้ไม่ได้เรื่องเลย หนูบอกเลยนะถ้าพี่ตัดสินใจหมั้นหรือแต่งงานกับยัยนี่พลาดมากเลยค่ะ นิสัยไม่ดี ปากก็ไม่ดี พูดแล้วโมโห”
โมนาพูดขึ้นพร้อมกับทำท่าทางโมโหจนเอสได้แต่กระตุกยิ้มเอ็นดูกับคำพูดและท่าทางของเธอ
“นั่นสิครับ แต่งกับหนูดีกว่าใช่มั้ยครับ”
“ใช่ค่ะ เอ้ยย! ไม่ใช่ ใครจะแต่งกับพี่กัน”
โมนารีบพูดขึ้นด้วยท่าทางร้อนรนเมื่อเผลอตามน้ำไปกับเขาจนเอสหัวเราะขึ้นอย่างชอบใจ
“พี่ถือว่าคำตอบแรกเป็นคำตอบที่ออกมาจากใจนะครับ สงสัยต้องไปคุยเรื่องค่าสินสอดกับคุณพ่อคุณแม่หนูซะแล้ว”
เอสพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดี
“ไม่ให้คุยอะไรทั้งนั้นล่ะค่ะ วันนี้อุตส่าห์จะชวนกินข้าวเย็นที่บ้าน ไม่ชวนแล้ว ไม่ให้กิน ไม่ให้เข้าบ้านด้วย”
พูดจบโมนาก็เดินนำหน้าเอสไปด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียดด้วยความไม่พอใจเมื่อเสียท่าให้คนอย่างเขา จนเอสได้แต่ก้าวเท้าเดินตามอย่างเร่งรีบพร้อมกับพูดหยอกล้อเธอระหว่างจนถึงรถอย่างอารมณ์ดี