“ทำไหวแน่นะ ร้านปิดตีหนึ่งก็จริง แต่กว่าจะเก็บของเก็บอะไรก็ราวๆ ตีสามถึงจะเสร็จ ได้ข่าวว่ายังเรียนอยู่ไม่ใช่หรือ”
“ไหวค่ะ หนูทำไหว”
“ถ้าไหวจะให้ทำวันนี้เลยนะ”
“ได้ค่ะ”
หญิงสาวในชุดนักศึกษาตอบรับอย่างรวดเร็ว โดยมีสายตาของ ‘ซ้อเสียง’ เจ้าของร้านอาหารกึ่งผับมองมาด้วยสายตาประเมิน
แบบนี้แล้ว ไม่น่าจะทำงานอยู่ในร้านของนางได้นาน
ไม่ใช่ดูถูกแต่อย่างใด แต่เห็นมานักต่อนักแล้ว
รูปร่างอวบอัดมีทรวดทรงทั้งยังใหญ่โตเกินตัวดูล่อหูล่อตาเสือสิงห์กระทิงแรดยามราตรีเหลือเกิน แถมใบหน้าก็สวยใช้ได้ทีเดียว แม้แววตาจะเศร้าไปนิดก็ตาม แค่ขัดเกลาเบาๆ ไม่ใช่แค่เด็กหลังร้านหรอก เผลอๆ เอามารับแขกข้างหน้านี่ก็ยังได้
อีกทั้งยังกลัวใจคน
กลัวเหลือเกิน กลัวว่าจากเด็กดีตั้งใจทำงานแลกหยาดเหงื่อแรงกายอดหลับอดนอนเพื่อค่าแรงที่ได้มากกว่างานอื่นเช่นนี้ แรกๆ ไหวกันทั้งนั้น นานไปนี่สิ กลัวจะเปลี่ยนใจไปทำงานอื่นที่สบายกว่า เงินมากกว่า
“ชื่ออะไรนะเรา”
“ปราณปริยา ชื่อเล่นชื่อนิ่มค่ะ”
คนถามชะงักหน่อยหนึ่ง ยิ้มพยักหน้าให้ทำนองว่ารับรู้
พลันเสียงเคาะประตูครั้งเดียวแล้วเปิดเข้ามาโดยไม่ขออนุญาตดังขึ้นที่ด้านหน้า
และนี่คือความกลัวของซ้อเสียงอย่างที่สุด!
บัดนี้แววตาของหญิงวัยห้าสิบสี่วาววับขึ้น เมื่อนึกไปถึงว่าใครกันที่อยู่ตรงนั้น ยังไม่ทันได้คิดอะไรต่อ เสียงทักถามดังทุ้มนุ่มหูอยู่ที่ประตูเหล็กบานนั้นเอง
“อ้าว...ยุ่งอยู่หรือครับซ้อ”
“มีอะไรหรือคะคุณปรานต์”
หญิงเจ้าของร้านกล่าวทักขึ้นทันที แล้วลุกมาแตะไหล่หญิงคราวหลานให้ลุกออกจากเก้าอี้
“ไปหาคุณพลที่ข้างนอก บอกว่าฉันให้เริ่มงานวันนี้เลย”
ซ้อเสียงบอกกับร่างอวบอิ่มเต็มมือเต็มไม้จบในประโยคเดียว แล้วดันให้ร่างนั้นพ้นออกจากประตูห้องทำงานไปโดยไวอย่างแนบเนียน รีบปิดประตูลง หันมายิ้มหวานให้คนมาใหม่ที่เป็นชายร่างสูงเกินขนาดชายไทยทั่วไปอย่างปั้นแต่งเต็มที่ หวังว่าตนเองจะบดบังสายตาของนักล่าคนนี้ได้ทันจากเหยื่อชิ้นสดเมื่อครู่นี้ได้
แต่หารู้ไม่ว่ามันไร้ผลสิ้นดี
‘ปรานต์’ เป็นพวกทรงอำนาจและอิทธิพลในพื้นที่แถบนี้ ชายหนุ่มเปี่ยมไปด้วยความเป็นผู้ล่าอย่างสมบูรณ์แบบ ที่สำคัญวิธีการล่านุ่มนวลแยบยลไม่ทำให้เหยื่อตื่นกลัวตกใจแต่อย่างใด หากได้ลิ้มชิมเหยื่อรายไหน รายนั้นเป็นได้ตกในห้วงบ่วงเสน่หาแสนหวานล้ำของปรานต์กันทั้งนั้น
แต่หากหมดสิ้นความหวานแล้วนั่น คือสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่า
หญิงสาวหลายคนต่างยอมศิโรราบให้ปรานต์มานักต่อนักแล้ว ที่ว่ายาก ที่ว่าหวงเนื้อหวงตัว ปรานต์จัดการได้ เขาไม่ได้ใช้กำลังข่มขู่ขืนใจบังคับเอา แต่เหยื่อเหล่านั้นต่างหากที่ยอมให้ปรานต์เองทั้งสิ้น
“เด็กใหม่หรือไงครับ”
คนสนิทที่เห็นสายตาของผู้เป็นนายมองตามหลังไปแวบหนึ่งก็พอรู้ความ รีบถามซ้อเสียงอย่างรู้ใจผู้เป็นนายดีราวกับเป็นคนๆ เดียวกัน
“ถามทำไมตง ชอบหรือไง เดี๋ยวเด็กแกได้มาถอนหงอกฉันอีกหรอก”
‘ตง’ คนสนิทยิ้มก่อนเม้มปากตนเองกลัวจะหลุดขำออกมาแล้วถึงได้เงียบไป หญิงคนนี้เป็นคนกล้าเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กล้าออกปากว่านายของเขาได้โดยที่ปรานต์ไม่คิดโกรธเคืองเสียด้วย แต่ถึงอย่างนั้นนายของตงก็หน้านิ่งตึงไปมากทีเดียวเมื่อถูกซ้อเสียงตีวัวกระทบคราดเข้าให้อย่างจัง หญิงวัยเลยหลักสี่ไปไกลโขปรายตามองนายของตง จีบปากจีบคอถาม
“มีอะไรหรือคะ มาถึงนี่ได้”
ปรานต์เลือกโซฟาตัวใหญ่ในห้องนั่งลงแล้วถึงเอ่ยปากออกมา “เรื่องหุ้นที่บอกจะขาย”
“อ้อ เรื่องนั้นเอง เชิญนั่งก่อนค่ะ”
แล้วจึงเริ่มเจรจากันจากนั้น นานร่วมชั่วโมงกว่าจะได้ข้อสรุปซึ่งเป็นที่น่าพอใจกันทั้งสองฝ่าย ซ้อเสียงยิ้มก่อนเอื้อนเอ่ยเอาใจ เมื่อผลประโยชน์ลงตัวอย่างที่หมายมาด
“ดื่มอะไรก่อนนะคะ เดี๋ยวให้เด็กๆ เตรียมห้องให้ อยากได้ใครมาบริการคะคืนนี้ น้องหลิน หรือ น้องเฌอเอม”
ปรานต์ทำเพียงยิ้มแล้วว่าเรียบๆ ตามนิสัยของตน และคำตอบไม่ผิดจากที่ซ้อเสียงคาดการณ์เอาไว้เท่าใดนัก
“ไม่ดีกว่าครับวันนี้ไม่อยากดื่ม”
“ว้า น้องๆ รู้เข้า เสียใจแย่ สงสัยอยากเก็บท้องไว้กินของสด” ซ้อเสียงเหน็บยิ้มๆ อย่างพอรู้แกว
แต่คนหนุ่มอนาคตไกลไม่ว่าอะไรให้ระคายหูระคายอารมณ์ แม้ปรานต์จะอยู่บนสุดห่วงโซ่ของวงจรนี้ แต่เขาไม่ใช่คนโผงผางที่นึกคิดอยากพูดจาอะไร ทำอะไรก็ทำลงไปเลยแบบไม่นึกถึงคนอื่น ชายหนุ่มรักษามาดของความเป็นผู้นำเอาไว้ได้เสมอ
หลังเจรจาธุระเรียบร้อย ผู้เป็นนายของตงไม่ได้นั่งดื่มในร้านอย่างทุกทีแต่ให้จอดรถรอที่ทางด้านหลังร้านแทน
ตงลอบมองนายผ่านกระจก
พบว่าอีกฝ่ายนั่งรอเงียบๆ ที่เบาะหลังอย่างไม่มีท่าทีร้อนรนแต่ประการใด นิ่งคล้ายรอดูความเคลื่อนไหวของเหยื่อเหมือนนักล่าในป่าไม่ผิดเพี้ยน
ตงรู้ว่านายของตนจ้องเหยื่อชิ้นนี้เอาไว้แล้ว และไม่มีทางปล่อยให้หลุดไปได้อย่างแน่นอน
ทันทีที่ถึงเวลาปิดบริการ รวมทั้งเป็นเวลาเลิกงานของพนักงานในร้าน ต่างทยอยกันออกมาบ้างบางส่วน ไม่นานจากนั้นคนที่เพิ่งได้ทำงานวันนี้วันแรกอยู่จัดการเก็บกวาดงานของตนเองจนเรียบร้อยดีรวมถึงช่วยงานที่ค้างคาในส่วนอื่นเสร็จสิ้น หิ้วสัมภาระตนเองผ่านประตูหลังร้านออกมานาทีนี้เอง
ตงจึงเปิดประตูรถแล้วปรี่เข้าไปหาทันที พร้อมเรียกด้วยเสียงไม่ดังเท่าใดนัก
“น้อง น้อง”
“คะ” ปราณปริยาผงะ หันซ้ายขวามองว่าเรียกตนหรือไม่ รับคำด้วยท่าทีระแวดระวังตัว ตงถามกลับทันที
“กลับยังไง ไปกับพี่ไหม”
มองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าหวาดกลัว เป็นใครก็ไม่รู้จัก จู่ๆ มาบอกให้กลับบ้านด้วย เธอไม่ใช่เด็กห้าขวบนะ
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมากค่ะ”
ตอบจบจับกระเป๋าเป้ขึ้นพาดปิดหน้าอก ก้มหน้าเดินลิ่วๆ จากไปอย่างว่องไว โชคดีที่มีรถสองแถววิ่งจากหน้าร้านไปจนถึงปากซอยเข้าบ้านของเธอ จึงกระโดดขึ้นไปบนรถ ซึ่งกินเวลาไม่นานถึงได้ออกจากบริเวณนั้นไป
ตงกลับมานั่งที่หลังพวงมาลัยรถยนต์อย่างรู้งาน เมื่อครู่ที่ลงไปชวนกลับบ้านก็แค่หย่อนเบ็ดดูว่าคนที่นายสนใจมีใครมารับหรือไม่เท่านั้น เมื่อเห็นว่ากระโดดขึ้นรถสองแถวไปยิ่งน่าห่วง จึงค่อยๆ เคลื่อนรถตามเป้าหมายไปจนรู้พิกัดของอีกฝ่าย
บ้านเช่าสร้างเรียงติดกันนั่น ทำเอาคนในรถขมวดคิ้วนิ่วหน้ามองอย่างไม่ใคร่พอใจเท่าไรนัก ปรานต์มองสภาพแวดล้อมโดยรอบด้วยสายตาสำรวจ ก่อนมองไปยังกลุ่มชายฉกรรจ์ที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้หินอ่อนใต้ต้นไม้ใหญ่ พวกนั้นมองหญิงสาวที่เขาตามมาจนหายลับเข้าบ้านไป
ปรานต์ครุ่นคิดครู่หนึ่ง จึงสั่งให้คนของตนออกรถจากไปบ้าง ตงรู้ว่าตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เขาจะต้องมาตามเฝ้าตามดูหญิงสาวคนนี้ระหว่างร้านของซ้อเสียงและที่บ้านเช่าของเธอ ไปจนกว่านายของตนจะได้ลิ้มชิมรสนั่นเองถึงหมดหน้าที่ของตนในที่สุด
“กลับมาแล้วหรือลูก”
เสียงถามงัวเงียจากโทรทัศน์จอเล็กที่เปิดเอาไว้ฟังข่าวสาร และสลับดูละครจนเคลิ้มหลับไปตอนไหนไม่รู้ได้ มารู้ตัวอีกทีเมื่อเห็นว่าบุตรสาวกลับมาแล้ว
ปรียามองดูเลือดเนื้อของตนเองที่ดิ้นดั้นด้นออกไปหางานทำด้วยสายตาสงสารจับหัวใจ
“จ้ะแม่ เขาจ่ายค่าแรงรายวันด้วยนะ นี่...นิ่มให้แม่”
เจ้าตัวล้วงเอาเงินออกจากกระเป๋ายื่นส่งให้มารดาด้วยดวงตาเป็นประกายระยิบระยับอย่างคนมีความหวังเต็มเปี่ยม
คนเป็นแม่ไม่ได้รับ นางดันมือลูกเป็นเชิงว่าให้เก็บไว้ ถามยิ้มๆ
“เขาจ้างวันละเท่าไรกันเชียว”
“ห้าร้อยแน่ะแม่
“แล้วให้แม่หมดนี่ หนูจะเอาที่ไหนไว้ใช้ล่ะลูก”
“นิ่มได้ทิปอีกตั้งเยอะเลยนะแม่” ว่าจบล้วงเอาเศษเงินกำออกมาให้มารดาดู ปรียายิ้มมองบุตรสาวคนเดียวด้วยสายตาภาคภูมิใจปนสังเวชในชะตาชีวิตของตนและลูก ก่อนจะย้ายตามสามีคนหนึ่งมาอยู่ในมหานครแห่งนี้ นางเคยอยู่ที่ต่างจังหวัดกับสามีคนก่อนหน้าที่เป็นชาวสวนไม่ลำบากเท่าตอนนี้ แต่แล้วอีกฝ่ายก็เสียชีวิตไป
‘ปราณปริยา’ เป็นบุตรสาวคนเดียวของนาง
จากเด็กหญิงตัวเล็กๆ บัดนี้เติบใหญ่เป็นสาวสะพรั่ง ที่สำคัญดูโตเกินวัยไปจนคนเป็นแม่ใจหาย ผิวพรรณไม่ได้ขาวดั่งสำลีแต่เนียนละเอียดนิ่มละมุน
ปราณปริยาเป็นเด็กขยันขันแข็ง อดออม ทำงานเก่ง นางจำได้แม่นยำ เมื่อตอนที่ปราณปริยาอายุได้เพียงห้าขวบก็เริ่มหาของไปขายกับนางที่ตลาดแล้ว บ้างก็รับจ้างทำความสะอาดบ้านให้เหล่าคนมีอันจะกินในละแวก ถากหญ้า ปลูกต้นไม้ หรืองานเก็บผลผลิตในสวนก็ทำมาแล้วทั้งนั้น งานหนักเอางานเบาสู้ไม่ถอย คิดๆ แล้วสงสารลูกไม่น้อยที่ต้องมาลำบากเช่นนี้
พลันความคิดของคนเป็นแม่ก็จางหายไปกับอากาศ เมื่อมีเสียงโหวกเหวกโวยวายดังที่หน้าบ้าน
บ้านที่เป็นของสามีคนปัจจุบัน
“มีใครอยู่บ้าง หาข้าวให้กูกินหน่อยโว้ย ทำงานทั้งวันจนเมื่อยไปหมดแล้วเนี่ย”
ปรียานิ่ง มองจนเจ้าของเสียงที่เป็นชายหนุ่มหน้าตาคมสัน ผิวพรรณขาวสะอาดเหมือนผู้ดีที่เปิดประตูเดินโซเซเข้ามายืนอยู่ตรงกลางบ้านแล้วจึงถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“งานอะไรของเอ็งยุทธ ทำไมเมากลับมาแบบนี้”
คนเมาไม่ตอบแล้วมองไปทางอีกคนด้วยสายตาจาบจ้วง
ปราณปริยาหลบตาไม่มองตอบ แล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ
“นิ่มไปนอนก่อนนะแม่”
แล้วรีบผละไปจากตรงนั้นทันที
ปราณปริยาไม่เคยรังเกียจสามีใหม่ของมารดา แม้ว่าท่านจะเปลี่ยนหน้ามากกว่าสามครั้งสามคนแล้วก็ตามที แต่ละคนที่มารดาคบหาไม่น่าหวั่นใจเท่าคนปัจจุบันสักคนเดียว
เธอไม่อยากเผชิญหน้ากับยุทธนา ชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่ามารดาร่วมสิบปีนั่น มองเธอด้วยสายตาน่ากลัวและขยะแขยงเหลือเกิน จึงปลีกตัวไปยังห้องของตนเองที่อยู่เยื้องไปอีกนิดจากห้องนอนของท่าน
เข้าห้องแล้ว หยิบผ้าขนหนูและชุดใส่นอน ค่อยรี่ไปยังห้องน้ำที่มีเพียงห้องเดียวที่ด้านหลัง จัดแจงอาบน้ำโดยไวเพื่อจะได้ไม่ต้องเจอยุทธนา พ่อเลี้ยงของเธอ เรียบร้อยดีแล้วจึงเข้าห้องปิดลงกลอนอย่างแน่นหนาเตรียมตัวนอนพักเพื่อที่จะได้ตื่นไปเรียนในเช้าของอีกวัน
ในความมืดนั่นเองที่เด็กสาวนอนคิดถึงเงินที่ตัวเองกำลังจะได้รับ หากไปทำงานติดกันทุกวันหนึ่งเดือน เธอจะมีเงินเป็นหมื่นๆ และมันมากพอที่จะให้แม่ แม่ของเธอทำงานไม่ได้แล้วในตอนนี้
ท่านเจ็บป่วยบ่อยและล้มหมดสติต่อหน้าเธอสามครั้งได้
โชคดีที่พอมีคนแนะนำงานในร้านของซ้อเสียงให้ เธอจึงรีบไปสมัครเอาไว้ ไม่คิดว่าทางนั้นจะรับเข้าทำงานด้วยซ้ำ และหากได้ทำที่นี่ไปอีกระยะ ว่าจะลองขอให้แม่ย้ายออกจากบ้านหลังนี้ ไปเช่าที่อื่นอยู่กันสองคนแม่ลูก เธอไม่เคยกีดกันหากแม่จะมีสามีใหม่แต่ต้องไม่ใช่แบบนายยุทธนา
ยุทธนาขี้โอ่ และชอบข่มเหงมารดาของเธอ ปราณปริยาเคยร้องไห้และขอร้องให้ท่านย้ายไปอยู่ที่อื่นหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่มารดาก็เงียบไม่ยอมตอบรับคำของเธอ
ถอนหายใจออกยืดยาวอย่างปลงไม่ตก ก่อนปิดตาลงเตรียมนอน พลันพอดีกับที่มีข้อความเข้ามายังโทรศัพท์ที่มารดายกให้เธอไว้ใช้
‘ขอโทษครับที่ส่งข้อความมาตอนนี้ แต่ทนคิดถึงไม่ไหวจริงๆ อยากให้เช้าไวๆ จะได้เจอหน้ากัน’
อ่านจบอดขมวดคิ้วไม่ได้ เมื่อนึกถึงคนที่ส่งข้อความมา แล้วถึงวางโทรศัพท์ลง หลับตานอนไม่นานความอ่อนเพลียที่สั่งสมมาตลอดทั้งวันก็ครอบงำสติพาเข้าสู่นิทรารมณ์ได้ในที่สุด