นางจ่างซื่อและสะใภ้คนโปรดได้แต่เงียบและหน้าซีดทันควัน ไม่คิดว่าหลิวชิงเย่วจะย้อนกลับมาแบบนี้ แต่ก่อนที่เรื่องจะลุกลามหลี่เหว่ยเฉียงเดินออกมาห้ามทัพเสียก่อน
“ทั้งสามคนพอเถอะ ทะเลาะกันไม่อายชาวบ้านหรือยังไง ชิงเย่วเรามีเรื่องต้องคุยกัน”
พูดจบชายหนุ่มเดินกลับเข้าบ้านแบบไม่มองหน้าใครอีก เขาคิดเพียงว่าจะต้องคุยกับภรรยาให้รู้เรื่อง ที่สำคัญเมื่อคืนเธอไปนอนที่ไหน ในเมื่อเขาอยู่ในห้องของภรรยาทั้งคืน
“คุณหายไปไหนมาชิงเย่ว รู้หรือเปล่าว่าตัวเองเป็นผู้หญิงมีสามีแล้ว” เมื่อเข้ามาในห้องหลี่เหว่ยเฉียงเอ่ยถามด้วยความไม่พอใจ
“รู้ แต่แล้วยังไงเมื่อคืนฉันบอกคุณแล้วถ้าคุณอยู่ฉันจะไป” หญิงสาวตอบกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน ในเมื่อเธอพูดแล้วเขาไม่ไปเธอไปเอง
“แต่คุณเป็นภรรยาผม ไปนอนค้างคืนนอกบ้านหน้าตาผมจะเป็นยังไง หากชาวบ้านรู้เขาจะไม่เห็นว่าผมเป็นตัวตลกเหรอเหรอที่เมียตัวเองคบชู้” เพียะ! หลี่เหว่ยเฉียงยังพูดไม่ทันจบประโยคกลับเจอแรงตบของหลิวชิงเย่วจนหน้าหัน ชายหนุ่มได้แต่ยืนอึ้งไม่คิดว่าหญิงสาวจะตบหน้าเขาสุดแรงแบบนี้
“เก็บปากเน่าๆ ของคุณไว้ ฉันไม่เลวพอที่จะคบชู้ในขณะที่ตัวเองยังมีทะเบียนสมรสอยู่หรอกนะ อย่าเอาการกระทำของตัวเองมาโยนใส่หัวฉัน ไม่ว่ายังไงฉันก็เป็นลูกสาวอดีตผู้พันที่ต้องพลีชีพในขณะปฏิบัติหน้าที่ ศักดิ์ศรีและเกียรติฉันยังคงมี” แต่เมื่อไหร่ฉันหย่าขาดฉันจะหาใหม่มันก็เรื่องของฉัน ประโยคนี้เพียงแค่คิดในใจ หลิวชิงเย่วพูดจบจึงเดินออกมาจากบ้านอีกครั้ง
หลี่เหว่ยเฉียงกว่าจะได้สติกลับมา ภรรยาอย่างหลิวชิงเย่วได้ออกจากบ้านไปสักพักแล้ว ถ้าหากจะบอกว่าชายหนุ่มไม่โกรธที่โดนตบก็คงจะเป็นการโกหก แต่ที่เขาสงสัยยิ่งกว่าคือหลิวชิงเย่วเป็นคนเรียบร้อยไม่สู้คน และในแววตาเธอมีแต่เขา แต่ทำไมเดี๋ยวนี้ในแววตาของเธอกลับไม่มีเขาอยู่เลย และนิสัยเปลี่ยนไปจากเดิมเหมือนเป็นคนละคน เขากลับรู้สึกว่าภรรยาที่เป็นอยู่แบบนี้น่าสนใจกว่าเมื่อก่อนเยอะ
“อาเฉียงนังชิงเย่วนับวันยิ่งนิสัยเลวร้ายขึ้น ฉันเป็นแม่สามีของมัน มันยังไม่เห็นหัว เพิ่งจะกลับเข้ามาหายไปอีกแล้ว แบบนี้เท่ากับเห็นบ้านหลี่เป็นตัวอะไร” นางจ่างซื่อเอ่ยอย่างไม่พอใจ
“นั่นสิครับแม่ ชิงเย่วนิสัยเปลี่ยนไปแทบจะกลายเป็นคนละคน หากเธอไม่เจอความกดดันหรือโดนทำร้ายมาก่อน เธอคงไม่เปลี่ยนไป แม่ว่าจริงไหม”
หลี่เหว่ยเฉียงปรายตามองแม่ของตัวเองและมองเลยไปยังภรรยาอีกคนอย่างค้นหาคำตอบ ทั้งๆ ที่คิดอยู่แล้วว่าแม่และเมียรองของเขาคงจะทำอะไรลับหลังเวลาเขาไม่อยู่ แต่ไม่คิดว่าจะร้ายแรงอย่างที่เห็น จากนั้นจึงเดินออกมาโดยไม่สนใจแม่และเมียอีกเลย
หลิวชิงเย่วเดินคิดอะไรเรื่อยเปื่อยมาตลอดทางรู้ตัวอีกทีก็มาถึงจุดนัดพบกับสองพี่น้องเพื่อนต่างวัยของเธอ แต่นี่ยังไม่ถึงเวลานัดหญิงสาวไม่รู้จะทำอะไรและคิดว่าน่าจะอีกหลายชั่วโมงกว่าสองพี่น้องบ้านมู่จะมา จึงตัดสินใจเข้าป่า เธอจึงเอาหน้าไม้ออกมาจากมิติเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง
แม้ว่าในมิติจะมีทุกอย่างให้เลือกและใช้ไม่มีวันหมด แต่เธออยากจะเดินดูธรรมชาติเพื่อความปลอดโปร่งของสมอง เผื่อจะหาวิธีหย่าขาดจากสามีได้ แต่ระหว่างทางที่เดินกลับเจอแผ่นหลังคุ้นเคยของเพื่อนต่างวัยและคลับคล้ายคลับคลาเหมือนเคยเห็นที่ไหนแผ่นหลังของชายร่างใหญ่อีกหนึ่งคน หญิงสาวจึงตัดสินใจเรียก
“อาหยาง เสี่ยวปิง” เมื่อได้ยินเสียงเรียกที่คุ้นเคย สองพี่น้องจึงหันมามองตามเสียงเรียก เมื่อเห็นว่าเป็นใครทั้งสองจึงลืมตัวทิ้งพี่ชายไว้แล้วรีบมาหาหลิวชิงเย่วทันที
“พี่สาวชิงเย่ว”
“ใช่แล้ว พี่เอง ทั้งสองคนกำลังจะเข้าป่ากันเหรอ ไปพร้อมกับพี่ไหม พี่เบื่อๆ ไม่รู้จะทำอะไรอยู่บ้านก็น่ารำคาญ เลยจะมาหาผลไม้ป่าไปทำของหวาน” หลิวชิงเย่วไม่กล้าบอกว่าเธอแค่เบื่อคนที่ได้ชื่อว่าสามี
“ครับพี่สาวชิงเย่ว เราสองคนกำลังจะเข้าป่าพร้อมพี่ใหญ่ มานี่สิครับผมจะแนะนำให้รู้จักกับพี่ใหญ่ของเราสองคน” มู่หยางเอ่ย
“พี่ใหญ่ครับนี่พี่สาวหลิวชิงเย่ว หรือพี่สะใภ้หลี่ภรรยาของพี่หลี่เหว่ยเฉียงคนที่ให้อาหารพวกเราสองพี่น้องเมื่อวานไงครับ”
มู่ยวี่เฉินมองหญิงสาวอยู่ก่อนแล้วไม่วางตา มิน่าทำไมเขาจึงคลับคล้ายคลับคลาว่าเหมือนเคยเห็นหญิงสาวมาก่อน
“ยินดีได้พบกันอีกครั้งนะสะใภ้หลี่ ผมมู่ยวี่เฉินพี่ชายของทั้งสองคน และขอบคุณมากที่มอบอาหารให้น้องรองและน้องเล็ก ว่าแต่ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ เป็นหญิงสาวไม่กลับบ้านทำเป็นเด็กไม่มีบ้านไปได้”
มู่ยวี่เฉินรู้ถึงความเป็นมาของสะใภ้หลี่เป็นอย่างดี ไม่ใช่ว่าเขาชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน แต่เรื่องภรรยาของหลี่เหว่ยเฉียงคนแรกนั้นโด่งดังขนาดไหนใครบ้างไม่รู้ เพราะแต่งเข้ามาไม่ทันไรสามีกลับแต่เมียรองเข้ามา ทั้งๆ ที่ภรรยาคนแรกเป็นถึงลูกสาวผู้พัน แต่กลับไม่คิดจะลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเอง
“ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งพี่ใหญ่มู่ ที่สำคัญกลับบ้านแล้วแต่บ้านน่าเบื่อ จึงออกมารออาหยางและเสี่ยวปิง เห็นว่ายังไม่ถึงเวลานัดเลยตั้งใจจะเข้าป่าไปเดินเล่นเสียหน่อย” หลิวชิงเย่วยังเคืองเรื่องเมื่อคืนไม่หาย ที่เขาคิดจะพาเธอกลับไปส่งบ้านให้หมาบ้านนั้นขย้ำ จึงตอบแบบกวนๆ ตามฉบับของเธอ
ชายหนุ่มเมื่อเจอคำตอบสวนกลับจึงนิ่งเฉย แต่แววตานั้นมีรอยยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ความทรงจำที่เขามีต่อสะใภ้หลี่นั้นแทบจะต่างกับที่เห็นตรงหน้านี้มากเหลือเกิน
“เอาล่ะ น้องรองน้องเล็ก พี่แยกตัวไปคนเดียวดีกว่า หากใครมาเห็นเข้ามันจะไม่ดี สะใภ้หลี่อาจจะเกิดความเสียหายได้” ชาวบ้านแต่ละคนเป็นยังไงเขารู้ดี ไม่ใช่ว่ากลัวปัญหา แต่เขาไม่ชอบความวุ่นวายนั่นเอง
“ครับพี่ใหญ่ / ค่ะพี่ใหญ่” สองพี่น้องตอบพี่ชายอย่างพร้อมเพรียง จากนั้นมู่ยวี่เฉินจึงแยกตัวเข้าป่าด้านในไปคนเดียว ปล่อยให้น้องทั้งสองคนอยู่กับหลิวชิงเย่วแทน
“พี่ใหญ่มู่ดูเย็นชามากเลยนะ” ระหว่างที่เดินหาของป่าตามรายทางหลิวชิงเย่วจึงเอ่ยขึ้น เห็นแบบนี้ทำให้เธอนึกถึงพี่รามพี่ชายของเธอขึ้นมา
“ไม่หรอกครับพี่ชิงเย่ว พี่ใหญ่ใจดีมากแต่พี่ใหญ่เป็นคนพูดน้อยถ้าไม่ใช่ผมกับน้องเล็กก็แทบจะนับคำพูดได้เลย” มู่หยางเอ่ยบอก ทำให้หลิวชิงเย่วมีสีหน้าไม่เชื่อเท่าไหร่ ‘ใช่เหรอ! เป็นคนพูดน้อยแน่เหรอ ตอนเจอกันครั้งแรกบ่นเธอเป็นลูกเลย’
“กระต่าย น่ารักจังเลยพี่รอง” มู่ฟ่านปิงยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าสิ่งที่พี่รองของเธอได้มานั้นคือกระต่ายตัวอ้วนสองตัว
“น่าจะเป็นตัวผู้กับตัวเมียนะ แต่เหมือนกระต่ายอีกตัวท้องป่อง มันท้องหรือเปล่า ทางที่ดีพี่ว่าเราเอากลับไปเลี้ยงเถอะ กระต่ายขยายพันธุ์เร็ว” หลิวชิงเย่วสังเกตกระต่ายอีกตัวเหมือนว่าจะท้องเลยรีบบอก
“ค่ะ / ครับ พี่ชิงเย่ว”
“หลบเร็ว!”
หลิวชิงเย่วรีบบอกเด็กทั้งสองคน เธอเห็นว่ามีหมู่ป่าตัวขนาดกลางวิ่งตรงมาทางนี้อย่างบ้าคลั่ง เธอเป็นน้องสาวมาเฟีย เป็นลูกสาวมาเฟียหากจะบอกว่าไม่มีฝีมือหรือไม่มีความสามารถคงจะโกหก สุดท้ายจึงเอาหน้าไม้ที่หยิบติดตัวมาด้วยนั้นเล็งไปที่จุดตายทันที ทำให้หมูป่าที่ไม่รู้ชะตาตัวเองนั้นล้มลงและตายในที่สุด
“พี่ชิงเย่วเก่งมากเลยครับ”
มู่หยางพูดอย่างตื่นเต้นที่เห็นหมูป่าตัวไม่เล็กล้มลงตายต่อหน้า ด้วยผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างพี่ชิงเย่ว มู่ฟ่านปิงปรบมืออย่างชอบใจเช่นกัน