“เข้าใจเอาผมมาเป็นโล่กำบังนะ” มู่ยวี่เฉินเอ่ยเย้า
“แค่ยืมชื่อเล็กน้อยเอง พี่เฉินใจดีคงเห็นใจและสงสารลูกนกตาดำๆ พลัดถิ่นคนนี้นะ” หลิวชิงเย่วทำตาปริบๆ ใส่ท่าทางน่าสงสาร
“ยืมนะได้ แต่ดอกเบี้ยแพงนะบอกไว้ก่อน”
ยวี่เฉินทิ้งมาดขรึมลง นึกอยากหยอกล้อหญิงสาวตรงหน้าขึ้นมา เขาไม่อยากให้เธอคิดมาก เพียงแต่พอเห็นแววตาของเธอ ชายหนุ่มได้แต่แปลกใจเพราะไม่มีร่องรอยของความเสียใจหรือถวิลหาอดีตสามีอย่างหลี่เหว่ยเฉียงอยู่ในนั้น
“จริงเหรอ ไม่ว่าดอกเบี้ยแพงแค่ไหน ชิงเย่วคนนี้พร้อมจ่ายให้พี่แน่ ว่าแต่พี่จะคิดดอกเบี้ยเท่าไหร่”
“ตอนนี้ยังไม่รู้ คิดออกเมื่อไหร่ค่อยบอก แต่ไม่ใช่เงินแน่นอน ไปเถอะเข้าไปพักผ่อนได้แล้ว ผมจะกลับไปดูน้องๆ ก่อน”
“พี่เฉินขี้โกงและเอาเปรียบ พี่ให้ฉันเรียกว่าพี่เฉิน แต่พี่ยังแทนตัวว่าผมกับคุณอยู่เลย ดูปากนะคะ ฉันชื่อหลิวชิงเย่ว พี่จะเรียกชิงเย่วหรือเสี่ยวเย่วก็ได้ แทนตัวว่าผมและเรียกฉันว่าคุณ ทำยังกับคนไม่รู้จักกันไปได้”
ในเมื่อต้องเดินทางไปเซี่ยงไฮ้ด้วยกัน และเธอก็ยังต้องอาศัยอยู่กับสองแฝด ควรจะสนิทสนมกันไว้ไม่ดีกว่าเหรอ ใครจะคิดอะไรก็ช่าง เธอตัวคนเดียวจะต้องกลัวหรือแคร์คำพูดคนอื่นทำไม
“เอาล่ะ พี่กลับก่อนชิงชิงไปพักได้แล้ว” พูดจบมู่ยวี่เฉินจึงเดินออกมาจากโรงแรมเพื่อจะขึ้นเกวียนกลับหมู่บ้าน หากมีใครเห็นเขาตอนนี้คงไม่เชื่อสายตา เพราะว่าใบหน้าของชายหนุ่มนั้นมีรอยยิ้ม
หลิวชิงเย่วเกาหัวตัวเองด้วยความไม่เข้าใจ บอกตั้งหลายชื่อแต่ดันเรียกชิงชิงเฉย คนอายุเยอะเป็นแบบนี้ทุกคนไหม ตามอารมณ์ไม่ทัน จากนั้นหญิงสาวจึงเดินขึ้นชั้นบนเพื่อเข้าห้องพัก และเข้ามิติไปเลือกสินค้าพรุ่งนี้คิดว่าจะเอาอะไรมาขายดี
วันนี้เธอเอาเสื้อผ้ากับรองเท้าออกมาขายรวมทั้งขายนาฬิกา ได้เงินมาหลายพันหยวน ไม่รู้ว่าราคาบ้านในเซี่ยงไฮ้นั้นจะแพงหรือเปล่า แต่ยังไงพรุ่งนี้ต้องไปปิดบัญชีเงินฝากก่อนดีกว่า สำหรับเธอเก็บไว้ในมิติปลอดภัยสุดแล้ว
มู่ยวี่เฉินนั่งเกวียนกลับมาถึงหมู่บ้าน ชายหนุ่มจึงเดินเพื่อกลับบ้านที่อยู่เกือบท้ายหมู่บ้าน แต่ดันเจอหลี่เหว่ยเฉียงดักรอตรงทางขึ้นเขาเสียก่อน
“นายคิดจะทำอะไรยวี่เฉิน” หลี่เหว่ยเฉียงถามอย่างไม่พอใจและจ้องตาอย่างกดดัน
“ฉันจะทำอะไรแล้วมันเกี่ยวอะไรกับนายด้วย” มู่ยวี่เฉินจ้องตากลับอย่างไม่เกรงกลัว
“ชิงเย่วเป็นเมียฉัน นายไม่ควรจะยุ่ง”
“ก็แค่เคยเป็น ตอนนี้ไม่ได้เป็นแล้วไม่ใช่เหรอ”
“นายกล้ากินของเหลือเดนฉันหรือยังไง”
ผัวะ! มู่ยวี่เฉินซัดหมัดใส่หลี่เหว่ยเฉียงอย่างไม่ไว้หน้า ทำให้คนที่มีอาการเมาอยู่แล้วล้มทั้งยืน และมองมู่ยวี่เฉินด้วยสายตาวาวโรจน์
“จำไว้นะ ชิงชิงไม่ใช่ของเหลือเดนใคร เธอมีคุณค่าในตัวเอง และสำหรับฉันหากจะรักใครสักคน ฉันไม่มีวันสนใจอดีตที่ผ่านมาของเธอ ไม่ว่าเธอจะผ่านอะไรมา หรือแต่งงานมาแล้วกี่ครั้งฉันก็ไม่สนใจ เพราะสิ่งที่ฉันสนใจมีเพียงจิตใจและตัวตนของเธอเท่านั้น จำไว้!”
มู่ยวี่เฉินชี้หน้าพูดตามความคิดและความรู้สึกของเขา ก่อนรีบเดินกลับบ้านเพราะไม่อย่างนั้นเขาอาจจะได้ทำร้ายทหารด้วยกันเพราะปากเน่าๆ ของหลี่เหว่ยเฉียงเป็นแน่
ก่อนจะถึงบ้านชายหนุ่มเดินมาที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อแจ้งเรื่องพาน้องๆ ย้ายไปอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ เพราะยังไงต้องมีหนังสือรับรองของหัวหน้าหมู่บ้าน และคณะกรรมการหมู่บ้านต้องลงนามของน้องทั้งสองคนไปด้วย เพื่อจะได้ทำเรื่องสมัครเรียนที่นั่น
“ลุงจื่อ อยู่บ้านไหมครับ” มู่ยวี่เฉินตะโกนเรียนอยู่หน้าบ้าน
“อ้าวอาเฉิน เข้ามาก่อนสิ ตาแก่น่าจะอยู่ในห้องทำงาน ว่าแต่มีอะไรหรือเปล่ามาหาถึงที่นี่”
นางหลันภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม เขาสงสารในชะตากรรมของสามพี่น้องมาก พี่ใหญ่ต้องไปสมัครเป็นทหารเพื่อให้น้องชายและน้องสาวฝาแฝดได้อยู่ดีกินดีและมีเงินเรียนหนังสือ แต่กลับโดนลุงนอกสายเลือดเอาเงินไปใช้เองหมด ครั้งนี้ตัดขาดกันได้เธอเองก็ดีใจด้วย
“ขอบคุณมากครับป้าหลัน พอดีผมมีเรื่องจะมาแจ้งและขอความช่วยเหลือลุงจื่อกับป้าครับ” มู่ยวี่เฉินเอ่ยอย่างเคารพ
“อ้าวอาเฉินว่ายังไงมีอะไรให้ลุงช่วยหรือเปล่า” หัวหน้าหมู่บ้านเดินออกมาหน้าบ้านเมื่อได้ยินคนเรียก
“ครับลุงจื่อ ผมเอง วันนี้ผมตั้งใจว่าจะมาขอทำเรื่องย้ายน้องทั้งสองคนไปที่เซี่ยงไฮ้ครับ ผมประจำการค่ายทหารอยู่ที่นั่นเลยจะให้น้องทั้งสองคนไปอยู่ใกล้ๆ หากอยู่ที่นี่ผมไม่ไว้ใจบ้านของลุงใหญ่ ตอนผมอยู่คงไม่กล้าทำอะไร แต่ถ้าผมกลับไปประจำการแล้วคงยากที่จะไม่เข้ามาวุ่นวายอีก”
“ตัดสินใจแล้วใช่ไหม หากตัดสินใจแน่แล้วลุงจะรีบดำเนินเรื่องเอกสารให้ น่าจะไม่เกินพรุ่งนี้ แล้วบ้านล่ะจะเอายังไง หากลุงของนายรู้ว่าไม่มีใครอยู่ลุงกลัวว่าเขาจะมายึดนะสิ” แม้ว่าจะเป็นเพียงลูกบุญธรรมแต่ก็ยังเป็นคนตระกูลมู่ ส่วนเขาเป็นคนนอกคงพูดอะไรมากไม่ได้ หากมู่เผิงจะใช้สิทธิ์ของคนตระกูลมู่ย้ายเข้ามาอยู่
“เอาอย่างนี้ไหม ให้อาซู่และครอบครัวเช่าอยู่แทน ภรรยาอาซู่เคยเปรยๆ อยู่เหมือนกันว่าจะแยกบ้านเพราะทนพี่สะใภ้ไม่ไหว ใช้งานพวกเธอยิ่งกว่าทาสเสียอีก อาเฉินให้เช่าดีหรือเปล่า จะได้ไม่ต้องกังวลว่ามู่เผิงนั้นจะเข้ามาวุ่นวายกับบ้าน เมื่อเราและน้องๆ ไม่อยู่”
นางหลันเอ่ยขึ้น วันก่อนเธอได้คุยกับภรรยาของอาซู่อยู่พอดีว่าจะแยกบ้านแต่ติดที่ยังไม่มีเงินสร้างบ้าน แต่ถ้าอาเฉินให้เช่าสองสามีภรรยาคู่นั้นน่าจะตกลง
“ดีเหมือนกันนะครับ แต่รบกวนป้าหลันนัดพี่อาซู่ให้หน่อยได้ไหมครับ พรุ่งนี้ให้ไปหาผมที่บ้าน ผมมีเรื่องที่จะตกลงเล็กน้อยหรือว่ามาที่บ้านลุงจื่อนี้ก็ได้ครับ หากตกลงกันได้จะได้ทำสัญญาเลย”
“ได้สิ พรุ่งนี้ลุงจะพาไปที่บ้านของนายพร้อมกับเอกสารแต่ขอเป็นช่วงเย็นๆ หน่อยนะ เพราะว่าลุงจะต้องเข้าอำเภอเพื่อจัดการเรื่องขอย้ายให้น้องๆ ของนายด้วย”
หัวหน้าหมู่บ้านจื่อเอ่ยอย่างเป็นกันเอง เขาเห็นด้วยกับความคิดของมู่ยวี่เฉิน ที่จะพาน้องชายและน้องสาวย้ายไปอยู่ใกล้ๆ กับกองทัพที่ชายหนุ่มประจำการอยู่
“ขอบคุณมากครับลุงจื่อ ป้าหลัน” ชายหนุ่มเอ่ยขอบคุณจากนั้นจึงเดินกลับบ้านเพื่อไปช่วยน้องทั้งสองคนเก็บของ เขาตั้งใจจะเอาเฉพาะของที่จำเป็นไปก็พอ ส่วนอย่างอื่นจะเอาไว้ห้องหนึ่งแล้วปิดตายไว้
“พี่ใหญ่กลับมาแล้ว” มู่ฟ่านปิงร้องเรียกด้วยรอยยิ้ม
“อืม ทั้งสองคนกินอะไรหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้วครับ” มู่หยางตอบ
“อืม ดีแล้ว ไปเถอะพี่ช่วยเก็บของพรุ่งนี้จะมีคนมาคุยเรื่องเช่าบ้านนะ”
มู่ยวี่เฉินเอ่ยบอกน้องทั้งสอง ทำให้มู่หยางและเสี่ยวปิงมองหน้าพี่ชายอย่างสงสัย เมื่อรู้ว่าน้องทั้งสองมีคำถามชายหนุ่มจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง รวมถึงเรื่องที่ทั้งสองคนต้องอยู่ในความดูแลของหลิวชิงเย่วด้วย เมื่อฟังทุกอย่างจากพี่ชายแล้วทั้งสองคนจึงเผยรอยยิ้มแห่งความดีใจ
“จริงเหรอคะพี่ใหญ่ ที่พี่ชิงเย่วจะให้หนูและพี่รองไปอยู่ด้วย”
มู่ฟ่านปิงถามด้วยรอยยิ้ม
“จริงสิ วันนี้ตอนที่พี่เข้าไปทำเรื่องขอย้ายโรงเรียนให้เราทั้งสองคนพี่เจอเธอพอดี เลยคุยกับเธอเรื่องนี้ และชิงเย่วเองยินดีมากที่อาหยางและเสี่ยวปิงจะไปอยู่ด้วย”
มู่ยวี่เฉินลูบหัวน้องทั้งสองด้วยความเอ็นดู แม้ว่าอาหยางและเสี่ยวปิงจะเพิ่งรู้จักหลิวชิงเย่วอย่างที่ทั้งสองคนบอกเขา แต่เขาคิดว่าน้องๆ คงไว้ใจหญิงสาวมาก ไม่เช่นนั้นจะดีใจกันขนาดนี้เหรอเมื่อรู้ว่าจะได้อยู่ด้วยกันเซี่ยงไฮ้