3

1216 คำ
เว่ยกงกงออกจากภวังค์เดินเคียงกันไปกับลูกสะใภ้คนงาม ภายในตลาดผู้คนกำลังเลือกหาของกินของใช้กันอย่างเนืองแน่น เป็นภาพที่แม่สามีและลูกสะใภ้ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก เพราะวันๆ ลูกสะใภ้คิดแต่แผนการรบกับชนเผ่าต่างๆ “เรารีบหาโรงเตี๊ยมที่จะพักคืนนี้กันเถอะ” แม่สามีเร่งบอกลูกสะใภ้เพราะตอนนี้พระอาทิตย์ใกล้ตกดินแล้ว ที่ออกมานอกวังเพราะต้องการหาข่าวบางอย่าง “ช้าก่อน ท่านแม่อย่ารีบร้อนนักสิเจ้าคะ ข้าขอชมคนงาม เอ่อ... ไม่ใช่ ปิ่นชิ้นงามสักครู่ ข้าอยากรู้ว่าตกสำรวจไปได้อย่างไร” ฮั่นหลิวตี้ยังจ้องเขม็งไปที่ร่างอ้อนแอ้นอรชรที่ยังยืนเลือกของในร้านขายเครื่องเขียน นางสวมชุดฮั่นฝูสีขาว ลักษณะเป็นชุดยาว เสื้อและกระโปรงต่อกัน โดยแยกเสื้อกับกระโปรงเป็นสองชิ้นตัดเย็บด้วยผ้าต่วนอย่างดี ดวงตาคมที่วันนี้ถูกแต่งให้งดงามประดุจหงส์แต่แววตาประดุจมังกรมองสตรีผู้นั้นแค่เพียงผ่านๆ ย่อมคาดการณ์สรีระอ้อนแอ้นนั่นได้ไม่ยาก หากพระองค์ปลดฮั่นฝูของนางออก จะพบความงดงามเลิศล้ำเพียงใด ฟากจางหยูเฟยกำลังสั่งเจ้าของร้านให้ส่งของที่นางเลือกเอาไว้ทั้งหมดไปที่จวน กิริยาท่าทางนั้นไม่ว่าเยื้องย่างไปทางใดดูแช่มช้อย แต่กลับมีความคล่องตัวอยู่ในท่าที หากเปรียบเป็นเทพธิดา ฮั่นหลิวตี้คงเปรียบสตรีตรงหน้างดงามปานเทพธิดาดอกบ๊วย เพราะดอกบ๊วยนั้นจะบานเป็นดอกเดี่ยวๆ สวยเดี่ยวๆ สวยงามด้วยตัวของมันเอง ไม่ต้องพึ่งดอกอื่นมาประกอบเป็นช่อ แม้ดอกบ๊วยจะมีกลีบบอบบางแต่ทนทานต่อหิมะ แล้วเหตุใดเทพธิดาดอกบ๊วยถึงเหาะลงมาเที่ยวชมสินค้าในตลาด ทั้งที่นางควรจะมีหน้าที่รับใช้พระองค์ในวัง คิดแล้วยังเสียดายไม่หาย พระเนตรคมปลาบของฮั่นหลิวตี้มองอย่างพิจารณาถึงเครื่องหน้างดงาม ทั้งดวงตา จมูก ริมฝีปาก ใบหู แขน ขา และไหล่ นับว่าเข้าตำราหญิงงามที่ต้องถูกส่งตัวคัดเลือกเข้าวัง ดูจากอาภรณ์ที่สวมใส่ย่อมไม่ใช่ชาวบ้านทั่วไป อย่างไรเสียก็ต้องถูกส่งตัวเข้าไปรับการคัดเลือก หากมองคุณสมบัติภายนอก นางไม่มีทางตกหลักเกณฑ์ไปได้ แต่เหตุใดหญิงงามนางนี้กับพระองค์ถึงไม่เคยประสบพบเจอกันมาก่อน ฮั่นหลิวตี้ในชุดฮั่นฝูสีฟ้าปักลายดอกบ๊วยดูอ่อนช้อยงดงามหันไปถามหญิงวัยกลางคนซึ่งยืนอยู่ไม่ห่างกัน และกำลังเลือกผ้าต่วนชิ้นหนึ่งอยู่ “ท่านป้าเจ้าขา ท่านรู้จักคุณหนูคนงามที่เลือกของในร้านเครื่องเขียนนั้นหรือไม่เจ้าคะ” หญิงวัยกลางคนนางนั้นวางมือจากผ้าต่วนสีสันสดใสแล้วหันมาส่งยิ้มให้หญิงงามแปลกหน้า “เจ้าคงไม่ใช่คนเมืองนี้ถึงไม่รู้จักคุณหนูจางหยูเฟยคนงาม นางเป็นธิดาของอดีตท่านแม่ทัพจางจิ้นเหอ” “เป็นธิดาของอดีตท่านแม่ทัพใหญ่นี่เอง ช่างบังเอิญนัก” ไม่อยากเชื่อว่านางนี่เองคือคนที่พระองค์ลอบมาดู เป็นนางนี่เอง “ขอบคุณท่านป้ามากเจ้าค่ะ” เพราะปิ่นที่ตกในห้องบรรทมนั้นเขาเป็นผู้มอบให้แก่อดีตแม่ทัพจางจิ้นเหอด้วยมือตัวเอง ความเป็นไปได้ถึงผู้ต้องสงสัยจึงมาตกที่จวนสกุลจาง ซึ่งเวลานี้คนที่ดูแลจวนคือคุณหนูจางหยูเฟย เพราะทั้งอดีตแม่ทัพจางจิ้นเหอและฮูหยินได้เสียชีวิตไปแล้ว เหลือแต่คุณชายใหญ่จางจิ้นไฉที่ตอนนี้มีตำแหน่งเป็นรองแม่ทัพและประจำอยู่ที่ชายแดนนานหลายปีแล้ว “เจ้าถามทำไม หรือสงสัยว่าใช่คุณหนูจางหยูเฟยคนนี้หรือไม่ที่มาติดป้ายประกาศหาสาวใช้เพื่อไปเป็นพี่เลี้ยงเด็กๆ ในจวนสกุลจาง” “พี่เลี้ยงเด็ก” ยังไม่ทันที่หญิงผู้นั้นจะพูดอะไรต่อ ซารังน้อยและเด็กหญิงชายภายในจวนสกุลจางอีกสามคนก็พากันวิ่งกรูมาตรงหน้าฮั่นหลิวตี้ หากพระองค์ไม่เอี้ยวพระวรกายหลบ เจ้าลิงทโมนพวกนั้นคงวิ่งชนพระองค์จนล้ม “เจ้าเด็กพวกนี้นี่เกือบวิ่งชนข้า” หางพระเนตรมองตาม พระองค์ไม่ชอบเด็ก เคยได้ยินมาว่าทารกตุ๋นกับรังนกเป็นยาอายุวัฒนะ แต่ก็ไม่เคยเสวยสักทีเพราะรู้สึกเหี้ยมโหดเกินไป แต่เจ้าเด็กพวกนี้เสียงดังเหลือเกิน “เดี๋ยวข้าก็สั่งจับไปตุ๋นยาจีนซะให้หมด” ซารังได้ยินเสียงพี่สาวคนงามเอ็ดอย่างไม่พอใจจึงวิ่งกลับมาแล้วย่อตัวคำนับ “ขอโทษเจ้าค่ะ พวกข้ารีบร้อนไปหน่อย” ฮั่นหลิวตี้โบกพระหัตถ์ไล่เจ้าพวกนี้ให้ไปไกลๆ คงจะวิ่งตามพ่อค้าหาบเร่มาแล้วแย่งกันขอซื้อกลองถาวกู่หรือกลองป๋องแป๋งที่เป็นเครื่องดนตรีชนิดหนึ่ง “ข้าเอาหนึ่งอันเจ้าค่ะ” ซารังบอกเสียงดังสดใส “ข้าด้วยเจ้าค่ะ/ข้าก็เอาด้วยขอรับ” ฮั่นหลิวตี้มองแล้วรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้า แต่พอเห็นพ่อค้าอีกคนหาบซานจาเคลือบน้ำตาลเสียบไม้ผ่านมา ซารังก็มองตามขนมชนิดนั้นไปด้วยสายตาละห้อย หญิงชาวบ้านผู้นั้นจึงชี้ให้หญิงงามแปลกหน้าดู “คุณหนูจางหยูเฟยหาพี่เลี้ยงไปดูแลเด็กพวกนี้ไง เจ้าสนใจไปทำงานที่สกุลจางไหมล่ะ” ฮั่นหลิวตี้ที่แปลงโฉมมาเสียงามหยดย้อย ทอดพระเนตรมองเทพธิดาดอกบ๊วยของพระองค์ แล้วสลับมองเจ้าเด็กสามสี่คนนี้แล้วรู้สึกเสียดายของ ทดท้อในพระทัยยิ่งนัก “ลูกนางดกถึงเพียงนี้เชียวหรือ” พลางลอบถอนใจ ที่แท้นางคงเป็นหยกมีตำหนิไปแล้วจึงไม่ถูกคัดเลือกเข้าวัง พลันหญิงวัยกลางคนก็ฟาดฝ่ามือลงบนต้นแขนนาง ขณะที่เว่ยกงกงแอบตกใจ หญิงชาวบ้านผู้นี้มีตาหามีแววไม่ กล้าตีแขนฮ่องเต้ รู้หรือไม่เงาหัวหายไปแล้วครึ่งหนึ่ง แต่เมื่อลอบมองสีพระพักตร์ กลับไม่มีอาการที่บ่งบอกถึงความขุ่นเคืองพระทัย “เจ้าอย่าได้พูดจาส่งเดช คุณหนูจางหยูเฟยยังไม่ได้ออกเรือน เด็กพวกนั้นเป็นบ่าวในจวน อีกอย่าง คุณหนูจางคงไม่คิดแต่งกับผู้ใด น่าเสียดายความงามยิ่งนัก” “เหตุใดท่านป้าถึงกล่าวเช่นนั้น” คะเนอายุของจางหยูเฟยน่าจะเลยวัยปักปิ่นมาหลายปีแล้ว “เจ้าช่างไม่รู้อะไร ตั้งแต่อดีตแม่ทัพจางเสียชีวิตลงไป สกุลจางก็เริ่มย่ำแย่เพราะขาดเสาหลัก ใครๆ ก็รู้ท่านเป็นขุนนางตงฉิน สกุลจางจึงไม่ได้ร่ำรวย แล้วยังเลี้ยงคนเก่าแก่ไว้มาก ไหนยังพวกเชลยจากอาณาจักรโชซ็อนโบราณที่ท่านแม่ทัพนำกลับมาด้วย ทั้งยังออกลูกมาเป็นภาระไว้ให้สกุลจางเลี้ยงอีก ได้ยินว่าทรัพย์สมบัติสกุลจางร่อยหรอจนแทบหมด คุณหนูจึงต้องทำการค้าผ้าไหมและเครื่องปั้นดินเผาให้แก่พวกพ่อค้าเร่ วันๆ เอาแต่ทำงานจึงไม่ยอมรับของหมั้นจากคุณชายสกุลใด”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม