“ผะ ผี... ใช่ไหม คุนเกอ” ซ่างเป่าถามพี่ชาย ตอนนั้นคุนเกอ ลุกจากเก้าอี้ เขาไม่ได้กลัว แต่พุ่งไปในห้อง จับด้ามไม้ถูกพื้นมา และเตรียมใช้เป็นอาวุธปกป้องมารดาและเหมยลี่
“คุนเกอมาหาแม่... อย่าไปอยู่ตรงนั้น”
สิงหยุนเจี๋ยรู้ว่า ไม่ใช่ผีแน่นอน หากเป็นคนที่คงได้รับบาดเจ็บ และกำลังดิ้นปัดไปปัดมาบนพื้น
“โอ๊ย... ชะ ช่วยด้วย งะ งูกัด”
พอเสียงร้องดังขึ้น เหมยลี่ก็ใจหายใจคว่ำ แล้ววิ่งไปดูเป็นคนแรก
“เหล่ากง ไปทำอีท่าไหน ถึงได้ถูกงูกัดได้”
จางเฝิงมองมาที่คู่ชีวิตเขา และตอบว่า
“เมียรัก อั๊วได้เงินกลับมาให้แล้ว” ชายวัยกลางคนพูดได้เท่านั้น จึงใช้มืออีกข้างที่ไม่ได้ถูกงูกัดล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ และยื่นธนบัตรจำนวนหนึ่งให้เหมยลี่
“หากอั๊วตาย เมียรักก็ไม่ต้องลำบาก”
เหมยลี่ที่ดูปากร้าย และเก่งมาตลอด ทว่าพอสามีบาดเจ็บ สมองช้าไปในทันที กระทั่งได้สติ ก็เอ่ยว่า
“เฮียจางถูกงูกัด มะ มันมีพิษไหม เร็วช่วยกันจับงู”
ฮ่าวเจ๋อส่ายหน้าไม่เห็นด้วย เขาบอกว่า
“ตอนนี้ที่สำคัญคือใช้เหล้าทำความสะอาดแผล แล้วทำขันชะเนาะ เพื่อห้ามพิษแล่นสู่หัวใจ”
ถานเจี้ยนผู้พกพิวเตอร์ (ขวดเหล้าสแตนเลส/ดีบุก) เอาไว้จิบแก้เปรี้ยวปาก รีบยกมือเสนอที่จะได้เป็นฮีโร่ในเรื่องนี้
“อั๊วเพิ่งเติมบรั่นดีใหม่ที่ฝั่งพื้นที่เช่ามาพอดี ซื้อแพงด้วย อันนี้ใช่ล้างแผลได้ไหม” เขาถามฮ่าวเจ๋อ
และหมอหนุ่มกำลังจะตอบ หากเป็นตอนนั้นที่สิงหยุนเจี๋ยรับพิวเตอร์ไปจากถานเจี๋ยน และบอกว่า “ห้ามใช้ของพวกนี้ล้างแผลเด็ดขาด ต้องน้ำสะอาดเท่านั้น ส่วน...”
หญิงสาวหันไปเห็นโทนี่ เตรียมเศษผ้าที่ได้มาจากซินอี๋ ดูเหมือนเขาจะทำการขันชะเนาะที่แขนของจางเฝิง!
ยามนั้นในหัวสมองของสิงหยุนเจี๋ยประมวลผลเร็วจี๋ คล้ายกับว่าความทรงจำที่เคยหายไปย้อนกลับมา เธอสับสน ปวดศีรษะจี๊ดๆ แต่ร่างกายพลันตื่นตัว ภาพในความทรงจำย้อนคืน และมันไม่ใช่สิ่งที่เจ้าของร่างเคยประสบมา
“ห้าม... ห้ามใช้ผ้ากับเชือก ห้ามเลือดด้วย”
“อ้าว อาเจี๋ยงูอาจมีพิษนะ แล้วถ้าเหล่ากงฉันเป็นอะไรขึ้นมา จะทำอย่างไร”
“ไม่ได้... แค่ล้างแผลด้วยน้ำสะอาด แล้วก็ดามแขน และพาไปที่โรงพยาบาล ให้หมอฉีดวัคซีน!”
คำพูดของสิงหยุนเจี๋ยฟังแล้วไม่เหมือนคนในยุค 70 รับรู้มา
“อาเจี๋ย ไม่ล้างแผลด้วยเหล้า พี่พอเข้าใจ แต่หากไม่รีบห้ามพิษ มันอาจร้ายแรงจนเฮียจางช็อกได้”
“ไม่ ถ้าทำอย่างนั้น เนื้อจะตาย กว่าจะไปถึงโรงพยาบาล เฮียจางอาจถูกตัดแขน”
สิงหยุนเจี๋ยทำให้ทุกคนหันมามองเธอเป็นตาเดียว แน่นอนคำพูดของคนที่เพิ่งพื้นจากความตาย ฟังแล้วดูเพี้ยนและน่ากลัวไปสักหน่อย
“อาเจี๋ย เจ่เจ้ว่าเธอไปพักผ่อนเถอะ ทางนี้เดี๋ยวพวกเราดูแลเฮียจางเอง” เหมยลี่บอก และหันไปกวักมือเรียกคุนเกอพาเธอเข้าไปในห้อง
ทว่าสิงหยุนเจี๋ยไม่ยอม และยืนกรานว่า
“หากไม่เชื่อฉัน เฮียจางอาจต้องถูกตัดแขนทิ้ง พวกคุณอย่าดื้อดึงได้ไหม ฉัน... ฉัน...เคยรับผิดชอบเคสพวกนี้ ตอนอยู่ห้องฉุกเฉินมาเป็นร้อยครั้ง เชื่อมือฉันสิ!”
คราวนี้น้ำเสียงของสิงหยุนเจี๋ยดัง และเต็มไปด้วยความเครียด อีกทั้งเหมือนว่าเธอไม่เป็นตัวเอง ประหนึ่งมีผู้อื่นสิงร่างนี้
“อาเจี๋ย... พูดแบบนี้ เธอเป็นใครกันแน่”
และคนที่ถามก็คือฮ่าวเจ๋อ ส่วนเหมยลี่พยักหน้าหงึกหงักตามคำพูดเขา
สิงหยุนเจี๋ยปวดศีรษะรุนแรงกว่าเดิม และไม่รู้ด้วยเหตุใด เธอจึงกล่าวเรื่องที่ประหลาดทั้งเหลวไหลออกไป เธอรู้ว่าตนมาสวมร่างผู้อื่น แต่ความทรงจำบางส่วนหายไป จำได้เพียงลางๆ ว่านอนเป็นผักบนเตียง ทั้งเหงาโดดเดี่ยว กระทั่งได้ยินเสียงร่ำไห้ เธอจึงโผล่ไปอยู่ข้างๆ ผู้หญิงโชคร้ายคนหนึ่ง และคอยยื่นมือช่วยเหลือฝ่ายนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า จากผู้ชายโหดเหี้ยมที่ชื่อหลัวอี้หยางเหริน
ยามนั้นซ่างเป่าเห็นมารดายืนนิ่งๆ เขาจึงก้าวมาหา แล้วจับมือไว้ ริมฝีปากเล็กๆ ยื่นออก และเอ่ยเสียงสดใส
“หม่ามี้เจี๋ย เป็นหม่ามี้ของน้องไง สวยด้วย โสดด้วย ยังไม่มีแฟนนะ”
สถานการณ์ที่ชวนตึงเครียดอยู่นั้น พลันเปลี่ยนไป และคนเป็นมารดาอยากเอาหน้าแทรกแผ่นดินหนีจริงๆ และ
ฮ่าวเจ๋อยิ้มให้สิงหยุนเจี๋ย ส่วนโทนี่รู้สึกว่าเขาโชคดีที่ได้มากินข้าวเย็นมื้อนี้ แถมได้ทำความรู้สึกแม่ม่ายคนสวยที่ทำอาหารได้เลิศรส
“ป้ารู้จ๊ะ แต่เมื่อกี้ หม่ามี้ของเสี่ยวซ่าง พูดเหมือนว่าเป็นหมอในโรงพยาบาล”
เหมยลี่กล่าวเช่นนั้น สิงหยุนเจี๋ยเลยยกมือขึ้นจับที่หน้าอกข้างซ้าย หัวใจเธอเต้นรัวแรง และเหมือนคำว่า ‘หมอ’ มีอิทธิพลต่อหญิงสาวอย่างมหาศาล
“โถ เจ่เจ้ ฉันเป็นคนไร้หัวนอนปลายเท้า จะเป็นหมอได้อย่างไร ที่พูดไปเมื่อครู่ ก็เพราะ...”
หญิงสาวกำลังจะกล่าวบางสิ่ง แต่หยุดคิดอยู่ประเดี๋ยวก่อนเอ่ยว่า “คงเพราะตอนที่ยังเด็ก เคยรับใช้บ้านหมอทหารฝรั่ง และเป็นพยาบาลฝึกหัดดูแลคนป่วยด้วย เรื่องนี้ฝังใจฉันเสมอมา”
สิ่งที่สิงหยุนเจี๋ยกล่าว มีมูลความจริง ช่วงเวลาที่อยู่กับตาและยายในแผ่นดินใหญ่ เจ้าของร่างเป็นบุตรบุญธรรมของทหารต่างชาติ มีโอกาสได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษ การแพทย์ และศึกษาการทำขนมกับคุณนายฝรั่ง กระทั่งย้ายมาที่เกาะซานเฉียง เพื่อดูแลช่วงเวลาสุดท้ายของบิดา จากนั้นหายนะก็เกิดขึ้นกับชีวิตสิงหยุนเจี๋ย
“อ่อ อาเจี๋ยเคยเล่าให้ฟัง เรื่องนี้เจ่เจ้เกือบลืมเลย”
เหมยลี่กล่าวจบ เสียงร้องของซินอี๋ก็ทำให้ทุกคนตกใจ
“เร็ว ผู้ชายคนนั้นท่าจะอาการไม่ดี น้ำลายไหลยืดเลย”
สถานการณ์ตอนนี้ตึงเครียดจัด จู่ๆ จางเฝิงปากเขียวคล้ำ น้ำลายไหลยืด
“งูพิษแน่ๆ ทำตามที่ผมบอกเร็ว และคุณช่วยจับตัวเขาไว้... เจ้เหมยลี่ ไปเอาช้อนมาให้ผม ไม่อย่างนั้นเฮียจางอาจกัดลิ้นตัวเองขาด!”
คนที่สั่งการอย่างรวดเร็วคือฮ่าวเจ๋อ ทว่าทั้งหมดขัดต่อความรู้ในหัวของสิงหยุนเจี๋ย และเธอจะยอมให้เหตุการณ์อันตรายเช่นนี้เกิดขึ้นไม่ได้
“เอ๊ะ อาเจี๋ย... เธอมาแย่งช้อนไปจากเจ่เจ้ทำไม แล้วนั่นหยุดนะ” คราวนี้เหมยลี่มีอารมณ์กรุ่นๆ ด้วยสิงหยุนเจี๋ยไม่ใช่แค่เกะกะ เธอยืนกรานไม่ให้ทุกคนทำตามที่ฮ่าวเจ๋อสั่ง
“พี่เจ๋อ พูดมาไม่ถูกต้อง ทุกคนฟัง และทำตามฉันบอก ถ้าอยากให้เฮียจางมีชีวิตรอด”
ดวงตาสิงหยุนเจี๋ยมีประกายแรงกล้า และทำให้ทุกคนที่มองเธอแปลกๆ เกิดความรู้สึกเชื่อมั่นอยู่ลึกๆ ว่าเธอต้องการช่วยจางเฝิง แต่มันเป็นวิธีการซึ่งแตกต่างออกไป
ฝ่ายสิงหยุนเจี๋ยไม่รอช้า เธอส่งเสียงเข้มๆ
“จับให้เขานอนตะแคงป้องกันการสำลักน้ำลาย เสมหะ และลิ้นจะได้ไม่ตกไปขวางการทางเดินหายใจ”
สิ่งที่สิงหยุนเจี๋ยเอ่ยชัดเจน มีความน่าเชื่อถือ ผู้ชายทั้งสองคนจึงทำตามที่เธอบอก
“อีกอย่าง...เห็นรอยกัดที่แขนเฮียจางไหม มันไม่มีเขี้ยว มีแต่รอยฟัน”
“หมายความว่ายังไงอาเจี๋ย”
เหมยลี่ถาม และพลอยตื่นเต้นไปด้วย หัวใจเธอแทบกระโจนออกมาอยู่นอกอกแล้ว
“อืม ดูด้วยสายตา มันอาจเป็นงูที่ไม่มีพิษ แต่เรื่องนี้ประมาทไม่ได้ อย่างไรต้องดามแขนข้างที่ถูกกัด และต้องให้มีการเคลื่อนไหวน้อยที่สุด จากนั้นก็รีบไปส่งโรงพยาบาล”
“โรงพยาบาล…” เหมยลี่เอ่ยถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจ การรักษากับฝ่ายรัฐของคนในยุคสมัยนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย
“อาเจี๋ย จำได้ไหมว่าเธอคลอดลูกที่ไหน ทั้งที่วันนั้นไปถึงมือหมอ แต่พวกเขายุ่งวุ่นวาย จนเด็กทั้งสองคนคลอดอยู่ตรงทางเดินของโรงพยาบาล โชคดีที่หมอฮ่าว เป็นธุระวิ่งเต้นให้ เลยได้พยาบาลใจดี กับลูกศิษย์หมอฮ่าวอีกหลายคนดูแลจนเธอแข็งแรง”
“ฉันรู้ แต่ที่นี่ เราไม่มีวัคซีนหรือเซรุ่ม แม้แต่ยาแก้อักเสบ”
เมื่อสิงหยุนเจี๋ยกล่าวเช่นนั้น ฮ่าวเจ๋อที่จัดท่าทางให้จางเฝิงตามที่เธอบอกเรียบร้อย ก็เอ่ยเสียงเครียด
“แล้วทำไม อาเจี๋ยถึงไม่ให้พี่ใช้สมุนไพรที่มีรักษาแผลของเฮียจาง งูกัดคนในตรอกปู้โจวมีให้เห็นบ่อยๆ เราก็ดูแลกันอย่างนี้มาตลอด”
และคำถามดังกล่าวสั่นคลอนต่อความเชื่อสิงหยุนเจี๋ยเหลือเกิน
“ฉัน... อยากมั่นใจว่า ทำความสะอาดแผลได้ถูกต้อง และไม่มีสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกายของเฮียจาง”
“ฮึ เธอพูดเหมือนพวกหมอหน้าเลือดดีแต่ขูดรีดเงินจากคนไข้ ห้ามไม่ให้ชาวบ้านต้มยากินเอง หรือเก็บสมุนไพรมารักษาโรค อีกอย่างการฝังเข็มของเตี่ย มันเคยช่วยเธอหายป่วยมาตั้งกี่ครั้ง เรื่องนี้จำไม่ได้หรอกหรือ!”
อันที่จริงฮ่าวเจ๋อไม่ต้องการใช้คำพูดรุนแรง แต่เขาเชื่อเสมอว่า การแพทย์แผนจีนช่วยชีวิตผู้คนได้ไม่ต่างจากยาเม็ดที่ผลิตในโรงงานใหญ่ๆ หรือยาที่มีขายกันเฉพาะในโรงพยาบาล รวมถึงวัคซีนกับเซรุ่มอย่างที่สิงหยุนเจี๋ยกล่าว
“พี่เจ๋อ... ฉันเคารพหมอฮ่าว และพี่ ทว่าบางสิ่งที่ฉันรู้มาทำให้ไม่สามารถยอมเห็นพี่ฆ่าคนทางอ้อม!” เสียงของสิงหยุนเจี๋ยสั่น ดวงตากลมโตแดงระเรื่อ ซึ่งสิ่งที่กล่าวออกมานั้น เธอหวังดีต่อฮ่าวเจ๋อจริงๆ