คุนเป่าที่เย็นนี้เป็นผู้ช่วยเหมยลี่ ซึ่งส่วนมากคือการชิมรสชาติ เขาทำหน้ายุ่งๆ ก่อนเอ่ยว่า
“ป้าครับ... อันนี้เค็ม ไก่เค็ม ต้องคายทิ้ง”
เหมยลี่ประหลาดใจ ฝีมือเธอตกขนาดนั้นเลยหรือ เมื่อใช้ซ่อมจิ้มน่องไก่นึ่งกินชิ้นเล็กๆ หญิงวัยกลางคนจึงทำหน้าแหย คงเป็นขั้นตอนที่เธอทำความสะอาดไก่ แล้วแช่ในน้ำเกลือนานไปหน่อย ก่อนจะนึ่งยังทาเกลือบางๆ ที่ผิวหนัง รวมถึงการใช้น้ำปลาทาที่หนังไก่อีกชั้น เพราะตั้งใจทำไก่นึ่งน้ำปลา
“ป้าไม่ได้ทำนาน... ลืมสูตรนิดหน่อย”
เหมยลี่กล่าวเช่นนั้น แต่ความจริงงานในภัตตาคารโรงแรม เธอเป็นแค่คนล้างจาน ล้างผักและเตรียมของ หากชอบโม้ไปทั่วว่าตนเป็นผู้ช่วยเชฟ ด้วยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา อาชีพดังกล่าวทำให้เหมยลี่ภูมิใจที่สุดแล้ว
“ปลามันจืด น้ำราดอันนี้เหม็นไหม้!”
คุนเป่าพลิกปาเก๋าชุปแป้งทอดให้ดู เด็กชายทำจมูกขยุกขยิก สีหน้าเขาบอกให้รู้ว่าหิว และคืนนี้คงไม่มีของอร่อยตกถึงท้องอย่างที่เหมยลี่พูดอวดเสียดิบดี
“ยังเหลือข้าวผัดสับปะรด เชื่อใจป้าเถอะว่าต้องอร่อย”
เหมยลี่เตรียมผัดข้าว ด้วยตั้งใจทำเป็นจานสุดท้าย เพื่อเวลายกขึ้นโต๊ะอาหารจะได้ไม่เย็นชืด หากยามนั้น สิงหยุนเจี๋ยก้าวมาในครัว เธอกวาดตามองไปทั่วๆ และยิ้มบางๆ บนสีหน้าด้วยค่อนข้างรก และหลายอย่างไม่เป็นระเบียบ นั่นเป็นเพราะเหมยลี่ทำงานอย่างหัวหมุนทั้งเร่งรีบ
“ให้หม่ามี้ผัดข้าวได้ไหม... เดี๋ยวคุนคุนจะนวดไหล่ นวดขาให้ป้า รับรองโรคคนแก่หายแน่นอน”
คุนเป่าเป็นเด็กฉลาด กำลังมือก็ดี เขาเลยเสนอเรื่องดังกล่าวกับเหมยลี่
แม้รู้สึกเสียหน้า แต่เหมยลี่รู้ว่า สิงหยุนเจี๋ยมีพรสวรรค์ด้านอาหาร ทว่าอีกฝ่ายพึ่งฟื้นจากการหลับยาว เธอกลัวอาจล้มหมอนนอนเสื่ออีก
“ฉันกำลังอยากออกแรงอยู่พอดี เมื่อกี้ได้กินกล้วย กับเซาปิง แล้วยังน้ำตาลแดงต้มถ้วยใหญ่ ร่างกายดีขึ้นมาแล้วเจ่เจ้”
“ตามใจเธอ แต่ถ้าไม่อร่อย เจ่เจ้จะบ่นให้หูแฉะทั้งแม่ทั้งลูกเลย”
สิงหยุนเจี๋ยยกมือปิดปากตน ด้วยเธอรู้ว่าตนมักบ้าจี้เวลาหัวเราะ ทั้งเสียงไม่ได้น่ารักเหมือนหน้าตา อาจทำให้คนอื่นตกใจ
“ดูสิ ขำขนาดนี้ เจ่เจ้ว่าอาเจี๋ย คงกำลังอารมณ์ดี หรือเป็นเพราะว่าเย็นนี้มีผู้ชายมากินข้าวร่วมโต๊ะก็ไม่รู้”
ดวงตากลมโตหรี่ลงเล็กน้อย เธอไม่อยากให้เหมยลี่พูดอะไรเกินเลย ด้วยห้องครัวแคบ อีกทั้งโต๊ะด้านนอกที่ฮ่าวเจ๋อนั่งอ่านนิทานให้ซ่างเป่าฟังอยู่ใกล้ๆ เขาอาจได้ยินสิ่งที่พาดพิงถึงตนได้
“ฉันเป็นแม่ม่าย ลูกกำลังโต เจ่เจ้อย่าหาเรื่องทำให้ต้องลำบากใจเลย”
“เออๆ หมอไม่ชอบยังมีนายทหาร นายห้าง แล้วก็...” เหมยลี่นึกถึงโทนี่ หนุ่มหน้าอ่อนคนนั้น ซึ่งเธอสัมภาษณ์เขาเสียละเอียดยิบ ซึ่งทำให้รู้ว่าอายุเขายังน้อย และกำลังฝึกงานในสำนักงานทนายความที่ถนนฝั่งทิศเหนือตรอกปู้โจว เงินเดือนก็มาก แต่งตัวภูมิฐาน ทั้งยังพูดภาษาอังกฤษได้คล่อง
“ฉันไม่สนใจใครหรอก ตอนนี้อยากมีเงิน เลี้ยงดูตัวเองกับลูก”
“อาเจี๋ย ผู้หญิงเรายังสาว ยังสวย หากใช้สิ่งที่สวรรค์มอบให้อย่างคุ้มค่า มันไม่ใช่เรื่องผิดหรอกนะ”
“ถ้าเจ่เจ้หมายถึงอยากให้ฉัน มี ‘พ่อใหม่’ ให้สองแฝด เรื่องนั้นไม่เคยอยู่ในหัวเลย”
“อุ๊ย อาเจี๋ยพูดเองนะ...”
เหมยลี่ว่าแล้วก็หันไปทางคุนเป่า
“เสี่ยวคุน พ่อใหม่ยังมีไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น มาหาแฟนหนุ่มๆ ให้หม่ามี้ของหนูดีไหม”
“แฟน!?”
เด็กชายทวนคำดังกล่าว ก่อนร้องอ๋อขึ้นมา
“เหมือนที่ซ่างเกอ เป็น ‘แฟน’ กับเด็กอ้วนขี้มูกโป่ง ร้านขายไอศกรีมไหม วันก่อนเด็กเสี่ยวเจิน เอาอมยิ้มมาขอแต่งงานกับซ่างเกอ พอซ่างเกอปัดทิ้ง ก็ร้องไห้จ้า และยกนิ้วโป้งให้ด้วย”
เมื่อเหมยลี่กับสิงหยุนเจี๋ยได้ยินอย่างนั้น พวกเธอต่างคิดว่า สิ่งสำคัญตอนนี้ไม่ใช่การหาแฟนให้สิงหยุนเจี๋ยหรือพ่อใหม่สำหรับเด็กๆ หากคงหมายถึงรีบไปทำความรู้จักกับ ว่าที่หลานสะใภ้ เสี่ยวเจิน หรือแม่สาวน้อยขี้มูกโป่งคนนั้นมากกว่า
โดยปกติบนโต๊ะอาหารในห้องเล็กๆ นี้ กินข้าวกันแค่สามแม่ลูก บางวันมีเหมยลี่มาเพิ่มเท่านั้น แต่วันนี้แขกมากหน่อย ดังนั้นจึงมาตั้งโต๊ะบริเวณโถงทางเดินหน้าห้องเช่าซึ่งกว้างราวๆ เมตรครึ่ง
และห้องของสิงหยุนเจี๋ยอยู่มุมติดบันได ห้องแรกนั้นไม่มีคนอาศัย ถัดจากห้องเธอลงไปก็ร้างหมดจนไปถึงห้อง 208 (ซึ่งพึ่งมีข่าวน่าเศร้า) และเป็นบันไดทางลงอีกฝั่ง
โทนี่เป็นแขกแปลกหน้าคืนนี้ ส่วนซินอี๋มาช้ากว่าคนอื่น
ตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่า หล่อนมาตามหาญาติ พอซักไปซักมาถึงรู้ว่าเป็นคนรักเก่าที่หอบเอาเงินก้อนสุดท้ายที่เป็นสินสอดหนีจากเมืองเก่า และหล่อนเกือบตามตัวเขาพบแล้ว ทว่าสุดท้ายฝ่ายนั้นก็หายเข้ากลีบเมฆ
แน่นอนซินอี๋ไม่ได้พูดถึงการที่นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์นายทหาร นั่นเป็นเพราะกลัวความผิดในการขับรถเฉี่ยวซ่างเป่า อีกอย่างเด็กชายไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรร้ายแรง กระนั้นหล่อนก็ถูกเหมยลี่เค้นสอบความจริงอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง
******************
ซ่างเป่าเดินมาหยุดตรงหน้าซินอี๋ และเอียงคอมองหล่อน
“ไม่ได้แต่งหน้าเหมือนตอนนั่งสองล้อรถคันโก้!”
ซินอี๋หน้าซีดเผือด หล่อนอยากหายไปจากบริเวณนั้น
“พี่คนสวย เห็นน้องลอยขึ้นฟ้าอ๊ะเปล่า” เด็กชายถามอีกหน
ซินอี๋ส่ายหน้าหวือ และหันไปทางอื่น กระทั่งพบหนุ่มหล่อ หัวใจสาวเต้นไหวโครมคราม หล่อนยอมรับว่าโทนี่ผิวขาวเหลืองหน้าตาดี ทว่าฮ่าวเจ๋อ กลับเป็นผู้ชายร่างสูงผิวขาวจัด ทั้งยังใส่แว่นตา พอเขาแนะนำว่าเป็นหมอแผนจีนโบราณ หล่อนเลยทอดสะพานอย่างไม่มีเนียมอาย
“แบบนี้ ต้องตรวจภายในคนไข้สาวๆ ไหมคะ อีอี๋เคยรู้ว่า โรคบางโรค ใช้สมุนไพรพิเศษ และต้องรักษากันนาน แต่ปลอดภัยกว่าใช้แพทย์แผนใหม่”
ฮ่าวเจ๋อวางสีหน้าขรึม ไม่ถึงกับเมินเฉย กระนั้นเขาก็ตอบพอเป็นพิธี ทว่าการกระทำเช่นนั้นทำให้ซินอี๋เข้าใจว่า ชายหนุ่มเป็นคนดุตามสายอาชีพ ซึ่งเร้าใจหล่อนไปเสียอีก
“อีอี๋ เพิ่งเคยเจอหมอหนุ่มๆ ที่ใช้สมุนไพรกับฝังเข็มตัวเป็นๆ แถมเป็นหมอกระเป๋าเดินเท้า อย่างนี้... อีอี๋ขอไปช่วยงานเวลาว่างๆ ได้ไหมคะ”
เหมยลี่ขัดหูเสียงสูงต่ำๆ ของซินอี๋และปวดหู เธอเลยกระแอมไอ แล้วเอ่ยว่า
“ค่าทำขวัญเสี่ยวซ่างร้อยหยวน เธอยังติดอยู่นะ ตอนนี้ยังมีค่าอาหารมื้อค่ำด้วย”
ซินอี๋หันไปยิ้มประจบเหมยลี่ แล้วเอ่ยว่า
“ขอให้หนูหางานได้ก่อนอาเจ้ ตอนนี้เรื่องห้องพักก็ยังไม่เรียบร้อย” ซินอี๋ตั้งใจจะไปเป็นสาวขายหมาก หาเงินสักก้อน และเรื่องนี้จำเป็นต้องปกปิดคนอื่นไว้
“เออๆ รู้ทั้งรู้ว่างานยังไม่มี ที่ซุกหัวนอนก็หาไม่ได้ เธอควรหัดสงบเสงี่ยมสักหน่อยเถอะแม่คุณ!”
เหมยลี่ไว้หน้าสิงหยุนเจี๋ย เลยต่อว่าซินอี๋แบบอ้อมๆ หากเพียงเท่านั้น สถานการณ์ก็ชวนให้อึด จนทุกคนปิดปากเงียบ
กระทั่งสิงหยุนเจี๋ยก้าวมาที่โต๊ะอาหาร และได้ถานเจี๋ยนถือข้าวผัดสับปะรดที่ทำเสร็จใหม่ๆ ตามมา สายตาทุกคู่จึงมองจานอาหารดังกล่าวด้วยความทึ่ง
“ผมเคยเห็นแบบนี้ในรูปถ่าย และภัตตาคารอาหารไทย หรือโรงแรมหรูๆ เท่านั้น”
“ใช่ไหม ดูสินี่ขนาดเครื่องไม่ครบ อาเจี๋ยยังเนรมิตได้น่ากินอย่างนี้” เหมยลี่รีบอวดใหญ่
“เสียดายไม่ได้เอากล้องมา ไม่อย่างนั้นผมจะถ่ายภาพไปให้คนที่สำนักงานชม” โทนี่กล่าว และอดกลืนน้ำลายลงคอไม่ได้
ฝ่ายซินอี๋ไม่อยากเชื่อสายตาตน หล่อนมาจากบ้านนอก ทว่าเป็นสาวหัวสมัยใหม่ พอจะรู้จักอาหารจานนี้ และยังเคยชิมด้วย
“พี่สาวผัดมันจริงๆ หรือ ดูสิไข่ที่เคลือบในข้าวสวย และกลิ่นผงกะหรี่ มันเตะจมูกฉันมาก และดีกว่าจานไก่นึ่ง และปลาราดพริกพวกนี้เป็นกอง”
ซินอี๋เอ่ยจบ เหมยลี่จึงทำตาขวางใส่ เธออยากไล่อีกฝ่ายไปให้พ้นๆ หน้าเสียตอนนี้
“อาเจี๋ยนั่งลงเถอะ เดี๋ยวเจ่เจ้ จัดการที่เหลือเอง”
เหมยลี่ว่าแล้วจึงตักข้าวผัดสับปะรดให้ทุกคน และพอได้กลืนลงท้อง พวกเขาต่างยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ทำให้อาหารมื้อค่ำนี้ยอดเยี่ยม ทว่ากินยังไม่ทันจะอิ่ม ได้มีเสียงร้องโหวกเหวกโวยวาย ก่อนที่เหงาหนึ่งจะตะเกียดตะกาย มาอยู่บนโถงทางเดินหน้าห้องหมายเลข 208 !