02
’หัวอกคนชอบอยู่ฝ่ายเดียว (2)’
“มิรา”
Rrrrrrrrr~
“ยัยมิรา…”
Rrrrrrrrrr~
“ยัยมิราโว้ยย!พ่อแกโทรมาอ่ะ รับหน่อย”ฉันสะดุ้งโหยงตาลีตาเหลือกตื่นเพราะตกใจเมื่อยัยนัดตี้ตะโกนใส่หูฉันดังสนั่นไปทั่วทั้งบริเวณ
Rrrrrrrr~
‘ว่าที่แฟน’
“แกจะตะโกนทำไมเนี่ย สะกิดเรียกไม่เป็นหรือไง”ฉันบ่นอุบเมื่อหยิบโทรศัพท์ที่มีท่าทีว่าจะสั่นไม่หยุดดูชื่อคนโทรเข้าแล้วพบว่าเป็นเหนือ
“อีกนิดฉันจะถีบอยู่แล้วแกยังไม่กระดุกกระดิกเลย”มันว่าก่อนจะก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือการ์ตูนในมือต่อ ยุคนี้ใครเขาก็อ่านในแอพกันแล้วทั้งนั้นยัยนี่ยังอ่านหนังสืออยู่อีก วินเทจเสียจริง
Rrrrrr~
“ฮัลโหล”เพราะเสียงสั่นของโทรศัพท์ที่เพิ่งจะเงียบไปสั่นขึ้นอีกครั้งฉันจึงหันกลับมาสนใจแล้วกดรับสายแม้จะยังตื่นไม่เต็มตา
“(ทำไมรับช้า)”เสียงหงุดหงิดจากคนปลายสายทำเอาฉันที่กำลังจะอ้าปากหาวต้องงับลง มันไปหงุดหงิดใครมาอีกละเนี่ย
“หลับอ่ะ แกมีไร”ฉันตอบแล้วสีหูสีตาเพราะยังง่วงไม่หาย ก็เมื่อคืนกว่าจะข่มตาหลับได้เกือบตีสองเเน่ะ
“(ตอนกลางคืนไม่ยอมนอน บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เพลาๆลงบ้างไอ้การดูซีรี่ย์ยิงยาวจนเช้าของแก)”ฉันเผลอกรอกตามองบนเมื่อเสียงบ่นตามเสียงปลายสายดังออกมาเป็นระยะๆ
“ไม่ได้ดู มีเรื่องให้คิด”ฉันเบรคเพราะเริ่มหงุดหงิดที่มันเอาแต่บ่นเรื่องนี้มาเป็นสิบยี่สิบรอบ
จะให้พูดคืนว่ามันก็เอาแต่หิ้วสาวไปห้อง นอนบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ก็ดันกระดากปากขึ้นมาเลยทำได้แค่ด่ามันในใจเท่านั้น
“(มีเรื่องอะไรให้คิด)”
“เรื่องของแกไง”ฉันบอกตามความเป็นจริงแม้ความจริงจะฟุ้งซ่านเรื่องของมันจนต้องหาซีรี่ย์ดูยาวรวดล่วงเลยเวลาไปถึงตีสองก็เถอะ “แล้วโทรมามีไร”ฉันถามอย่างตั้งใจเปลี่ยนเรื่อง
“(ตอนเที่ยงจะไปกินข้าวด้วย)”แค่นี้อ่ะนะ?
“ปกติก็มา จะโทรมาบอกทำไม”ฉันบอกแต่ประโยคถัดมาก็ทำเอาฉันสะอึกไปครู่
“(เบลจะไปกินด้วยเลยโทรบอก เผื่อไม่โอเค)”
“อือ แล้วแต่แก”ฉันเม้มปากเป็นเส้นตรงก่อนจะบอกสั้นๆ แม้ในใจจะรู้สึกโหวงมากก็ตามที
แต่แล้วยังไงฉันไม่ได้อยากให้มันอึดอัดเพราะฉันชอบมันสักหน่อย
“(เหรอ อือ)”
“แค่นี้นะ”
“(เออ)”ฉันเก็บโทรศัพท์ลงในถุงผ้าใบประจำแล้วถอนหายใจออกมายาวเหยียดจนยัยนัดตี้เงยหน้าจากหนังสือการ์ตูนขึ้นมามอง
“เป็นไร ทำหน้าเหมือนพ่อแกจะพาแม่ใหม่มากินข้าวด้วยงั้นแหละ”ฉันเบ้ปากอย่างยอมรับแทนคำตอบเมื่อยัยนัดตี้พูดอย่างกับตาเห็น ผิดแค่พ่อที่ว่าคือไอ้เหนือไม่ใช่พ่อจริงๆ “โฮร่~ จริงเหรอ”
“อืม”ฉันพยักรับขึ้นลงเบาๆพลางเบะหน้าเหมือนคนกำลังจะร้องไห้แต่น้ำตาดันไม่ไหลจริงๆนี่สิ
“แกยังไม่ชินอีกเหรอ เหนือมันพาผู้หญิงมากินข้าวกับแกไม่ซ้ำหน้าตั้งกี่คนแล้ว”คนตรงหน้าบอกด้วยท่าทีไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร
ก็จริงอย่างที่ยัยนัดตี้ว่านั่นแหละ เหนือพาผู้หญิงมากินข้าวกับฉันตั้งแต่ปีสองแถมในหนึ่งเดือนแทบไม่เคยซ้ำหน้าเลยสักครั้ง
ส่วนฉันก็ทำได้แค่จำใจนั่งร่วมวงกับผู้หญิงของมันทุกครั้งไป แม้จะเจ็บจี๊ดๆอยู่ในใจลึกๆก็เถอะ
“ฉันควรชินเหรอ คนที่ชอบพาผู้หญิงมากินข้าวด้วยไม่ซ้ำหน้าเลยนะ”ฉันบอกก่อนจะฟุบหน้าลงกับหนังสืออย่างหมดอาลัยตายอยาก
“อือ หรือไม่ก็เลิกชอบมันแล้วไปชอบคนอื่นแทน”พูดอย่างกับเลิกชอบง่ายนักแหละ
“ไว้พิจารณาอีกที”ฉันบอกเสียงอู้อี้ทั้งที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองคู่สนทนาแต่อย่างใด ”แต่ฉันไม่ได้อยากเลิกชอบมันนิ ถ้ายังไม่เลิกชอบจะบังคับให้เลิกชอบได้เหรอแก ฮรุก”ฉันพูดคนเดียวไม่หยุดเหมือนคนบ้าที่สติเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“ไม่รู้ ไม่เคยชอบใคร”คนที่ไม่เคยชอบใครยักไหล่เมื่อฉันผละหน้าขึ้นมาจากกองหนังสือ
“อยากเป็นเหมือนแก”ถ้าเลือกได้ฉันก็ไม่อยากชอบมันหรอก ชอบคนที่เขาไม่มีทางชอบเราอ่ะมันแย่จะตาย แย่กว่าคือคนที่ชอบเป็นเพื่อนเนี่ยแหละ
ติ๊ง!
ฉันควานหาโทรศัพท์ในถุงผ้าขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงแจ้งเตือน
‘รายละเอียดอยู่ในโน๊ตนะ ’ประธานชั้นปี
ฉันพิมพ์ตอบบอสทันทีเมื่อกดอ่านข้อความที่เด้งขึ้นเมื่อครู่ก่อนจะกดออกจากแอพไลน์แล้ววางมันลงบนโต๊ะ
ติ๊ง!
‘เย็นนี้ประชุมเสร็จไปกินข้าวหน้ามอกัน เราอยากอธิบายเรื่องไปค่ายกฎหมายสัณจรให้มิราฟังด้วย’ประธานชั้นปี
ฉันอ่านข้อความที่เพิ่งจะได้รับเมื่อกี้ด้วยความรู้สึกแปลกใจก่อนจะพิมพ์ตอบรับคำชวนของบอสแม้จะตงิดนิดหน่อย แต่มันคงไม่มีอะไรหรอกมั้ง บอสคงอยากเลี้ยงข้าวตอบแทนที่ฉันตกปากรับคำว่าจะช่วยเรื่องค่ายเฉยๆนั่นแหละ
“ไปซื้อข้าวกัน”เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับกลิ่นกายอ่อนๆที่คุ้นเคยลอยมาเตะจมูกทำให้ฉันรู้ได้ในทันทีว่าเป็นเหนือ
“พาเบลไปซื้อก่อนเลย คุยธุระฯแปป”ฉันเงยหน้าบอกเหนือก่อนจะลอบมองเบลที่ยืนกอดอกแสดงสีหน้าไม่พอใจอยู่ข้างๆ
รู้หรอกว่าเหม็นขี้หน้าฉันแต่ไม่ต้องแสดงออกขนาดนี้ก็ได้มั้ง
“รีบคุย”เหนือพูดจบก็ล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกง ดวงตาคมกริบของมันมองมาที่ฉันเหมือนกับกำลังตำหนิ
“เบลหิวแล้วค่ะ เราไปซื้อก่อนมิราก็ได้มั้งคะ ใกล้แค่นี้เอง”เบลที่เสนอตัวย่างกายเดินมาควงแขนของเหนือแล้วทำหน้าออเซาะ
“…”ฉันแกล้งกลับมาสนใจพิมพ์ข้อความในมือถือก่อนจะกดส่งเพื่อตอบบอสทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่กี่วิก็ตอบไปแล้ว
‘ติ๊ง!’
‘ไว้เจอกันครับ’ประธานชั้นปี
“เบลไปซื้อก่อนก็ได้ เรารอเพื่อนแปป”ประโยคคำตอบของเหนือทำเอายัยนัดตี้ที่นั่งเงียบดูสถานการณ์อยู่นานมองหน้าฉันด้วยดวงตาที่เบิกกว้างกว่าปกติ
พอฉันเงยหน้าลอบมองยัยเบลถึงเห็นว่าเธอช็อคพอสมควร
แต่ฉันกลับรู้สึกเฉยในสิ่งที่ได้ยิน ก็เหนือมันเป็นแบบนี้ตลอดต่อให้มันจะพาใครไม่รู้มากินข้าวด้วยมันก็ยังทำอย่างที่เคยทำ มันจะรอฉันทุกครั้งเพื่อไปซื้อข้าวด้วยกัน นี่เลยเป็นหนึ่งในสาเหตุที่บรรดาผู้หญิงของเหนือไม่ชอบหน้าฉันมั้ง
ซึ่งฉันควรดีใจกับการกระทำนี้แต่กลับไม่รู้สึกแบบนั้นเลยสักนิด
“รอก็ได้ค่ะ”แม้จะไม่พอใจแค่ไหนแต่เธอก็ทำได้แค่ข่มเสียงแล้วยืนรอฉันเท่านั้น
“ไปยัง หิว”ร่างสูงเร่ง
“ไปซื้อข้าวกันนัดตี้”ฉันบอกเมื่อวางโทรศัพท์ควานหากระเป๋าเงินในถุงผ้าลุกขึ้นจากโต๊ะเดินนำเข้ามาในโรงอาหาร
เนื่องจากโรงอาหารกลางหนึ่งมีพื้นที่ค่อนข้างแคบ มหาลัยฯจึงสร้างโดมเยื้องลงมาด้านหน้าแล้ววางโต๊ะม้าหินอ่อนเพื่อเพิ่มพื้นที่ให้พอดีกับจำนวนคนที่อาศัยจุดนี้ทานข้าว เด็กนิติฯจึงใช้พื้นที่ตรงนี้เป็นศูนย์รวมในการนั่งอ่านหนังสือและพบปะพูดคุยกัน แถวนี้เลยมีแต่เด็กนิติฯซะส่วนใหญ่แม้ตึกข้างๆจะเป็นตึกวิศวะฯตึกบริหาร
“ถือไปด้วย”เหนือยื่นจานข้าวของตัวเองส่งมาให้ถืออย่างเคย ก่อนจะหมุนตัวเดินไปร้านน้ำที่ไม่ห่างกันมากเมื่อฉันรับจานข้าวมันมา
“ไม่แปลกใจที่ผู้หญิงของเหนือจะเหม็นหน้าแก”ยัยนัดตี้พูดขึ้นเสียงเบาเมื่อเราสองคนเดินกลับมาที่โต๊ะม้าหินอ่อน
“ทำไมเหรอ“ถ้าตอบว่าเพราะมันฝากฉันถือจานข้าวนะจะตบให้
“คิดเองสิ แค่นี้ต้องให้บอกเหรอ”
“ยัยนี่”ฉันตักข้าวเข้าปากพอดีกับร่างสูงที่เดินถือขวดน้ำเปล่ามาที่โต๊ะโดยมียัยเบลขนาบข้างเดินหน้าบึ้งมานั่งแหมะลงข้างๆยัยนัดตี้
ติ๊ง!
‘มิราทานข้าวยัง’ประธานชั้นปี
ฉันหยิบขวดน้ำที่เหนือเพิ่งเปิดฝาขวดวางไว้ให้เมื่อกี้ขึ้นดื่มหนึ่งอึกก่อนจะควานหาโทรศัพท์ในถุงผ้าที่วางอยู่เก้าอี้ตัวถัดไปขึ้นมากดเปิดอ่าน
ติ๊ง!
‘ตอนบ่ายเราว่าง เดี๋ยวไปเลี้ยงกาแฟที่เพลโต’ประธานชั้นปี
“รีบกิน”ทันทีที่กำลังจะพิมพ์ตอบกลับเสียงขรึมของคนที่นั่งจ้วงข้าวเข้าปากอยู่ข้างๆก็ดังขึ้น
“ซ้อมว่าความเหรอแก เห็นเสียงแจ้งเตือนดังไม่หยุดเลย”ยัยนัดตี้ถามเมื่อลอบมองเหนือ
“เปล่า บอสอ่ะ”ฉันตอบก่อนจะวางโทรศัพท์ลง “ตอนบ่ายฉันพิมพ์ฟ้องรอแกที่เพลโตนะ”ฉันบอกยัยนัดตี้เมื่อตักข้าวเข้าปากเคี้ยวเรื่อยๆ
“เค”มันรับคำแค่นั้นแล้วลอบมองเหนืออีกครั้งจนฉันต้องหันมองตาม พอเห็นสีหน้าร่างสูงที่ยกมือค้ำคางจ้องฉันอยู่ก่อน ก็เล่นเอาฉันต้องเผลอหลุบตาต่ำในทันที
ไอ้หน้าง้ำๆนี่มันอะไรอีกล่ะ?
“มองทำไม”เพราะใจอยากสู้กับสายตาของคนตัวโตจึงออกปากถาม
“เปล่า”ปฏิเสธหน้าตายไม่พอยังยักคิ้วอย่างกวนประสาทอีก
“กวนตีน”เมื่อคำถามนั้นไม่ได้คำตอบ ฉันจึงแกล้งเบนหน้าหนีเพราะสู้กับสายตาร้อนแรงแปลกๆของเหนือไม่ได้
อะไรของมันกันอยู่ๆก็มองหน้าแล้วส่งสายตาแปลกๆให้เนี่ยนะ
โคตรจะกวนตีนเลย!
“ตอนเย็นหลังประชุมกลางเหนือว่างไหมคะ มีหนังเข้าใหม่เบลอยากดูอ่ะ”เสียงหวานของเบลดึงสายตาฉันไปสนใจเธอ เหนือจึงละสายตามองตาม
“ครับ”รอยยิ้มหวานปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวยเมื่อได้รับคำตอบที่พึงพอใจ แต่ไม่นานสายตาคู่นั้นก็แสดงออกถึงความไม่พอใจแล้วส่งมายังฉันแทน
อีกแล้วเหรอ? ถ้าจะให้นับรายนี้คือคนที่สิบสามที่เหม็นน้ำหน้าฉันแบบเข้าไส้!
“เหนือน่ารักที่สุดเลยค่ะ”เสียงหวานเปลี่ยนโหมดเป็นแมวน้อยก่อนจะเอื้อมมือหยิกแก้มขาวของเหนืออย่างหยอกล้อ
การกระทำที่ถึงเนื้อถึงตัวของเบลทำให้เหนือซึ่งชะงักไปนิดหนึ่งเอนกายหนีจากมือเรียวสวยจนเธอหน้าเสียฉันจึงแกล้งมองไม่เห็น
เพราะไม่ได้อยากจะเห็น…
“…”
คนที่ชอบพาผู้หญิงที่ควงอยู่มากินข้าวด้วยไม่พอยังต้องมาเห็นแก้มกลมขาวใสที่ฉันไม่เคยได้สัมผัสถูกคนอื่นสัมผัสต่อหน้าต่อตาอีกเนี่ย
รู้สึกแย่จัง
“อิ่มแล้ว ฉันไปเพลโตก่อนนะ”ฉันหยัดกายลุกขึ้นทันทีเมื่อปรับอารมณ์ก่อนพยักเพยิดไปตรงร้านกาแฟที่ห่างจากโรงอาหารแค่สองร้อยเมตร
“เค เรียนเสร็จเดี๋ยวตามไป”เมื่อยัยนัดตี้รับคำฉันจึงคว้าถุงผ้ากับจานข้าวเดินมาเก็บแล้วสับขามาร้านเพลโตในทันที
พอเห็นว่าไกลพ้นรัศมีการมองเห็นของเหนือแล้วฉันจึงถอนหายใจยาวเหยียดออกมา
ขืนอยู่ต่ออีกสักห้านาทีฉันคงแสดงอาการให้มันเห็นแน่
จะว่ายังไงดีล่ะ ฉันชอบมันมากก็จริงแต่ฉันไม่ได้อยากทำให้มันอึดอัดฉันไม่ได้อยากเสียมันไป ไม่ได้อยากให้มันตัดความเป็นเพื่อนจากฉันเพราะแค่ฉันชอบมันฝ่ายเดียว
ตราบใดที่ฉันยังอยากมีมันอยู่ในชีวิตฉันก็ต้องทนหรือเปล่า เพราะเหนือเคยบอกฉันแล้วว่าถ้ายังอยากมีมันอยู่ในชีวิตก็ห้ามล้ำเส้น
ฉันถึงพยายามคีพความเป็นเพื่อนกับมันไว้ไง
เพราะเหตุนั้นฉันจึงไม่โวยวายหรือทำตัวมีปัญหาเวลาที่มันพาผู้หญิงมาทานข้าวด้วย