การที่ลืมตาตื่นมาในตอนเช้าที่มีคนรักในอ้อมกอดเป็นความรู้ที่อบอุ่นมาก ร่างกายที่กกกอดกันไร้ซึ่งสิ่งปิดกั้นทุกสัมผัสของผิวเนื้อมันตราตรึงให้ผมนั้นเสน่หา ผมมองใบหน้าหวานที่นอนหลับตาพริ้มสนิทมันทำให้ผมอิ่มเอม เธอคงเหน็ดเหนื่อยจากบทรักที่ผมมอบให้ที่มากกว่าหนึ่งรอบ ก็มันอดใจไม่ไหวกับดอกไม้แรกแย้มดอกนี้ที่มันชวนหลงใหลให้เข้าหาแบบนี้
"ฟอด....." ผมอดไม่ได้ที่จะฝังจมูกกดลงแก้มนวลอย่างหมั่นเขี้ยว
"อื้อ......." เธอเอื้อนในลำคอเบา ๆ แต่ยังไม่ยอมลืมตาตื่นเธอขยับพลิกตัวนอนหันหลังให้ผมเสียอย่างนั้น
"ตื่นได้แล้วครับ" ผมขยับชิดตัวเธอคางวางลงร่องซอกคอแล้วเอ่ย
"อีกสิบนาทีนะคะ...หนูดาเพลีย" เธอพูดแต่หลับตาพริ้มเช่นเดิมขี้เซาจริงๆ
"ไม่ไปกินข้าวเหรอครับ...เย็นแล้วนะครับ"
"เย็นแล้ว ?" เธอดีดตัวลุกพรวดขึ้นจนปากผมกระแทก
"ครับเย็นแล้ว...ลุกแบบไม่ให้พี่ตั้งตัวเลย ซี๊ด ปากกระแทกเลย"
"หนูดาขอโทษค่ะ...หนูดาต้องรีบกลับ โทรศัพท์ค่ะ โทรศัพท์หนูดาอยู่ไหน" เธอรุกรี้รุรนหันซ้ายแลขวา
"อยู่นี่ครับ...ใจเย็นๆ"
"หนูดาขออาบน้ำหน่อยนะคะ" ตุบ! โอ๊ย
"หนูดา!" เธอลงจากเตียงพร้อมผ้าห่มพันรอบตัวแต่ต้องทรุดลงกับพื้นจนผมตกใจ รีบเดินไปพยุงเธอลุกยืน
"พี่แซมหนูดาเจ็บ"
"เจ็บตรงไหนครับ บอกพี่สิ"
"เจ็บ...เอ่อ...เจ็บตรง....เอ่อ...ตรงนั้นน่ะค่ะ" เธอเลิกลัก พูดตะกุกตะกักก้มหน้ามุดกับอก ก่อนที่จะตอบพร้อมมองลงต่ำมันเลยทำให้ผมเข้าใจว่าเธอหมายถึงส่วนไหนของร่างกายที่เธอนั้นพยายามจะสื่อ
"อ่อ...เดี๋ยวพี่อุ้มนะครับ" ผมช้อนตัวเธอขึ้นแนบอกแล้วพาเธอไปส่งในห้องน้ำพร้อมหยิบผ้าเช็ดตัวสีขาวสะอาดยื่นให้กับเธอแล้วแบกผ้าห่มมาวางไว้บนเตียง ผมเดินยิ้มส่ายหัวเบา ๆ เมื่อนึกถึงใบหน้าเธอเมื่อกี้
ไม่นานนักเธอก็ออกมาจากห้องน้ำ ผมจึงเข้าไปจัดการชำระร่างกายต่อจนหอมสะอาด ผมเดินออกมาพร้อมผ้าขนหนูพันรอบเอว และสายตาก็มองเห็นว่าหนูดานั้นได้อยู่ในลักษณะที่พร้อมกลับบ้านแล้ว
"แต่งตัวเสร็จแล้วเหรอครับ" ผมเดินก้าวขาผ้าพาดบ่าแล้วเดินไปหยุดยืนข้างหลังเธอ
"เสร็จแล้วค่ะ...อ่ะ!!" เธอหันมาหาผมแต่กลับชนกับหน้าท้องของผมพอดี
"อยากแตะเนื้อต้องตัวพี่...ขอดีๆ ก็ได้นะครับ" ผมถอยหลังหนึ่งก้าวแล้วโค้งตัวพูดแซวเธอ
"พี่แซมบ้า!...ใครอยากแตะกันเล่า" เธอลุกจากเก้าอี้แล้วเดินไปนั่งตรงปลายเตียง ท่าทีเขินอายนั้นมันช่างดูน่ารัก "รีบไปแต่งตัวสิคะ เร็ว!" เธอผลักไสผม
"อุ๊ย! หน้าแดงด้วยอ่ะ" ขอแกล้งอีกหน่อยเพราะเวลาเธอนั้นเขินอายมันดูน่ามอง
"พี่แซม! หนูดาไม่รอแล้วนะคะ”
"โอเค ๆ...ไปแล้ว ๆ"
ผมพาหนูดามากินข้าวตรงร้านอาหารใกล้ๆ บ้านของเธอเพราะเมื่อกินเสร็จเธอจะได้เข้าบ้านเลย จะได้ไม่เสียเวลา
"หนูดาอยากกินอะไรครับ"
"ได้หมดเลยค่ะ...แล้วแต่พี่แซม" ผมส่งยิ้มให้เธอจากนั้นก็จัดการสั่งอาหารสามสี่อย่างที่หนูดาน่าจะกินได้ ราวสิบห้านาทีอาหารทุกอย่างก็มาเสิร์ฟลงตรงหน้า
"ว้าว...น่ากินมากเลย" เธอดูตื่นตาเมื่ออาหารหน้าตาน่ากินถูกวางลง ท่าทีเหมือนเด็กเห็นขนมที่ตนชอบอายุที่มีกับท่าทีของเธอมันช่างแตกต่างแต่เธอยังดูน่ารัก น่าทะนุถนอมสำหรับผม
"พี่ตักให้นะครับ"
"ขอบคุณค่ะ"
ผมและหนูดาทานข้าวกันเฮฮา หนูดากินเก่งและกินง่าย เราผลัดกันตักอาหารให้กัน ผมมีความสุขมากที่ได้อยู่ใกล้เธอ ผมอยากมีเธอในทุกๆ วัน ทุกเวลาของช่วงชีวิต
(คุณแซม) เสียงปริศนาเองชื่อผมดังขึ้นจากด้านหลังของผม หนูดาและผมหันไปมองพร้อมกันก็พบว่าเป็นลูกค้าที่หวังจะเคลมผมตั้งแต่รอบนั้น ...คุณแอน...
"คุณแซมจริงๆ ด้วย แอนนึกว่าจะทักคนผิดซะแล้ว" เธอเดิน ตรงมายังผมกับหนูดา แล้วหย่อนก้นนั่งลงข้างๆ ผม ถือวิสาสะคล้องแขนผมอีกต่างหาก หนูดามองหน้าผมอย่างมีคำถาม ผมพยายามแกะมือคุณแอนออกแต่มือเธอช่างเหนียวเหลือเกิน
"เอ่อ คุณแอนครับ ปล่อยแขนผมก่อนครับ"
"แอนขอนั่งด้วยได้ไหมคะ ระหว่างรอนัดพอดีคนที่แอดนัดเขายังไม่มาแอนนั่งคนเดียว เหงาน่ะค่ะ"
"เอ่อ...." ผมมองหน้าหนูดาอย่างต้องการความช่วยเหลือ สายตามองหน้าหนูดา มือก็พยายามแกะมือตุ๊กแกออก ผู้หญิงแบบนี้น่ากลัวจริงๆ
"ขอโทษนะคะ...พวกเราต้องการความเป็นส่วนตัวหวังว่าคุณคงเข้าใจ" หนูดาพูดขึ้นมันทำให้ผมโล่งใจไปอีก
"ฉันไม่ได้คุยกับเธอ ยัยหน้าจืด" เธอพูดพร้อมจ้องมองหนูดาอย่างเอาเรื่อง
"คุณแอนครับ เธอเป็นแฟนผม" ผมรีบชี้แจงให้เธอเข้าใจ และผมก็ไม่ชอบให้ใครหน้าไหนมาว่าคนรักของผมในทางลบถึงแม้คำพูดนั้นมันจะไม่รุนแรงก็ตาม
"แล้วไงคะ แค่แอนขอนั่งด้วย" เธอตอบอย่างไม่รู้สึกอะไร แต่ทำไมผมจะดูเธอไม่ออกว่าเธอนั้นต้องการอะไร
"คุณเป็นผู้หญิงสวยนะครับคุณแอน..." ผมเว้นระยะในประโยคไว้
"ขอบคุณค่ะ" เธอตอบพร้อมยิ้มอย่างมั่นใจกับประโยคที่ผมเอ่ยขึ้นก่อนหน้า
"แต่ทำตัวไม่มีค่าเอาเสียเลย...^ดูดีแค่หน้าตาแต่มีค่าแค่บาทเดียว^ " เธอหุบยิ้มทันทีเมื่อผมพูดจบประโยค จะว่าผมทีหลังไม่ได้นะเพราะเธอมาวุ่นวายกับนางฟ้าของผมทำไม ผมยอมไม่ได้!
(((กรี๊ดดดดดดดด))) เธอกรีดร้องเสียงดังอย่างไม่อายผู้คนในร้าน คนที่นั่งทานข้าวและเดินผ่านไปมามองกันเป็นพัลวัน อันนั้นมันเรื่องของเธอ ผมไม่สนใจเดินจับมือหนูดาออกมาจากร้านอาหารนั้นทันทีพร้อมวางเงินค่าอาหารไว้บนโต๊ะ
"พี่แซมพูดกับเธอแรงไปหรือเปล่าคะ"
"ไม่หรอกเธอควรทำตัวดีกว่านี้ ไม่ใช่จะมามัวแต่วิ่งตามผู้ชาย...เธอคิดจะเคลมพี่ตั้งแต่ที่พี่ทำงานให้เธอแล้ว"
"จริงเหรอคะ เธอดูน่ากลัวจัง...งั้นก็สมควรแล้วล่ะ คิกๆ"
"อ้าว ขำซะงั้นเมื่อกี้ยังบอกพี่พูดแรงอยู่เลย"
"ขอคำพูดคืนค่ะ...ไปกันเถอะจะมืดแล้ว" ผมส่ายหัวให้กับท่าทีของเธอ วันนี้เธอทำให้ผมยิ้มได้อิ่มเอมกระชุ่มหัวใจหลายต่อหลายครั้งจนไม่อยากให้เธอห่างไปไหน
หลังจากออกมาจากร้านอาหารผมขับรถพาหนูดามาส่งที่บ้าน ระหว่างทางผมจับมือเธอตลอด บอกตรงๆ ผมไม่อยากห่างเธอเลยแม้เสี้ยววินาทีเดียว ผมอยากมีเธอในทุกๆ เวลาของผม
"ฟอด....มือนิ่มจัง" ผมฉวยโอกาสจับมือเธอมาหอมฟอดใหญ่แล้วสูดดมเข้าเต็มปอด กลิ่นหอมจากโลชั่นมันทำให้ผมกระชุ่มกระชวย
"พี่แซมอ่ะ...ขี้โกง ฉวยโอกาสกับหนูดา" เธอเอ็ดผมอย่างน่ารัก ใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างเขินอาย
"ก็มันอดใจไม่ไหวนี่นา...งั้นขออีกทีได้ไหม จุ๊บ!"
"เจ้าเล่ห์จริงๆ เลย" เธอเอ็ดแต่ก็ยอมให้ผมจูบมือบางของเธอต่อ
ใช้เวลาไม่นานนักจากร้านอาหารราว 20 นาทีผมก็พาหนูดามาถึงบ้านอย่างปลอดภัย ผมเดินอ้อมไปเปิดประตูให้เธออย่างสุภาพบุรุษ ทันทีที่หนูดาก้าวขาลงจากรถเสียงอันทรงพลังแม่ของเธอก็ปรี่เข้ามาในระบบการได้ยินทันที
"หนูดา! ทำไมกลับมาเย็นขนาดนี้ ..... แล้วหายไปไหนมาทั้งวัน แม่ไปที่ร้านก็ไม่เจอ" แม่ของหนูดาเหวี่ยงคำถามมาทันทีโดยที่เราทั้งคู่ยืนจับมือกันข้างรถ สายตาของแม่หนูดามองต่ำลงมาที่มือที่ประสานกันของเราราวกับไม่พอใจ
"หนูดามาหาแม่"
"อ๊ะ! แม่คะ" สีหน้าและน้ำเสียงบ่งบอกว่าแม่หนูดาไม่พอใจและกระชากแขนหนูดาให้ไปยืนฝั่งเดียวกัน
"เอ่อ...ใจเย็นๆ ค่ะแม่ หนูดาไปธุระมาค่ะ"
"ธุระ !?ธุระอะไร" แม่หนูดาถามแต่มองมาที่ผมด้วยแววตาแข็งกร้าว
"ผมพาน้องไปกินข้าวครับ...ขอโทษคุณแม่ด้วยที่ไม่ได้บอกล่วงหน้า"
"ฉันไม่เคยมีลูกชาย..." แม่หนูดาพูดกับผมจนผมก้มหน้างุดอย่างหน้าเสีย นี่ผมกำลังทำให้หนูดาโดนแม่ตำหนิใช่ไหม
"คุณแม่! " หนูดาเรียกแม่ของเธอพร้อมกับมองมาทางผม ผมส่งยิ้มให้เธอสื่อว่าผมนั้นไม่เป็นอะไร
"หนูดาเงียบ!"
".........." หนูดาเงียบตามที่แม่เธอบอก ผมมองออกว่าเธอนั้นเป็นเด็กดีไม่กล้าโต้แย้งบุพการีมากนัก
"ถ้าไม่มีอะไรก็เข้าบ้าน...เข้าบ้านหนูดา อย่าดื้อกับแม่"
"อ่อ...นาย!" แม่หนูดาหันกลับมาอีกครั้ง "ฉันเคยบอกนายว่ายังไง...จำไม่ได้หรอ?" แม่หนูดาถามผมเธอกำลังทวนเหตุการณ์วันนั้นที่สั่งห้ามผม
"จำได้ครับ...แต่ผมห้ามให้คิดถึงเธอไม่ได้จริงๆ ผมรักหนูดา" ผมจ้องมองหน้าแม่ของเธอแล้วพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไปตรงๆทั้งๆ ที่รู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้
"พี่แซม...." หนูดาเอ่ยเสียงแผ่วพร้อมน้ำตาที่คลอในดวงตาใส
"เฮอะ!...รักงั้นหรอ ก็อย่างที่ฉันเคยบอกนายก่อนหน้านี้ หวังว่านายจะเข้าใจคนเป็นแม่อย่างฉัน"
"คุยก่อนหน้า คุณแม่หมายความว่ายังไงคะ หนูดาไม่เข้าใจ" เธอพยายามแกะมือออกจากการกอบกุมแล้วเอ่ยถามอย่างงุนงง ในสิ่งที่แม่เธอพูดเมื่อสักครู่
"เงียบปากไปเลยหนูดา....เข้าบ้าน!"
"แม่คะ เดี๋ยวค่ะหนูดายังไม่ได้ลาพี่เขาเลย แม่คะ แม่!" เธอถูกแม่จับแขนแล้วลากเข้าบ้าน ผมเห็นเธอเหมือนรั้งตัวไว้แล้วหันมาหลังกลับมามองผม..."พี่แซมหนูดาเข้าบ้านนะคะ...แล้วเจอกัน"เธอหันมาพูดกับผมทั้งๆ ที่ถูกแม่ของเธอลากเข้าบ้าน ผมส่งยิ้มให้เธอเพื่อไม่ให้เธอกังวลกับคำพูดที่แม่ของเธอเอ่ยขึ้นก่อนหน้า
"ไม่ต้องเจอแล้ว..." คำพูดนี้สิ้นสุดเมื่อผมได้ยินทำไมมันทำให้หัวใจผมหล่นวูบ ผมจะไม่ได้เจอเธออีกแล้วอย่างนั้นเหรอ ผมจะทำใจได้ยังไงเธอคือดวงใจของผมไปแล้ว
"หนูดา...ฟู่ว...มันคือโชคชะตาที่อาจไม่สมหวังสินะเรา"ผมเอ่ยชื่อเธอเสียวแผ่วอ่อนแรง ถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างหดหู่ในความรักตอนนี้ ความรักที่เพิ่งจะเริ่มต้นไม่นาน ก่อนจะมุ่งหน้ากลับ อุปสรรคนี้ผมจะผ่านมันไปได้ไหมนะ ผมต้องทำยังไงดี
****************
..."โชคชะตาไม่ได้เป็นส่วนประกอบที่ทำให้เกิดความรักแต่เป็นสิ่งที่ทำให้ความรักโผล่ขึ้นมาให้คุณเห็นต่างหาก"...
หลายวันผ่านไปร่วมสองสัปดาห์...ผมไม่ได้รับการติดต่อจากหนูดาเลย ผมกระวนกระวายใจมาก มันเหมือนบางอย่างในชีวิตประจำวันนั้นขาดหายเพราะปกติแล้วเธอจะไม่ห่างหายการติดต่อหาผม เธอจะติดต่อหาผมทุกวันจากการคุยทางไลน์ถึงแม้เราจะไม่ได้เจอหน้ากันก็ตาม แต่นี่เธอกลับเงียบหายไป ผมพยายามโทรหาเธอแต่ก็ได้ยินแต่เสียงฝากข้อความเท่านั้น ทักไลน์ไปก็ไม่อ่าน เหมือนทุกช่องทางการติดต่อถูกปิดตาย เธอไม่สบายหรือเปล่า? จะเป็นอะไรไหม? ความห่วงใยประดังเข้ามาให้ผมนั้นรู้สึกเป็นห่วงเธอ
"ทำไมถึงติดต่อไม่ได้นะ" ผมเดินวนกลับไปกลับมาภายในห้องพักอย่างร้อนรนใจ
...ไวกว่าคำพูดของผมก็คือสมองที่สั่งงานให้ร่างกายผมนั้นก้าวขาเดิน ผมต้องไปหาเธอ ผมหยิบกุญแจรถและกระเป๋าสตางค์ออกจากห้องพักทันทีอย่างไม่รีรอ ที่แรกที่ผมต้องไปคือร้านของเธอ มันคือสถานที่ที่เธอนั้นอยู่ตลอด
เมื่อถึงที่หมายผมปรี่เข้าไปในร้านโดยไม่เกรงกล้วว่าใครจะเห็นโดยเฉพาะแม่ของเธอเพราะตอนนี้ใจผมมันห่วงเธอมากกว่าที่จะเกรงหรือกลัวใคร แต่เมื่อผมเข้าไปในร้านก็เห็นเพียงแต่พนักงานในร้านเท่านั้นที่กำลังขวักไขว่ต้อนรับลูกค้า
"หนูดาอยู่ไหมครับ" ผมถามพนักงานที่กำลังเดินสวนกับผมในขณะที่เธอกำลังเดินกลับไปยังเคาน์เตอร์แคชเชียร์
"คุณเอฎาไม่ได้มาร้านหลายวันแล้วค่ะ" พนักงานคนนั้นตอบกลับผม ผมขมวดคิ้วผูกปมจรดกันด้วยความสงสัย
"ทราบไหมครับว่าเธอไปไหน"
"ไม่ทราบค่ะ ขอตัวทำงานก่อนนะคะ"
เธอไม่ได้มาที่ร้านแล้วเธอไปไหน ติดต่อก็ไม่ได้ "หนูดาหายไปไหนพี่ใจจะขาดแล้วรู้ไหม" ผมพึมพำพรรณนาคนเดียวด้วยใจห่อเหี่ยวที่คะนึงถึงแต่เธอ ผมรีบวิ่งออกจากร้านไปยังรถแล้วเร่งเครื่องยนต์ไปยังบ้านหนูดาอย่างไม่รีรอ ก็ผมไม่รู้เธอไปอยู่ไหนมันคงมีแค่ร้านกับที่บ้านเท่านั้นแหละ ติดต่อก็ไม่ได้ใครไม่เป็นผมไม่เข้าใจหรอกว่าสิ่งที่เคยมีมันขาดหายไปมันรู้สึกยังไง
เอี๊ยด!! รถยนต์ที่แล่นมาด้วยความเร็วถูกเหยียบเบรกจนเสียงยางล้อรถยนต์เสียดสีกับพื้นปูนเกิดเสียงดัง ผมรีบลงจากรถแล้วเดินเข้าไปกดกริ่งหน้าบ้านแต่ไร้การตอบกลับจากคนด้านใน "ไปไหนกัน ...ไม่มีใครอยู่เหรอ" ผมเดินวนบริเวณหน้าประตูอย่างร้อนรนใจไร้วี่แววการตอบกลับเช่นเดิมเมื่อผมกดกริ่งอีกครั้ง ผมเหลือบเห็นช่องประตูเล็กๆ พอดีตัวคนหนึ่งคนแง้มจากการปิดไม่สนิทซึ่งบ่งบอกว่ามันไม่ได้ถูกล็อกแต่อย่างใด ผมจึงเปิดแล้วเดินเข้าไปด้านในอย่างถือวิสาสะ
"ขอโทษครับ...ผมเป็นเพื่อนหนูดา หนูดาอยู่ไหมครับ" ผมถามลุงคนหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นคนทำสวน
"คุณเอฎาหรอ ผมก็ไม่เห็นหลายวันแล้วนะครับ คุณลองโทรหาเธอดูสิ"
"ผมติดต่อเธอไม่ได้เลยครับ"
"ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ผมขอตัวไปทำงานก่อน" ลุงคนนั้นเดินจากไปปล่อยให้ผมยืนกังวลใจ ผมมองไปยังบ้านหลังใหญ่ตรงหน้าอย่างอาทร ...ไปไหนของเธอนะ...
((นายมาทำไม)) เสียงแว่วดังขึ้นจากทางด้านหลังของผมที่กำลังยืนคุยกับลุงคนนั้น จนผมต้องหันกลับไปมองจึงพบว่าเจ้าของเสียงนั้นคือใคร...แม่หนูดา ที่เดินเข้ามาหาผม ผมยกมือไหว้ตามมารยาทที่พึงมีต่อผู้ใหญ่
"พอดีผมติดต่อหนูดาไม่ได้ครับ....หนูดาอยู่ไหมครับ"
"นายนี่ดื้อด้านจริงๆ เลยนะ "
"บอกผมเถอะครับ ผมห่วงเธอ"
"นายไม่ต้องมาห่วงลูกสาวฉันหรอก ลูกของฉัน ฉันดูแลเองได้ กลับบ้านไปซะ" แม่ของหนูดาตวาดผมเต็มเสียง
"ขอร้องเถอะครับ ขอผมได้เจอหนูดาสักนิด ให้ผมได้เห็นด้วยตาตัวเองว่าเธออยู่ดี ผมจะได้หมดห่วง"
"นายนี่วุ่นวายจริงๆ ไปๆ กลับไป" แม่หนูดาพูดพร้อมปัดป่ายมือไล่ผม
((พี่แซม)) เสียงหวานเจื้อยแจ้วที่คุ้นหู หนูดาเธอกำลังวิ่งตรงมาทางผมและแม่ของเธอ ผมยิ้มออกอย่างสบายใจเมื่อเห็นเธอนั้นสบายดี ปกติทุกอย่าง
"หนูดา! เข้าบ้านไปเตรียมตัว"
ผมหุบยิ้มทันทีเมื่อแม่หนูดาพูดจบ...เตรียมตัว ? คืออะไร ทำไมหนูดาต้องเตรียมตัว ผมไม่เข้าใจ ?...ผมได้แต่มองหน้าหนูดาอย่างมีคำถาม เธอหน้านิ่ง แววตาเริ่มเศร้าหมองที่จ้องมองมาทางผม น้ำใส ๆ เริ่มผุดขึ้นในดวงตาของเธอ ผมก้าวขาเดินทีละก้าวอย่างเชื่องช้าจนมาหยุดตรงหน้าเธอ ผมไม่รีรอที่จะโผลดึงเธอเข้าสู่อ้อมกอดอย่างคิดถึงคะนึงหา
"หนูดาหายไปไหนมาครับ" ผมถามเธอโดยไม่สนใจแม่ของเธอที่ยืนอยู่ข้างหลัง
"........." เธอเงียบไร้เสียงตอบกลับ
"รู้ไหมพี่คิดถึงแค่ไหน หื้ม คนดี" ผมลูบหัวเธอเบาๆ แล้วเอ่ยออกไป แต่ก็ยังไร้เสียงตอบกลับจากเธอ ผมสัมผัสได้ว่าตัวของเธอสั่นเครือ ผมจึงละกอดเธอออกพบว่าเธอนั้นร้องไห้
"หนูดาคิดถึงพี่แซมมากเลยค่ะ"
"คิดถึงทำไมไม่ติดต่อพี่เลยล่ะครับ"
"หนูดาขอโทษนะคะ" ผมกับหนูดายืนคุยกันอย่างไม่สนใจแม่ของเธอเลย จนสายตาของผมเห็นแม่หนูดาเดินออกจากตรงที่เราคุยกันแต่ก็มีหันกลับมามองเราทั้งคู่ก่อนจะเดินลับหายเข้าไปในบ้าน "พี่แซมไม่โกรธหนูดาใช่ไหมคะ"
"ไม่โกรธเลยครับ แค่เห็นว่าหนูดาสบายดีก็พอ"
"ขอโทษอีกครั้ง หนูดาขอโทษนะคะ ขอโทษจริง ๆ ขอโทษ ฮือฮือฮือ"
หนูดาพร่ำเพ้อเอาแต่ขอโทษผมทั้งน้ำตา ทั้ง ๆ ที่มันไม่ได้หนักหนาเลยด้วยซ้ำ ผมดึงเธอเข้ามากอดและปลอบประโลมเธออยู่แบบนั้นจนเธอเริ่มดีขึ้น
"ไปทานข้าวกันไหมคะ"
"ครับ...แต่แม่หนูดา"
"แม่ไม่ว่าหรอกค่ะ เชื่อหนูดาสิคะ"
"ก็ได้"
"หนูดาไปหยิบกระเป๋าก่อนนะคะ รอหนูดาอยู่ตรงนี้นะคะ พี่แซมอย่าไปไหนนะ รอจนกว่าหนูดาจะมา" เธอร่ายประโยคยาวเหยียดที่มันทำให้ผมนั้นรู้สึกแปลกๆ แต่ผมต้องสลัดความสงสัยออกไปเมื่อเธอเอื้อมมือมาจับมือของผม
"ครับ พี่จะรอหนูดาอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน รอจนกว่าหนูดาจะมา" เธอไม่ได้พูดตอบกลับมีเพียงรอยยิ้มที่ผมเคยได้รับส่งกลับมาเท่านั้น ผมมองแผ่นหลังบางที่กำลังเดินเข้าไปในตัวบ้านอย่างไม่ละสายตาจนเธอนั้นเดินหายลับเข้าไป
********************
…"การจากลาใครซักคนทั้ง ๆ ที่ยังมีความรู้สึกรัก ห่วงใย คิดถึง เสน่หาต้องการ คงเป็นการจากลาที่แสนเจ็บปวด แต่การจากลาทั้งที่ไม่ได้บอกลาแม้เขาจะยืนอยู่ตรงหน้ามันคงเจ็บปวดมากกว่าหลายร้อยเท่า แต่ในเมื่อมันหมดเวลาแล้ว...ก็คงต้องไป"…