“ดอกไม้เหล่านี้ช่างดูไร้ชีวิตชีวาเสียเหลือเกิน ถ้าหากพวกเจ้าหาที่ดีกว่านี้ไม่ได้ ข้าจะไปเก็บเองเสียให้หมดเรื่อง”
เสียงบ่นของคุณหนูเล็กผู้ทำหน้าที่ดูแลบ้านต้าหวังเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนแรง คนรับใช้หน้าใหม่จำนวนหนึ่งทำงานอย่างขอไปที ทำเอาเหม่ยฟางอดชักสีหน้าไม่ได้
“ไม่เอาน่าเหม่ยฟาง อย่าทำสีหน้าเช่นนั้น ถ้าแม่นมสุ่ยเฟิงเห็นเข้าละก็ คงรีบลงจากสวรรค์มาดึงหูเจ้าจนยานแน่ๆ เป็นถึงคุณหนูเล็กแห่งบ้านต้าหวัง ควรต้องสำรวมให้มากกว่านี้”
ท่านเสนาบดีเจิ้งอี้เหยียนหัวเราะอย่างอารมณ์ดี โดยปกติแล้วหญิงสาวนับเป็นกุลสตรีที่ดีอย่างหาใครเปรียบมิได้ แต่วันนี้กลับมีอาการร้อนรนและควบคุมตนเองได้ยาก
ความตื่นตระหนกในวันนี้เกิดขึ้นเพราะคนในครอบครัวที่จากไปนานแสนนานกำลังจะกลับมาเยือนบ้านเป็นครั้งแรก หลังจากที่ออกเรือนไปนานกว่าห้าปี เสนาบดีชราเองก็แทบจะข่มความดีใจเอาไว้ไม่อยู่ นานมากแล้วที่ไม่ได้พบผิงอัน ลูกสาวผู้อับโชค ไร้ซึ่งทายาทสืบสกุล
“ต้องขออภัยท่านพ่อด้วยที่มิได้สำรวมกิริยา สองสามวันมานี้เหนื่อยเหลือเกิน ท่านพี่ผิงอันแจ้งเรื่องการเดินทางอย่างกะทันหันเช่นนี้ เกรงว่าจะเตรียมตัวต้อนรับได้ไม่ดีพอ ข้าเพียงต้องการให้ท่านพี่ได้รับความสะดวกสบายหลังจากการเดินทางที่ยาวนานก็เท่านั้นเอง”
หญิงสาวบ่นเสียงอ่อนขณะประคองชายชราเข้าห้องพัก ก่อนจะขอตัวไปสั่งงานอีกเล็กน้อยเพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้
เสียงหวานราวกับน้ำผึ้งออกคำสั่งต่อคนรับใช้และคนงานในบ้านให้ปรับปรุงและเติมแต่งสิ่งต่างๆ ให้งดงามราวกับเวลาไม่ได้ล่วงผ่านไปกว่าห้าปี เหม่ยฟางอยากให้คุณหนูผิงอันหรือพี่สาวบุญธรรมของนางมีความสุข หลังจากที่ต้องไปอยู่โดดเดี่ยวต่างบ้านต่างเมืองอยู่นาน
“ทุกอย่างพร้อมแล้ว ทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อนได้ พรุ่งนี้ยามสายขบวนของคุณหนูใหญ่คงจะมาถึง จงนอนหลับเอาแรงกันให้เต็มที่ เพราะหลังฟ้าสางเรายังมีงานรออยู่อีกมาก” เหม่ยฟางยังคงสั่งการอีกหลายอย่าง ก่อนจะอนุญาตให้ทุกคนกลับไปพักผ่อนหลังจากตระเตรียมงานมาแล้วทั้งวัน
“เดี๋ยวนะ แจกันใบโตนั่นเปลี่ยนไปวางข้างโต๊ะยาวน่าจะดูเหมาะสมกว่า” บ่าวใหม่หลายคนดูเอือมระอาในความละเอียดถี่ถ้วนนี้ ต่างกับบ่าวชราหลายคนที่ยิ้มอย่างเอ็นดู
เหม่ยฟางโล่งอกที่จัดการทุกอย่างได้ทันเวลา ใบหน้าเรียวงามนั้นดูอ่อนล้าอยู่ไม่น้อย นี่เป็นงานใหญ่งานแรกที่นางต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว เนื่องจากคุณแม่บ้านชราต้องการฝึกฝนให้นางมีความชำนาญ
“ข้าได้ยินมาว่านางก็เป็นแค่เด็กกำพร้าที่ถูกรับเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม ท่านเสนาบดีสั่งให้ทุกคนเรียกนางว่าคุณหนูเหม่ยฟาง สะสวยอยู่ก็จริงแต่เบ่งอำนาจเก่งเสียเหลือเกิน”
อาหลง บ่าวชายใจหญิงตั้งใจบ่นเสียงดังเพื่อให้คนงานและสาวใช้หน้าใหม่หลายคนได้ยิน ทว่านั่นรวมไปถึงคุณแม่บ้านอาวุโสที่นั่งชมผลงานของเหม่ยฟางอยู่ไม่ไกลนัก
คุณแม่บ้านตันหยงเฝ้ามองเหตุการณ์ทุกอย่างมาโดยตลอด แม้มีสายฝ้าฟาง แต่หูนั้นยังใช้การได้ดีกว่าคนรุ่นหนุ่มสาวเสียอีก ไม้เท้าประดับหยกราคาแพงที่ท่านเจ้าของบ้านให้เป็นรางวัลหลังจากรับใช้มานานกว่าแปดทศวรรษ ขยับอยู่ในองศาพอเหมาะสำหรับการพยุงตัวให้ลุกขึ้น สาวใช้คนหนึ่งตรงเข้าประคอง แต่มือเหี่ยวย่นนั้นยกห้ามไว้อย่างถือตัว
“เจ้าชื่ออาหลงใช่หรือไม่”
เสียงแผ่วเบาแต่แฝงไปด้วยอำนาจกล่าวขึ้น แม่บ้านชราไม่เสียเวลารอคำตอบจากชายหนุ่มผู้โชคร้าย นางสั่งการให้คนรับใช้เก่าแก่หิ้วปีกอาหลงออกจากบ้านต้าหวัง การกระทำนี้สร้างตัวอย่างให้กับคนที่เหลือได้เป็นอย่างดีว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควรเอ่ย
“ไหนมีใครอยากจะพูดจาออกความเห็นที่ไม่เข้าหูคนแก่อย่างข้าอีกก็ว่ามา...ข้าก็ว่าอย่างนั้นแหละ ทุกคนแยกย้าย!”
คุณแม่บ้านตันหยงยิ้มมุมปาก แม้ปัญหาจะคลี่คลายไปแล้วก็ตาม แต่นับวันพวกเด็กรับใช้ที่เข้ามาทดแทนคนที่เกษียณหรือแก่ชราดูจะควบคุมยากมากกว่าสมัยก่อน ยังดีที่ตอนนี้นางยังคอยระวังหลังให้กับเหม่ยฟางได้อยู่บ้าง
หากต้องจากลาโลกนี้ไปอยู่กับเพื่อนรักอย่างแม่นมสุ่ยเฟิงบนสวรรค์ชั้นฟ้า นางก็อยากจะมีความมั่นใจว่า ทุกคนเคารพเชื่อฟังเหม่ยฟางและไม่สร้างปัญหาใดๆ ให้กับบ้านต้าหวัง อย่างไรเสียคุณหนูบุญธรรมของบ้านก็คงจะต้องอยู่ที่นี่ไปชั่วชีวิต เพราะนางนั้นไร้วาสนา คงไม่มีคู่ครองเช่นสตรีอื่น
สาเหตุสำคัญนั้นก็คือดวงชะตาของนางเอง ใครเล่าจะยอมร่วมหอลงโลงกับสตรีที่มีดวงอัปมงคล มารดารูปโฉมงดงามราวกับเทพธิดาได้เสียชีวิตจากการให้กำเนิดเหม่ยฟาง ซินแสทำนายไว้ว่า หากทารกเป็นเพศชายจะยิ่งใหญ่เหนือผู้คนทั้งปวง แต่หากทารกเกิดมาเป็นเพศหญิง จะสร้างความฉิบหายให้บิดามารดาและคู่ครองในอนาคต
แม่นมสุ่ยเฟิงเคยได้ปรึกษากับซินแสเพื่อหาทางออกให้กับเรื่องนี้ แต่กลับได้คำตอบเพียงว่าเหม่ยฟางควรละทางโลกและถือพรหมจรรย์ หากแต่งงานออกเรือนก็ห้ามยุ่งเกี่ยวผูกสัมพันธ์ทางกาย
แต่ชายใดเล่าจะอดทนต่อความงามอันเย้ายวนของนางได้ ที่สำคัญคือไม่มีแม่สื่อคนใดกล้าพอที่จะจัดการเป็นธุระหาคู่ให้ เพราะหากตระกูลที่แต่งนางเข้าบ้านเกิดสิ่งใดก็ตามที่ไม่ใช่เรื่องมงคล บรรดาแม่สื่อที่กล้ารับงานก็คงจะต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง
ปัญหาเรื่องบิดามารดาของสาวงามประจำบ้านต้าหวังนั้นหายห่วงแล้ว เนื่องจากมารดาเสียชีวิตในวันที่เด็กทารกลืมตาดูโลก ฝ่ายบิดาที่หายสาบสูญก็พ้นเคราะห์ไปโดยปริยาย แต่เพื่อป้องกันเหตุยุ่งยากในอนาคต ซินแสจึงได้ประกาศว่าเหม่ยฟางนั้นเป็นเด็กกำพร้าและฝากฝังแม่นมสุ่ยเฟิงดูแลเสียให้หมดเรื่อง
หญิงชราถอนหายใจด้วยไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะถึงเวลาปล่อยวางเรื่องทุกอย่างได้เสียที นางส่ายหน้าอย่างเอือมระอาเมื่อเหลือบไปเห็นสาวน้อยที่ตนกำลังเป็นห่วงสวมชุดทะมัดทะแมงแอบหนีออกจากบ้าน ด้วยรู้ดีว่าป่วยการที่จะห้ามปราม ตันหยงจึงเลือกที่จะทำเป็นมองไม่เห็นให้หมดเรื่องไป
ร่างบางทิ้งตัวนอนลงบนผืนหญ้า ทุ่งกว้างบนภูเขาแห่งนี้เป็นของนาง ทุกครั้งที่เหนื่อยหรือไม่สบายใจ เหม่ยฟางมักจะปลีกตัวมาที่นี่ แม้ท่านเสนาบดีจะดุหรือห้ามอย่างไร นางก็แอบออกมาจนได้ ชายชราส่ายหน้าทุกครั้งที่เห็นนางหมดสภาพกลับมาบ้าน ท้ายที่สุดจึงต้องปล่อยเลยตามเลย
“เป็นสาวเต็มตัวแล้ว หัดรักษากิริยาบ้าง อย่าทำให้ข้าต้องอับอายที่เลี้ยงดูเจ้าจนเติบใหญ่ ให้ได้ครึ่งหนึ่งของคุณหนูผิงอันก็ยังดี” คำพร่ำสอนของแม่นมสุ่ยเฟิงยังคงดังก้องอยู่ในหู นางคิดถึงหญิงชราเหลือเกิน แม้จะแอบหนีออกมาเที่ยวบ่อยๆ ทว่าแม่นมก็ไม่เคยโกรธอะไรนางจริงจัง
เหม่ยฟางได้รับฟังข่าวลือว่าผิงอันนั้นกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ด้วยไม่สามารถให้กำเนิดทายาทสืบสกุลได้ แม้ว่าองค์ชายใหญ่นั้นจะมีลูกเต็มบ้านเต็มเมือง ทว่ากลับไร้ซึ่งบุตรชาย ภาระหนักจึงตกอยู่ที่องค์ชายหวังจื่อเทียนและผิงอัน แต่ดูเหมือนว่าฟ้าเบื้องบนจะยังคงไม่ประทานของขวัญล้ำค่าให้ในเร็ววันนี้
“จะช่วยอย่างไรได้ นอกจากจะจัดขบวนพาไปขอพรที่วัดนอกเขตเมือง หวังว่าเหล่าเทพเซียนบนสวรรค์ชั้นฟ้าจะเมตตาต่อท่านพี่เสียที” เหม่ยฟางถอนหายใจยาว ชีวิตของนางช่างยุ่งยากเหลือเกินในช่วงนี้ คนรับใช้ก็ไม่ยอมทำตามที่นางสั่งหากไม่มีแม่บ้านอาวุโสอย่างตันหยงจับตามองอยู่ใกล้ๆ
ทุกคนที่มาใหม่พากับกระซิบกระซาบถึงเรื่องราวของเหม่ยฟาง หลายคนรู้ดีกว่าเจ้าตัวเสียอีก ไม่นานมานี้มีคนกล่าวหาว่านางเป็นภรรยาลับของท่านเสนาบดี แต่อ้างว่าเป็นบุตรบุญธรรมเพื่อไม่ให้ใครติฉินนินทาเรื่องอายุที่แตกต่าง เมื่อเวลาผ่านไป ข่าวนี้ก็ถูกลืมเลือนจนสิ้น เหตุสำคัญคือเจ้าของบ้านสูงวัยนั้น ดูเป็นคนมีเมตตาและไม่น่าจะทำอะไรที่เสื่อมเสีย
บางคนก็ว่านางเป็นลูกหลานของอดีตแม่บ้านชราอย่างตันหยง แต่เมื่อเพ่งพินิจดูใบหน้าที่ไม่มีส่วนไหนคล้ายคลึง คำกล่าวอ้างนี้จึงเริ่มจางหายไป เปลี่ยนเป็นสันนิษฐานว่านางคือทายาททางสายเลือดของแม่นมสุ่ยเฟิงที่ลาโลกไปแล้ว นับโชคดีที่ทุกคนไม่ได้ปัญญาทึบไปเสียหมด
อาโป สาวน้อยจากต่างเมืองที่บิดาฝากให้บ้านต้าหวังดูแล ได้หัวเราะลั่นให้กับทฤษฎีที่ทุกคนกล่าวอ้าง นางพูดเสมอว่า พวกชอบกล่าวเรื่องโดยไม่สืบหาความจริงนั้นช่างโง่เขลาสิ้นดี
“คุณหนูของข้าไม่มีส่วนใดที่คล้ายคลึงกับคุณแม่บ้านตันหยงหรือคุณแม่นมสุ่ยเฟิงเลยแม้แต่น้อย ที่ข้าเคยได้ยินมาคือท่านทั้งสองครองตัวเป็นโสด นับตั้งแต่สูญเสียสามีและบุตรชายในศึกสงคราม บิดามารดาของคุณหนูจะเป็นผู้ใดไม่สำคัญ ที่สำคัญคือเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องของนายและบ่าวไม่ควรยุ่ง”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอาโปกลายเป็นคนโปรดของคุณแม่บ้านตันหยงในทันที หญิงชราให้สาวน้อยบ้านนาเป็นหูเป็นตาคอยช่วยเหลือเหม่ยฟางอยู่ตลอด ใช้เวลาไม่นานนักอาโปก็กลายเป็นคนรู้ใจของคุณหนูเล็กแห่งบ้านต้าหวังด้วยอีกคน แม้ความช่างสังเกตและความพูดไม่รู้จักความ จะทำเอาผู้อาวุโสของบ้านปวดหัวอยู่บ้างก็ตาม