นับตั้งแต่หนีออกจากห้องครัว ฉันไม่ได้เดินย้อนกลับไปเพื่อถามไถ่ความรู้สึกของพี่โตอีกเลย อีกทั้งไม่ได้พูดหรือเล่าเรื่องที่ทะเลาะกับเขาในห้องครัวให้ใครฟัง แต่ใช้เวลาหลังจากนั้นช่วยพี่การ์ตูนกับพี่พี่ยูยะจัดแจงอาหารจัดวางลงบนโต๊ะทรงเตี้ยบริเวณประตูร้าน
กว่าจะจัดทุกอย่างจนเสร็จเรียบร้อยก็เล่นกินเวลาไปหลายสิบนาที และเมื่อทุกอย่างถูกจัดเตรียมเสร็จสิ้น แขกคนสุดท้ายซึ่งถูกเชิญมาร่วมงานวันเกิดเปิดประตูร้านเข้ามาพอดี
“พี่รามสวัสดีค่ะ!” ฉันที่สังเกตเห็นเขาก่อนใครรีบยกมือขึ้นไหว้ ก่อนตามมาด้วยเสียงแซวจากพี่ยูยะ
“มึงนี่มาพร้อมแดกเสมอเลยนะไอ้ราม!”
“ก็มึงโทรตามกูมาแดกไม่ใช่?” คนถูกแซวสวนกลับพี่ยูยะอย่างยียวนจนเขาเบ้ปาก ท่ามกลางเสียงหัวเราะชอบใจของฉันกับพี่การ์ตูนที่อยู่ในเหตุการณ์
แขกคนที่ว่านี้ชื่อ ‘คำราม’ หรือ ‘ราม’ เป็นพี่ชายที่ฉันรักและเคารพอีกคนหนึ่งและเขายังเป็นบุคคลที่พี่โตไว้ใจมากใครในโลก เรียกว่าเขาคือนิยามของคำว่าเพื่อนที่เกินคำว่า ‘เพื่อนสนิท’ ‘เพื่อนแท้’ และ ‘เพื่อนตาย’ ของพี่โตก็ว่าได้
เป็นแบบนั้นก็เพราะ พี่คำรามถูกครอบครัวพี่โตรับมาเลี้ยงในฐานะลูกบุญธรรม ด้วยความที่อายุเท่ากันแถมยังโตมาด้วยกันอีกทำให้พี่คำรามกับพี่โตมีนิสัย ความชอบและรูปแบบในการดำเนินชีวิตค่อนข้างคล้ายกัน แถมยังใช้เวลาส่วนใหญ่ตัวติดกันอย่างกับปาท่องโก๋ พูดง่ายๆก็คือพวกเขาเหมือนเป็นเงาของกันและกันนั่นแหละ
แต่ในความคิดฉันพี่โตจะดูเป็นผู้ใหญ่กว่าพี่คำรามนิดหน่อย เพราะเวลามีเรื่องหรือมีปัญหากับใคร พี่โตมักเป็นฝ่ายวางแผนก่อนเริ่มลงมือ ส่วนพี่คำรามจะเป็นคนรับหน้าเรื่องการใช้กำลังโดยไม่เกี่ยงวิธี เลยไม่แปลกใจเท่าไหร่หากพี่คำรามจะเป็นอีกคนที่คนในเมืองขนานนามว่า ‘ปีศาจ’ เช่นเดียวกับพี่โต
พี่คำรามเดินแทรกบรรยากาศเฮฮาและเสียงหัวเราะภายในร้านตรงดิ่งเข้าหาและทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาขนาด 2 คนนั่งข้างฉันทันที พลางใช้มือโอบไหล่ดันหัวฉันให้เอนพิงไหล่ของตัวเองเหมือนอย่างเช่นทุกครั้ง แน่นอนว่าไม่มีใครกล้าต่อว่าสิ่งที่เขาทำใส่ฉันสักคนแม้แต่พี่ยูยะแฟนของฉันก็ด้วย
เนื่องจากพี่คำรามมักแสดงความรักตามประสาพี่น้องเช่นนี้เป็นประจำจนกลายเป็นที่ชินตาของคนในร้านไปแล้ว อีกอย่างเขาเองก็เพิ่งแต่งงานไปเมื่อ 3 เดือนก่อนด้วย เรื่องการชู้สาวน่ะตัดออกไปได้เลย
“ไอ้โตไปไหน?” พอเขานั่งประจำที่สำเร็จก็เริ่มถามถึงคู่หูของตัวเองที่ตอนนี้หายหน้าหายตาไปจากวงสนทนา พอได้ฟังฉันก็เหมือนคนหายใจติดขัดชั่วคราว อดนึกไปถึงชั่วเวลาที่ตะคอกใส่เขาไม่ได้และพอเริ่มนึก ฉันก็เริ่มคิดเข้าข้างตัวเองว่าบางทีการทีเขาหายหน้าหายตาหลบอยู่แต่ในห้องครัวอาจเป็นเพราะเรื่องที่เราทะเลาะกันก็ได้
“นู่นไง ตายยากฉิบป๋ง!” พี่ยูยะพยักพเยิดหน้าไปทางประตูห้องครัว เมื่อที่บริเวณนั้นปรากฏร่างสูงของคนที่พี่คำรามถามถึงเดินงุ่นง่านออกมา หน้าตาบอกบุญไม่รับ
“ทำหน้าแบบนั้น แสดงว่าแอบไปหลับมาชัวร์” พี่การ์ตูนหัวเราะคิกคักอย่างมั่นอกมั่นใจ และคำพูดประโยคดังกล่าวของเธอมันก็เหมือนยาสลายมโนชั้นดีที่ช่วยหยุดาอาการคิดไปเองของฉันให้สงบลงมัน ก็จริงอย่างที่พี่ตูนว่า พี่โตมักทำหน้าบอกบุญไม่รับอย่างนี้หลังตื่นนอนเสมอ
ที่หายหน้าไปเขาก็คงแค่แอบงีบจริงๆ นั่นแหละ...
“เดี๋ยวตูนจัดการเอง” ว่าแล้วพี่ตูนก็อาสาลุกไปจัดการกับอารมณ์ของพี่โตให้กลับปกติ
ฉันเลือกที่จะไม่มองคนทั้งคู่แล้วหันไปช่วยพี่ยูยะจัดการกับเครื่องดื่มของแต่ละคน ทั้งที่ตั้งใจจะทำแบบนั้น ทว่า วินาทีที่โสตประสาททางการฟังได้ยินคำพูดประโยคหนึ่งหลุดจากปากพี่คำราม สายตาของฉันก็เหมือนถูกสั่งให้มองตามไปอย่างห้ามไม่ได้
“คู่นั้นเขาจะหวานห่าไรกันนักหนาวะ?”
สิ่งที่พี่คำรามพูดถึงและปรากฏอยู่บริเวณหน้าทางเข้าห้องครัว คือคู่รักชายหญิงซึ่งกำลังแสดงความรักต่อกัน คนหนึ่งคือพี่สาวที่ฉันเคารพส่วนอีกคนคือพี่ชายที่ฉันไม่ต้องการ แม้ไม่อยากมองแต่ฉันก็ไม่สามารถละสายตาไปจากคนทั้งคู่ได้อยู่ดี
ที่เป็นเช่นนั้นไม่ใช่เพราะการแสดงความรักของพวกเขาหรอกนะ แต่เป็นเพราะฉันกำลังถูกนัยน์ตาปีศาจจ้องมองกลับมาต่างหาก
พี่โตแสดงสีหน้าบอกความรู้สึกราวกับจะส่งตรงมาทางฉันผ่านทางแววตา แต่ไม่ใช่กับการกระทำที่เขาแสดงออกต่อคนรักของตัวเอง แม้กระทั่งตอนที่เขาโน้มลงจูบพี่ตูน สายตาก็ยังคงมองมาทางฉัน การที่เป็นเช่นนั้นพานให้ร่างกายเริ่มร้อนวูบวาบไปหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบริเวณริมฝีปาก
เพราะฉันรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังถูกเขาจูบอยู่จริงๆ...
เกือบ 2 ชั่วโมงต่อมา...
ตลอดเวลาดื่มฉลองงานวันเกิดให้พี่ยูยะ ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี มีการดื่มกินกันอย่างหนัก ท่ามกลางเสียงเพลงแนว Rock สไตล์ของพวกเขาเปิดดังจากสมาร์ทโฟนของพี่คำราม เคล้าด้วยเสียงพูดคุยเรื่องต่างๆ ซึ่งส่วนมากจะเกี่ยวการสักซึ่งเป็นความชอบของพวกเขาเสียมากกว่า
ปกติแล้วฉันเป็นคนไม่ดื่มของมึนเมา เพราะรู้ว่าตัวเองเป็นพวกคออ่อน แต่ครั้งนี้คนที่หยิบยื่นน้ำเหล่านั้นมาให้มาดันเป็นพี่ยูยะ ดังนั้นฉันจึงไม่อยากปฏิเสธให้เขาเสียน้ำใจ อีกอย่างการดื่มน้ำพวกนี้มันก็ช่วยทำให้ลดความอึดอัดที่มีลงได้บ้าง และถ้าถามว่าทั้งที่งานวันเกิดดูเฮฮาแต่ทำไมฉันถึงยังรู้สึกแบบนี้ได้ ก็คงเป็นเพราะสายตาของพี่โตซึ่งนั่งตรงข้ามกับฉันพอดี แม้ไม่มองฉันก็รู้สึกได้ว่าเขากำลังมองอยู่
“วันนี้วันเกิดยูยะ น้องส้มไม่มีอะไรให้ยูยะมันเหรอ?” ฉันสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อถูกพี่การ์ตูนเอ่ยถาม พานให้ต้องเงยหน้ามองหน้าเธอกลับไปและพบว่าทุกสายตากำลังจ้องมองราวกับกับรอคำตอบ เว้นพี่โตเดียวที่ดูสนใจอาหารบนโต๊ะกับแก้วเหล้าในมือมากกว่าคำตอบที่ทุกคนรอฟัง
“คือหนู...” ฉันพยายามบอกพวกเขา แต่เหมือนในหัวมันค่อนข้างโล่ง ไม่รู้เพราะว่าถูกถามกะทันหันหรือเพราะฤทธิ์เหล้าที่ดื่มเข้าไปพอสมควรกันแน่
“นอนค้างที่ร้านกับพี่วันนี้ไหม” พี่ยูยะเสนอเสียงติดตลก นั่นทำให้พี่การ์ตูนหลุดเสียงแซวขึ้นมาทันทีแต่ไม่ใช่กับพี่คำรามซึ่งรู้ทันความคิดและความหมายส่อสื่อที่พี่ยูยะพูดล้อเล่น
“แดกส้มไม่ปอกเปลือก ระวังติดคอตายนะมึง” คำพูดดังกล่าวทำเอาทุกคนหัวเราะรวนขึ้นมาอย่างพร้อมเพียงกัน ฉันเองพอเริ่มเข้าใจความหมายจึงหันไปตีแขนพี่ยูยะเบาๆแทนการต่อว่า ทว่า เขากลับฉวยโอกาสหอมแก้มฉันฟอดใหญ่ต่อหน้ากลุ่มเพื่อนพร้อมทั้งพูด
“ถือว่านี่เป็นของขวัญวันเกิดพี่แล้วกันเนอะ”
ตึงง!
เสียงกระแทกโต๊ะดังขึ้นแทบจะทันทีที่พี่ยูยะพูดจบ พานให้เสียงหัวเราะทั้งหมดหยุดลงจนเหลือแต่เสียงเพลง Rcok จังหวะสนุกๆ ทุกสายตารวมถึงฉันเองพุ่งไปยังพี่โตซึ่งเป็นต้นเหตุของเสียงกระแทกดังสนั่นดังกล่าว
ส่วนคนที่เป็นเป็นฝ่ายทำลายบรรยากาศความเงียบทั้งหมดลงนั้นก็เป็นพี่คำราม
“กูไปเยี่ยวแป๊บ” เขาขอตัวไปเข้าห้องพร้อมทั้งลุกออกจากวงเหล้าทันทีเหมือนกับชิงหนี ในขณะเดียวกันนั้นพี่โตเองก็เหมือนจะรู้ว่าตกเป็นจุดสนใจถึงได้พูดขึ้น
“โทษทีว่ะ กูว่ากูคงเมา” ไม่มีใครพูดอะไรหลังจากนั้นเพราะยังรู้สึกตกใจกับเสียงที่เขาทำ จนพี่โตต้องพูดขึ้นเองเชิงติดตลกอีกครั้งว่า “โต๊ะแม่งเตี้ยไป ลุกนิดลุกหน่อยก็ชนเสียงดังแล้วห่า”
“ถ้าเมา มึงก็ไปนอนไป แดกเยอะสุดเลยนี่หว่า กลัวไม่คุ้มไง!?” พี่ยูยะเหมือนหน่วยกล้าตายรีบรับมุกดังกล่าวพูดแซวกลับไป พี่โตไม่พูดอะไรแต่เลือกหันหลัง เดินโงนเงนไปยังห้องสักตามคำบอกเล่าของพี่ยูยะแทน
“เดี๋ยวตูนมานะ” พี่การ์ตูนเองก็ไม่รอช้า รีบปลีกตัวลุกตามไปช่วยพยุงพี่โตตามหน้าที่ของแฟนที่ดีทันที
เวลานี้จากที่บรรยากาศในตอนแรกกำลังไปได้สวยดูเริ่มมาคุขึ้นอย่างน่าแปลก จุดที่เคยนั่งดื่มกินกันเหลือเพียงแค่พี่ยูยะกับฉันสองต่อสองเท่านั้น
พี่ยูยะเองก็น่าจะรู้สึกถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป เขาหันมารินเหล้าใส่แก้วฉันแล้วคะยั้นคะยอให้ดื่มเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศแทนที่จะสนใจเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
“ดื่มต่อเถอะค่ะ” ฉันไม่ตอบอะไรแต่ทำตัวว่าง่ายเพราะไม่อยากให้เจ้าของวันเกิดรู้สึกไม่ดีไปมากกว่านี้ด้วยการยกเหล้าน้ำสีอำพันในมือขึ้นจิบทีละนิดๆ เพื่อรอเวลาให้ทุกคนกลับมาร่วมโต๊ะกันอย่างพร้อมเพียง
พี่คำรามที่หายไปเข้าห้องกลับมาเป็นคนแรก และตามมาด้วยพี่การ์ตูนที่หายเข้าไปส่งพี่โตอีกห้องอยู่ราวๆ 15 นาที เธอนั่งลงที่เดิมโดยพยายามจัดคอเสื้อเพื่อปิดบังอะไรบางอย่างบริเวณต้นคอให้พ้นจากสายตาของคนอื่นๆ แต่ว่านั่นก็ไม่อาจปิดสายตาพี่ยูยะคนช่างแซวกับพี่คำรามคนช่างสังเกตไปได้
“โดนตัวไรกัดคอมาเหรอ แดงเชียว”
“แดงเทือกขนาดนั้นปิดไม่มิดแล้วมั้ง...” คำพูดของพวกเขาทำพี่การ์ตูนรีบใช้มือตีใส่คนทั้งคู่แก้เขินทันที พร้อมทั้งเปลี่ยนเรื่อง
“กินต่อเถอะ เหล้ายังเหลืออีกเยอะเลย” ถ้าฉันรู้น้อยกว่านี้สักนิดก็คงจะดี จะได้ไม่ต้องรู้ว่าที่พี่การ์ตูนหายเข้าไปทำอะไรในห้องสักกับพี่โตอยู่นานสองนาน
หลังจากเหตุการณ์นั้นพวกเราทั้งหมดยังคงนั่งดื่มกินกันต่อไปอยู่เกือบๆ 30 นาที ฉันที่รับปริมาณแอลกอฮอล์เข้าร่างกายมากเกินไปก็เริ่มทนไม่ไหว สายตาเริ่มมองภาพทุกอย่างเป็นภาพซ้อน แถมหูก็เริ่มอื้อจนฟังเรื่องที่พวกเขาคุยกันไม่รู้เรื่อง สติที่เหลืออยู่อันน้อยนิดจึงสั่งให้ฉันทำอะไรสักอย่างเพื่อเรียกสติสัมปชัญญะคืนกลับมา
“หนูไปเข้าห้องน้ำแป๊บหนึ่งนะคะ” ซึ่งที่คิดได้ในตอนนี้มีเพียงการล้างหน้าเท่านั้น
“ห้องน้ำในครัวก๊อกน้ำไม่ไหวนะ ถ้าจะล้างหน้าเข้าไปใช้ห้องน้ำในห้องสักแทน” พี่การ์ตูนซึ่งน่าจะดูออกว่าฉันเมามากแค่ไหน เอ่ยบอกอย่างห่วงๆ ซึ่งฉันก็ทำได้แค่พยักหน้ารับคำ พาตัวเองเดินเป็นปูตรงไปยังห้องสัก
ฉันแหวกมู่ลี่ที่ใช้แทนประตูเข้าไปก่อนพบเข้ากับร่างสูงซึ่งเข้ามานอนก่อนหน้านี้กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงสัก พี่โตดูไม่ได้สนใจสถานการณ์นอกห้องเลย ท่าทางเขาคงจะเมามากจริงๆ แต่เพราะการเข้ามาภายในห้องนี้คือการพาตัวเองมาล้างหน้าไม่ใช่ดูอาการของพี่โต ฉันจึงรีบแบกร่างอันหนักอึ้งตรงเข้าห้องน้ำทันที
เกือบ 1 นาทีที่ฉันใช้เวลาล้างหน้าเพื่อทำให้ตัวเองสร่างเมาก่อนจัดเสื้อผ้าหน้าผมให้เข้าที่เข้าทางแล้วหันหลังพาตัวเองออกจากห้องน้ำ ทว่า สิ่งที่รออยู่หน้าประตูห้องน้ำกลับทำฉันรู้สึกประหลาดใจ เพราะพี่โตที่ตอนแรกนอนอยู่บนเตียงสัก บัดนี้ได้ยืนพิงผนังหน้าห้องน้ำราวกับรอคอยอยู่
“ทำธุระเสร็จแล้วเหรอคะ?” เขาถามพร้อมทั้งคว้าข้อมือไว้ เมื่อฉันทำท่าจะเดินผ่านเขาออกไป
“ค่ะ หนูแค่เข้าไปล้างหน้า”
. “ถ้างั้นอยู่ทำธุระกับพี่ที่นี่อีกแป๊บหนึ่งได้ไหมคะ?” ทั้งที่เราอยู่ใกล้กันแต่ฉันกลับฟังเขาพูดไม่ค่อยชัดนัก แต่ก็ยังพอจับใจความได้นอดหน่อยว่าเขากำลังขออะไร
ฉันไม่ได้ตอบอะไรเขา ซึ่งนั่นดูไม่สำคัญอะไร เมื่อพี่โตเองก็เหมือนไม่ได้ต้องการคำตอบ เขากระตุกข้อมือฉันอย่างแรงพานให้ร่างกายที่เสียศูนย์เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์อยู่แล้วแสดงให้เห็นเด่นชัดเข้าไปใหญ่ เมื่อร่างทั้งเซเซเข้าไปหาอ้อมกอดอุ่นตามอย่างที่อีกฝ่ายต้องการให้เป็น
ถึงอย่างนั้นสติสัมปชัญญะที่เหลืออยู่ค่อนความคิดก็ยังเตือนให้รู้สึกได้ว่าอะไรควรไม่ควร
“พี่โต ปล่อยหนู...” ฉันว่าเขาพลางใช้มือดันไปจุดใดจุดหนึ่งของร่างกายเขาเพื่อผละตัวออกจากอ้อมกอด
“ขอกอดก่อน...” คำขอสั้นๆ ถูกเอ่ยสวนกลับมาแทบจะทันที มิหนำซ้ำฉันยังรู้สึกว่าเขาเริ่มกอดกระชับกายฉันแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ
“หนะ หนูไม่ใช่พี่การ์ตูนนะ ตั้งสติหน่อย...อ๊ะ” ดูเหมือนคำเตือนจะใช้ไม่ได้ผล เพราะอีกฝ่ายไม่ฟัง มิหนำซ้ำยังช้อนตัวฉันให้ลอยขึ้นเหนือพื้นคล้ายกับต้องการหยุดทุกการต่อต้านจากฉันลง ภาพทุกภาพมันคล้ายกับตัดเป็นฉากๆ ทุกอย่างที่หน้าห้องน้ำเกิดขึ้นเร็วจนฉันเกือบประติดประต่อเรื่องราวทั้งหมดไม่ทัน
รู้อีกทีก็พบว่าคนตัวใหญ่ก็กำลังประคองตัวฉันลอยสูงจากพื้นพาไปยังเตียงสำหรับใช้สัก เขาวางฉันลงไปตามแนวยาวของเตียง กักขังทุกส่วนไว้ภายใต้วงแขนและอ้อมกอด สายตาของพี่โตตอนนี้ดูไม่สมเป็นเขาเลย คงเพราะดื่มมากพอกัน และคาดว่าเขาน่าจะเข้าใจผิดคิดว่าฉันคือแฟนตัวเองแน่ๆ จนกระทั่งพี่โตกล่าวประโยคหนึ่งขึ้นมา
“พี่อยากกอดจี๊ด ไม่ใช่การ์ตูน...” เสียงของเขาฟังไม่ชัดเลย แต่น่าแปลกที่คำพูดนั่นดันทำใจฉันเต้นผิดจังหวะราวกับเข้าใจความหมาย ขณะเดียวกันนั้นพี่โตเองก็เริ่มแทรกกายโน้มลงมาหา
เขาเข้ามาใกล้มากจนรับรู้ถึงลมหายใจเคล้ากลิ่นแอลกอฮอล์อย่างชัดเจนยามอีกฝ่ายกระซิบ
“พี่กอดจี๊ดไม่ได้เหรอคะ?” เพียงคำขอนั้น ฉันก็เหมือนถูกสะกดให้นิ่งลง แต่ใช่ว่าจะยอมให้เขาทำตามอำเภอใจหรอกนะ สองมือยังคงดันไหล่อีกฝ่ายเอาไว้ ก่อนที่เขาจะทำเกินเลย ทว่าตอนนั้นเอง พี่โตดันพึมพำอะไรบางอย่างขึ้นมาด้วยเสียงยานคาง โดยยังคงมองลึกเข้ามาในตาฉัน
“ตอนนี้หน้าอกก็ใหญ่ขึ้นแล้ว...ไม่อยากเสียตัวให้พี่แล้วเหรอคะ?” เขากำลังพูดถึงเรื่องเก่าๆ ไม่น่าจำในอดีตอีกแล้ว แบบนี้ทุกครั้ง เขาชอบซ้ำเติมและเอาเรื่องในอดีตมาล้อเล่นอยู่เสมอๆ
“ธุระบ้าบออะไรของพี่เนี่ย ถอยไปเลย!” ทุกครั้งที่ได้ฟังฉันมักรู้สึกโกรธ และคราวนี้ก็เหมือนกันอาจเพราะมีแอลกอฮอล์ในร่างกายด้วยล่ะมั้ง มันก็เลยดุเดือดเป็นพิเศษ ด้วยความที่เป็นเช่นนั้นฉันจึงรวบรวมแรงพร้อมทั้งผลักอกเขาให้ถอยห่าง จากนั้นก็พยายามหยัดกายลุกออกจากเตียง แต่ ครั้งนี้พี่โตไม่ยอมถอยออกไปเหมือนตอนอยู่ในห้องครัว
“เฮือก!” ตรงกันข้าม กลับเป็นเสียเองฉันที่ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อรู้สึกถึงฝ่ามืออุ่นที่ลูบผ่านไปมาบริเวณต้นขาอย่างถือดี
พี่โตไม่พูดอะไรแต่แสดงให้เห็นมากกว่าว่าพละกำลังของเขามีเหนือกว่าฉันมากนักไม่ว่าเวลาไหน ถ้าคิดจะเอาจริงขึ้นมา และตอนนี้สิ่งที่พี่โตทำ มันเกินกว่าคำว่าธุระที่เขาร้องขอไว้ในตอนแรก เมื่อเขาเริ่มใช้ริมฝีปากทำบางสิ่งกับร่างกายฉันแบบไม่เปิดโอกาสให้ปกป้องตัวเอง...
“อะ...พี่...พี่โต” ต่อให้เขาไม่เปิดโอกาสให้ปัดป้อง แต่ฉันก็ยังพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เขาหยุด ด้วยการใช้มือที่เรี่ยวแรงตอนนี้มันได้อันตรธานหายไปผลักดันหัวเขาให้ออกห่าง
“หยะ...หยุดนะ...” ฉันเอ่ยคำเดิมๆอย่างตะกุกตะกัก ปรามเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้อีกฝ่ายยอมหยุดสิ่งที่ตัวเองทำลงเลยแม้แต่วินาทีเดียว พี่โตยังคงจรดริมฝีปากสำรวจไปตามร่างกายฉันผ่านเสื้อนักศึกษาตัวบางอย่างถือดี ทุกซอกทุกมุม ทุกตารางนิ้วที่ถูกผิวปากร้อนโฉบเฉี่ยวผ่านเสื้อนักศึกษามันร้อนเสียยิ่งกว่าฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ในร่างกายเสียอีก
ฉันส่ายหน้าไปมาหนีริมฝีปากของเขาที่ไต่สูงขึ้นเรื่อยๆ จนอยู่ระดับเดียวกับใบหน้า นั่นจึงทำให้คนตัวใหญ่ฉวยโอกาสดึงชายเสื้อนักศึกษาของฉันจนหลุดลุ่ย ฝ่ามือของเขาที่สอดเข้ามาในร้อนไม่ต่างจากสิ่งที่เขาใช้ปากทำสักนิด ยิ่งเขาทำเช่นนั้นอุณหภูมิในกายยามถูกกระตุ้นก็ยิ่งร้อนจนเริ่มรู้สึกเหนอะหนะทั้งกาย
ความชื่นของผิวกายชุ่มเหงื่อท่ามกลางแอร์เย็นจัด ทำฉันในเวลานี้เหมือนคนจับไข้ขณะที่ฝ่ามือของเขายังคงลากสัมผัสไปทั่วกายไม่ยอมหยุด สติสัมปชัญญะเองก็เหลือน้อยเต็มทีหลังจากถูกฤทธิ์ของแอลกอฮอล์กัดกินจนหมด
“หยะ...หยุดแกล้งหนูสักที...หนะ หนูไม่ชอบ” ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังพูดอะไรออกไป เพื่อปฏิเสธจูบที่อีกฝ่ายพยายามมอบให้ กลับกันหูสองข้างกลับได้ยินเสียงของพี่โตตอบกลับมาชัดเจนที่สุดแต่มันก็ดังพอในระดับที่มีแค่เราสองเท่านั้นที่ได้ยิน
“ไม่ได้แกล้งค่ะ...เพราะพี่เอาจริง”
“เฮือก!” ฉันสะดุ้งเฮือกเมื่อชายเสื้อนักศึกษาถูกมือดีของกระชากขึ้นสูง เผยให้ผิวพรรณใต้ร่มผ้ารวมถึงบราเซียร์แบบเด็กๆ ที่สวมอยู่ปรากฏชัดต่อสายตาเขาทันที
หัวใจฉันเต้นแรงเกินกว่าที่ควรจะเป็นโดยเฉพาะในตอนที่อีกฝ่ายหยัดมือลงกับพื้นที่ว่างเปล่าของเตียงสักแล้วโน้มหน้าเข้ามาใกล้ สายตาถูกสะกดให้มองลึกผ่านนัยน์ตาคมจนสะท้อนเห็นภาพสีหน้าของตัวเอง
“พี่ต้องการจี๊ดนะ...” นั่นคือคำพูดสุดท้ายของเขาที่ฉันจับใจความได้ ก่อนที่สติสัมปชัญญะเสี้ยวสุดท้ายจะหลุดไปพร้อมกับความรู้สึกที่มี
บริเวณผิวปากในตอนนั้นก็กำลังถูกความนุ่มหยุ่นจากอะไรบางอย่างบดเบียดลงมา มันร้อนเหมือนร่างกายของฉันตอนนี้...
ภาพทุกอย่างตัดไปไว กะพริบตาหนึ่งครั้งภาพทุกอย่างก็เปลี่ยน ไม่ประติดประต่อเป็นเรื่องเป็นราว อย่างเช่นตอนนี้ฉันเห็นพี่โตกำลังผละถอยห่างออกไป เพียงแค่กะพริบตามองเหม่อ ภาพของเขากลับกำลังเปลือยท่อนบนโชว์หุ่นที่เต็มไปด้วยรอยสักน่ากลัวอัดจนเต็มพื้นที่ผิวจริงและดูแข็งแกร่งกว่าในอดีตมากนัก
“อะ...” ความเจ็บแปลบแล่นผ่านกลางกาย กระจายไปทั่วทุกส่วนแบบไม่ทันเตรียมตัว เพียงแค่กะพริบตาในครั้งต่อมา และความเจ็บปวดนี้มันรุนแรงพานให้น้ำตาเอ่อเต็มกรอบตาทั้งสองข้างอย่างห้ามไม่ได้
“จะ...เจ็บ...อื้อ...” ฉันพยายามจะร้องระบายความรู้สึกออกไปแต่เสียงกลับถูกทำให้เงียบลงด้วยริมฝีปากร้อนและเรียวลิ้นที่สอดแทรกเข้ามาภายใน
ความเจ็บไม่ทันทุเลา ร่างกายฉันกลับรับรู้ถึงความรู้สึกอื่นไปด้วย...
บางอย่างกำลังเคลื่อนไหวอยู่ภายในร่างกายอย่างช้าๆ พร้อมกับความรู้สึกแปลกๆ ที่เริ่มก่อตัวขึ้นจนรู้สึกรุนแรงมากขึ้น มากขึ้น เปลือกตาที่หนักอึ้งเพราะสติขาดผึ่งไป ทำฉันได้แค่ร้องอื้อในลำคอไม่เป็นภาษา สองมือไขว้คว้าสะเปะสะปะเพื่อไล่ความรู้แปลกปลอมกับบางสิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่ในร่างกายให้สงบลง
“แฮ่ก..” เสียงหอบเบาๆดังขึ้นตามจังหวะที่สิ่งแปลกปลอมดังกล่าวเคลื่อนไหวด้วยความเร็วที่รุนแรงและถี่ขึ้นกว่าเดิม รู้สึกแค่ว่ามันกำลังเข้าไปภายในและออกมา เข้าออก เข้าออก ไม่หยุด...
ความรู้อื่นที่แทรกเข้ามาในแต่ละวินาทีในทุกจังหวะการเคลื่อนไหว ทำฉันได้แต่จิกปลายเล็บเกร็งจัดรับความรู้สึกดังกล่าวอย่างไม่สามารถปฏิเสธได้
“อะ..อ..” เสียงร้องแปลกหากแต่แผ่วดังกระท่อนกระแท่นตามแรงเคลื่อนไหวดุดัน แต่แล้วในตอนที่ฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังหมดแรง ครั้งสุดท้ายที่อยากทำคือการฝืนเปลือกตาหนักเพื่อมองสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ภาพที่เห็นคือภาพใบหน้าของผู้ชายที่ฉันหลงใหล กำลังจ้องมองกลับมาด้วยแววตาโหยหาและอบอุ่น
“พะ...พี่โต อื้อ...” ฉันเรียกเขาแบบไม่เต็มเสียงเพราะแรงโหมกระหน่ำที่ถูกโถมเข้าใส่ เหมือนเขาเองที่ตอบรับคำเสียงหวานขณะมอบการเคลื่อนไหวดุดันดังกล่าวมาให้
“จ..จ๋า...”
“หยะ หยุด...อ๊ะ” ฉันรู้ว่าตัวเองพูดออกไปแบบนั้น ทว่า สิ่งที่เห็นและรู้สึกกลับไม่ใช่การที่ทุกอย่างสงบลงแต่มันยิ่งรุนแรงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง พานให้รู้สึกเหมือนหายใจไม่ทั่วท้อง และภาพสุดท้ายที่ฉันจำติดตาก่อนทุกอย่างจะดับวูบลง คือภาพใบหน้าหล่อเหลาของปีศาจซึ่งกำลังแสดงสีหน้าสุขสม
ขณะกำลังเชยชมและกลืนกินร่างกายฉันอยู่...