“พี่แสงอยู่ไหนแล้วคะ”
ฉันโทรหาระหว่างเดินออกมารอรถที่หน้ามอ ได้ยินเสียงดังเอะอะแทรกเข้ามาเหมือนกำลังอยู่ร้านอาหารหรือที่ไหนสักแห่งที่คนคึกคัก
[อยู่ลานเบียร์ วันเกิดรุ่นน้อง เทียนเรียนเสร็จแล้วเหรอ]
“ลานเบียร์? ”
ฉันขมวดคิ้วเพราะไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน ตอนที่นั่งเรียนก็คุยไลน์กัน ไม่เห็นบอกอ่ะ จะให้รู้สึกยังไง
“เขาชวนเฉพาะคนในคณะเหรอคะ”
[อ้อ คือมันฉุกละหุก พี่เลยไม่ได้บอกเทียน เทียนจะมาหรือเปล่าล่ะ]
“พี่แสงจะมารับเทียนมั้ยล่ะ”
[เทียนนั่งแท็กซี่มาสิ เดี๋ยวพี่แชร์โลเคชั่นให้]
“ให้เทียนนั่งแท็กซี่ไปเหรอ”
[อืม แถวนี้หาที่จอดรถยาก ถ้าพี่เอารถไปรับเทียนพี่กลัวว่ากลับมาจะไม่มีที่จอด อีกอย่างกว่าจะวนรถไปกลับมันก็นาน เทียนนั่งแท็กซี่มาเลยไวกว่า]
ฉันหยุดเดิน ฟังพี่แสงนิ่งๆ แล้วอารมณ์ก็เหมือนจะขึ้น ไม่สิ จริงๆ ไม่พอใจตั้งแต่บอกให้นั่งแท็กซี่ไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องมากหรืออะไรนะ แต่แค่ไม่เข้าใจอ่ะ พูดเหมือนไม่อยากให้ไป แล้วงานวันเกิดรุ่นน้องมันเป็นไปได้เหรอที่เพิ่งรู้ โว้ย! โมโห
“ไม่เป็นไรค่ะ งั้นเทียนไม่ไปดีกว่า พี่แสงก็อย่าดื่มมากนะเดี๋ยวจะขับรถกลับไม่ได้”
ฉันฝืนพูดให้ดูเหมือนไม่ได้เป็นอะไร แต่จริงๆ ในใจนี่เดือดพล่านจนแทบจะต้มไข่สุกอยู่แล้ว ไม่อยากพูดแบบนี้เลย แต่ถ้าเป็นเมื่อก่อน ไม่ว่าที่ไหนเมื่อไหร่ พี่แสงจะรีบมาหาฉันทันทีที่เรียก จะไม่มีข้ออ้างหรือเหตุผลที่น่าลำไยอย่างงี้
ติ้ง!
ลูกกอล์ฟ : อิเจ้ กระเป๋ามึงอะ มีคนสนใจ เอามาเดี๋ยวนี้
ระหว่างที่กำลังหัวเสียเรื่องพี่แสง เมสเซนเจอร์ก็เด้งเตือนขึ้นมา ฉันตาโตทันทีที่รู้ว่าใคร แล้วยิ่งอ่านข้อความที่นางพิมพ์มายิ่งตื่นเต้นจนลืมเรื่องที่ทำให้ขุ่นใจไป
เทียน : ใบไหน
ลูกกอล์ฟ : ชาแนลใบสีขาวน่ะ
เทียน : อ๋อๆ อยู่ห้อง ตอนนี้เลยเหรอ พร้อมโอนมั้ย
ลูกกอล์ฟ : เขาขอดูสภาพก่อนน่ะ
เทียน : บอกไปว่าเพิ่งใช้แค่ครั้งสองครั้ง ฉันกลับห้องแป๊บ เดี๋ยวถ่ายรูปให้ดู
ลูกกอล์ฟ : เออๆ
ฉันยิ้มร่าทันที รีบสาวเท้าออกมาโบกแท็กซี่กลับห้อง หุหุ ได้เงินใครจะไม่ดีใจ
พอมาถึงฉันก็รีบค้นกระเป๋าที่เก็บเอาไว้ดิบดีในลิ้นชักมาแกะถ่ายรูปส่งให้ลูกกอล์ฟ ไม่สิ จริงๆ มันชื่อ กอล์ฟเฉยๆ เป็นผู้ชายถึกๆ ตัวดำๆ แต่ใจสาวมากกกเป็นเพื่อนสนิทกันตอนมัธยม แต่เข้ามหาลัยคนละที่เลยห่างๆ กัน ว่างถึงนัดเจอ แต่ก็สนิทเหมือนเดิม ส่วนใหญ่ก็คุยกันในโซเซียลเนี่ยแหละ
ฉันฝากกอล์ฟขายกระเป๋ากับพวกน้ำหอมแบรนด์เนมในไอจี นี่ก็ขายออกไปสามสี่ชิ้นละ หักค่านายหน้าให้มันนิดหน่อย ที่เหลือก็เข้ากระเป๋าฉันเต็มๆ ยังไงก็กำไรเพราะของได้มาฟรี พี่แสงซื้อให้ทั้งนั้น แต่หลังๆ เริ่มจะอ้อนไม่ได้ละ รู้สึกพี่แสงงกขึ้น ไม่รู้เพราะหวงเงินหรือเพราะหมดช่วงโปรโมชั่นก็ไม่รู้
ฉันสลับหน้าจอมาทักไลน์หาพี่แสงหลังถ่ายรูปกระเป๋าให้กอล์ฟเสร็จ แต่พี่แสงไม่อ่านไลน์เลย เขาเป็นแบบนี้อีกแล้ว แรกๆ ที่คบกันใหม่ๆ ก็อ่านตลอด ไม่เคยต้องให้รอ แต่หลังๆ ไลน์ไปไม่อ่าน ปล่อยเบลอข้ามวันก็มี พอถามก็บอกเรียนหนัก งานเยอะ ไม่มีเวลาจับโทรศัพท์ บางทีไปทำงานห้องเพื่อนเป็นอาทิตย์ ฉันเคยไปนั่งเฝ้าสมัยจีบกันใหม่ๆ ก็เห็นเขาทำงานจริงๆ นั่งขลุกอยู่หน้าจอคอม เขียนแบบ ออกแบบแปลนอาคารหลายสิ่งอย่าง แรกๆ ฉันก็ชื่นชมอยู่หรอกแต่หลังๆ ก็เซ็ง เลิกเฝ้า เลิกตาม กลับมานอนเล่นที่ห้องสบายใจกว่า
อย่าว่าแต่พี่แสงที่หมดโปรโมชั่น ฉันเองก็ไม่ได้หวานเหมือนวันแรกที่คบกัน แต่ก็ไม่ได้แปลว่าชอบน้อยลง ฉันยังอยากเอาใจเขา อยากให้เราเข้าใจกัน และอยากให้เขาเห็นฉันเป็นคนสำคัญเหมือนเดิม
เพียงแต่… ฉันไม่เข้าใจทำไมต้องรู้สึกเหงาและหดหู่ขนาดนี้
ติ้ง!
ลูกกอล์ฟ : เจ้ ลูกค้าอยากดูของจริง
ฉันขมวดคิ้วเมื่อเห็นข้อความกอล์ฟเด้งขึ้นมา
เทียน : เอาจริงๆ หรือเปล่า
ลูกกอล์ฟ : นางบอกถ้าถูกใจก็พร้อมโอน แต่ต้องดูสภาพจริง นางคงกลัวแบบย้อมแมวขายไรงี้
เทียน : อืมๆ ได้ งั้นแกมาเอาไป
ลูกกอล์ฟ : เดี๋ยวอิเจ้ ฉันไม่ว่าง แกต้องไปเจอลูกค้าเอง
เทียน : เฮ้ยมันจะดีเหรอ ถ้าเกิดนางรู้ว่าฉันเป็นใคร ฉันก็ซวยสิ
ลูกกอล์ฟ : งั้นเอาไงล่ะ นางขอดูวันนี้ แกอ่ะคิดมาก ไม่มีไรหรอก
เทียน : ฉันจะเชื่อได้ไง
ลูกกอล์ฟ : อิเจ้ ไม่มีใครมานั่งจับผิดแกหรอก คิดมาก เออๆ เดี๋ยวฉันเลื่อนลูกค้าแล้วกัน แต่ไม่รับรองนะว่านางจะรอ เนี่ยฉันบอกนางว่าวันอื่นได้มั้ย นางถามกลับว่าตกลงมีของจริงหรือเปล่า
ฉันมองข้อความของกอล์ฟแล้วคิดหนัก ปกติเวลาปล่อยของฉันจะปล่อยผ่านนาง ไม่เคยคุยกับลูกค้าเอง ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องถึงหูพี่แสง แต่เขาก็มีถามๆ บ้างนะว่าของไปไหนหมด ฉันก็ได้แต่ปั้นหน้าใสซื่อตอบไปว่าเอากลับไปเก็บที่บ้านแม่ แฮร่~
เทียน : เอาชื่อลูกค้ามาสิ ฉันจะเข้าไปส่อง ถ้าไม่ใช่คนใกล้ตัวจะปล่อยให้
แล้วกอล์ฟก็แคปภาพที่คุยกับลูกค้ามาให้
บรื๋น!!!
ฟ้าววว~
รถสองสามคันวิ่งแซงวินมอเตอร์ไซค์ที่ฉันนั่งไปแบบความเร็วแสง ลมตีกลับพัดวูบจนมอเตอร์ไซค์เซ ผมปลิวไหวพันหูพันตายุ่งเหยิงไปหมด ฉันยึดราวท้ายเบาะจนตัวเกร็ง อีกมือกอดกระเป๋าเอาไว้แน่น
เมื่อกี้นี่อย่างกับกำลังขับรถแข่งกันอย่างงั้นแหละ
พอตรงมาเรื่อยๆ ก็เริ่มเห็นคนอยู่ตามไหล่ทางเยอะขึ้นเหมือนมารอชมอะไรสักอย่าง ตอนที่ลูกค้านัดมาที่นี่ฉันก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ แต่นางบอกคนอยู่เยอะ ไม่น่ากลัว ฉันก็ไม่ได้ถามอะไรซอกแซก เห็นว่าพี่แสงไม่อยู่พอดี โอกาสเหมาะก็เลยออกมา อย่างน้อย ขายเองก็ไม่ต้องแบ่งค่านายหน้าให้อิกอล์ฟมัน
“พี่จอดแถวๆ นี้ก็ได้ค่ะ”
ฉันบอกพี่วินมอเตอร์ไซค์เมื่อมาถึงที่ที่คนชุมนุมกันเยอะๆ จนเต็มถนนแทบไม่มีทางให้รถผ่าน
“ฮะโหล ถึงแล้วนะคะ ตัวเองอยู่ไหน”
ฉันโทรหาลูกค้าที่นัดมาดูกระเป๋า เป็นทรงคลัทช์ ใส่ไปเที่ยวผับหรือออกงานก็เก๋ดี ซื้อมาเกือบแปดหมื่น แต่ขายต่อเจ็ดหมื่นสอง เพิ่งใช้แค่สองครั้ง ไม่มีตำหนิ ใครได้ไปคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม
[อยู่ตรงไหน เห็นป้ายไฟหรือเปล่า ก่อนถึงโค้งที่มีซุ้มขายน้ำ]
ซุ้มขายน้ำเหรอ ฉันรีบสแกนไปรอบๆ ทันที
“อ่อ เห็นแล้ว อยู่ตรงนั้นเหรอ”
[เปล่า]
“อ้าว”
[อยู่ฝั่งตรงข้าม ใส่แจ็กเกตหนังสีขาว แล้วเธอ...]
“เข้าใจแล้ว เดี๋ยวเดินไปหา”
ฉันตัดสายทันทีที่รู้พิกัด เดินข้ามถนนไปอย่างรีบร้อน แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น จู่ๆ ก็มีแสงสว่างจ้าโผล่มากะทันหัน
ปี้นนนนน
“กรี้ดดดดด”
เอียด!!!
ฉันใจหายวาบ เข่าอ่อนล้มพับลงกับพื้น ได้ยินเสียงร้องโหวกเหวกดังมาจากสองฝั่งถนน แต่ไม่ยักมีใครวิ่งเข้ามาดูราวกับเป็นสิ่งต้องห้าม
ยกเว้น...
ปึ้ก!
เสียงปิดประตูรถดังก้องท่ามกลางบรรยากาศเงียบกริบ เวลารอบตัวคล้ายหยุดเดินไปชั่วขณะ ช่วงขาเรียวยาวก้าวมาหยุดตรงหน้า ฉันไล่สายตาขึ้นไปมองทันที แสงไฟหน้ารถจ้าแยงตาจนทำให้มองอะไรไม่เห็นชั่วขณะ แต่ไม่นานสายตาฉันก็ปรับตัวได้
“เรซ”
หัวใจฉันกระตุกไหวเมื่อรู้ว่าคนตรงหน้าคือใคร ลนลานลุกขึ้นแต่ว่าข้อเท้าฉันปวดจนยืนไม่ไหว ทรุดลงกองกับพื้นเหมือนเดิม
“เธอคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่”
เสียงเย็นยะเยือกดังลอดไรฟัน เรซท่าทางโกรธจัด กระชากต้นแขนฉันขึ้นไปอย่างไม่ปรานีปราศรัย
“โอ๊ย เรซ… ฉันเจ็บ”
ฉันนิ่วหน้า ยืนซวนเซเพราะข้อเท้าที่ปวดหนึบ แต่ว่าเรซไม่แม้แต่จะถามอะไรฉันด้วยซ้ำ เขาลากฉันออกมาก่อนจะเหวี่ยงออกข้างทางอย่างเกะกะ
“กรี๊ด! ทำบ้าอะไรของนาย” ฉันถลาไปชนกับถังขยะดังโครม หันกลับไปมองเรซอย่างโมโห เจ็บก็เจ็บแต่ว่าการกระทำที่ป่าเถื่อนของเรซทำฉันโกรธจนแทบคลั่ง หมอนั่นไม่พูดอะไรสักคำ ผลักฉันจนกระเด็นแล้วเดินกลับไปขึ้นรถขับออกไปทันที
บรื๋นนนน
ลมร้อนๆ ตีแสกหน้า ฉันได้แต่ยืนกุมใจตัวเองแน่น ยังตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไม่หาย เมื่อกี้เกือบจะโดนรถชนแถมคนขับยังเป็นเรซ นอกจากจะไม่ปลอบใจแล้วยังหยาบคายกับฉันอีก ทำไมถึงได้ซวยอย่างนี้
ฉันกำมือแน่น นึกแค้นเรซจนอยากหักคอเขาจริงๆ ก่อนจะสะดุ้งเพราะเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้น
“.....”
ฉันอ้าปากพะงาบๆ เมื่อเห็นเบอร์ลูกค้าที่โทรเข้ามา พลันระลึกถึงกระเป๋าทันที แต่ว่าตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวฉันมีแค่โทรศัพท์กับเงินไม่กี่ร้อยที่ซุกไว้ในกระเป๋ากางเกง ส่วนกระเป๋าที่หอบหิ้วก่อนหน้านี้นั้น…
สายตาฉันเหลือบมองเข้าไปในถนนอย่างกลั้นหายใจ ก่อนจะเห็นกระเป๋าราคาหลายหมื่นหล่นอยู่ตรงนั้น ฉันกล้ำกลืนความเจ็บที่ข้อเท้า รีบร้อนวิ่งกลับเข้าไปในถนนโดยไม่สนสายตาใครทั้งนั้น
“ไม่จริง… ไม่นะ ต้องไม่ใช่แบบนี้”
ฉันอ้าปากค้าง ทรุดตัวลงหยิบชาแนลที่ถูกเหยียบจนแบนขึ้นมาอย่างหัวใจสลาย รอยล้อรถของเรซที่ฝังแน่นบนกระเป๋าใบละเกือบแสนทำฉันกรีดร้องออกมาอย่างสติแตก
“กรี๊ดดดดดด ไม่จริ๊งงงงงง”