ฉันยังสั่นไม่หยุด หลังจากเดินลากเท้าออกจากถนนด้วยหัวใจที่แตกสลายก็มายืนลนลานข้างเสาไฟ โทรศัพท์ยังคงดังไม่หยุด ฉันพยายามเรียกสติตัวเอง กลั้นใจยกมือถือขึ้นมาดู พอเห็นว่าเบอร์ใครก็กดรับด้วยเสียงที่แหบแห้ง
“ค่ะ”
[กระเป๋าจะได้ดูมั้ยคะ]
“คือ… เห็นใช่มั้ยว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นที่ถนน”
ฉันพูดด้วยเสียงที่ใกล้จะหมดแรงเต็มทน ร่างกายไม่ได้เจ็บอะไร แต่ที่ทำฉันเข่าทรุดคือกระเป๋าโดนรถเหยียบต่างหาก รอยตะขาบที่สลักบนหนังสวยๆ มันเหมือนใบมีดกรีดลึกลงในหัวใจฉันอย่างเลือดเย็น
ว้อยยย ไอ้เรซชั่ว ไอ้บ้า คนสารเลว ชาตินี้ฉันจะไม่ยกโทษให้นายเด็ดขาด
[คะ ที่มียัยบ้าวิ่งตัดถนนน่ะเหรอ เห็นสิ ดีนะที่เป็นเรซไม่อย่างงั้นได้นอนโรงศพไปแล้ว]
เฮือก… ได้ยินแล้วใจแป้ว นี่ไม่คิดจะเข้าข้างคนที่เกือบจะโดนรถชนบ้างเลยเหรอ
“ทะทำไมพูดเหมือนคนนั้นผิดเลยล่ะ”
[อ้าว! ก็ผิดดิ ผิดมากด้วย สงสัยอยากตาย ข้ามตอนไหนไม่ข้ามข้ามตอนมีรถ]
อ้าวยัยนี่จะเปิดวอร์ใช่มั้ยห๊ะ ถ้าฉันรู้ว่ามีรถมาฉันจะข้ามทำไมโว้ย ใครจะอยากตายวะ ยิ่งฟังยิ่งของขึ้นแต่ก็ไม่กล้าเถียงเพราะฉันยอมรับว่าประมาทเอง ก็เห็นถนนมันโล่งๆ ใครจะไปคิดว่าจู่ๆ แม่งจะมีรถโผล่มา แล้วดันเป็นเรซ… แล้วทำไมมันต้องเหยียบกระเป๋าฉันเข้าเต็มๆ เหมือนจงใจอีก แกล้งกันใช่มั้ย ฮือออ
“ค่ะ น้องจะดูกระเป๋าใช่มั้ยคะ งั้นช่วยข้ามมาหาพี่ได้หรือเปล่า พี่ไม่น่าจะเดินไหวแล้วล่ะ”
[อ้าว อืมๆ อยู่ตรงไหนเดี๋ยวไปหา]
ฉันบอกตำแหน่งพร้อมกับเสื้อผ้าที่สวมให้ลูกค้ารู้ ไม่ถึงห้านาทีเธอก็มายืนอยู่ตรงหน้าฉัน เป็นผู้หญิงแต่งตัวดี หน้าสวย ดูเฟียซตั้งแต่หัวจรดเท้า ต่างกับฉันที่ถึงจะเป็นเจ้าของกระเป๋าแต่ดันใส่เสื้อยืดรัดรูปถูกๆ กับกางเกงยีนขาสั้นและรองเท้าบูธธรรมดาๆ ฉันว่าฉันก็ดูดีระดับหนึ่งนะแต่พอเทียบกับผู้หญิงตรงหน้าที่ใส่เสื้อผ้าอีกเกรดแล้วฉันดรอปลงทันที
“ที่ขายกระเป๋าในไอจีหรือเปล่า”
“อื้ม” ฉันพยักหน้า รู้สึกอับอายกับสายตาประเมินที่เธอมองมายังไงก็ไม่รู้ ชิ รู้งี้แต่งตัวดีๆ มาก็ดีหรอก เห็นนัดมาข้างถนนก็เลยไม่ได้คิดมากเรื่องสไตล์การแต่งตัว ฮึ่ม
“ไหนล่ะกระเป๋า”
หน้าฉันซีดลงทันทีเมื่อถูกทวงถาม ยื่นกระเป๋าที่ซ่อนเอาไว้ข้างหลังให้เธอดูอย่างไม่กล้าแม้แต่จะสบตา ความจริงยัยนี่ยังไม่ได้โอนเงินสักบาท ฉันจะปฏิเสธและบอกไม่ขายไปเลยก็ได้ แต่เข้าใจอารมณ์ไหม ฉันจะไม่ยอมเห็นกระเป๋าในสภาพนี้คนเดียว ฮือ ให้ตายก็ไม่ยอมเด็ดขาด
“นี่อะไร… รอยพวกนี้มาจากไหน ในรูปไม่เห็นมีแบบนี้เลย”
“รอยล้อรถ”
“ล้อรถ?”
“อืม เมื่อกี้ ยัยบ้าที่เธอด่าคือฉันเอง แล้วกระเป๋าเนี่ยก็ถูกรถคันนั้นวิ่งเหยียบ”
พลั่ก!
“จะบ้าเหรอ แบบนี้ใครจะไปซื้อลง เสียเวลา!”
ยัยนั่นโยนกระเป๋าคืนฉันทันที แล้วก็สาวเท้ายาวๆ ออกไปแบบไม่เหลียวหลัง นี่ตกลงฉันมาทำอะไรที่นี่เนี่ย โว้ย อยากจะบ้า คนที่ต้องบ่นว่าเสียเวลาคือฉันต่างหาก
ให้ตายสิ เสียทั้งเวลา เสียทั้งของ
เจอแบบนี้คิดว่าความโกรธฉันจะลดลงมั้ย คำตอบคือไม่!
เรซ หมอนั่นต้องชดใช้ ฉันจะไม่ยอมกลับไปทั้งๆ แบบนี้แน่ ว่าแต่เท้าเจ็บแบบนี้ฉันเดินหาเรซไม่ไหวแน่ ทำไงดี… อ๊ะ! จริงสิ ถ้าเรซอยู่นี่ไม่แน่ริกกี้อาจจะอยู่ด้วย จะหาริกกี้ก็ต้องถามคะนิ้ง
ฉันกดโทรหาคะนิ้งทันทีที่คิดออกเพราะแชทถามมันไม่ทันใจ
[เทียนมีอะไรเหรอ] เสียงปลายสายค่อนข้างแปลกใจเล็กน้อยเพราะปกติฉันไม่เคยโทรหาเลย ส่วนใหญ่จะแชทคุยมากกว่าแล้วก็แชทในกลุ่มด้วยนะ ไม่เคยแชทส่วนตัว มาคิดๆ แล้วก็ไม่สนิทกันเท่าไหร่เลยแฮะ แต่ช่างเถอะ
“คะนิ้ง ตอนนี้อยู่ไหนอ่ะ”
[ข้างนอก เทียนมีอะไรหรือเปล่า ปกติไม่เห็นโทรมา]
“ข้างนอกเหรอ อย่าบอกนะว่า… ข้างถนนที่มีคนเยอะๆ”
[เอ๊ะ ทำไมพูดเหมือนรู้เลยอ่ะ]
เสียงดังที่แทรกเข้ามาจากปลายสายทำฉันสังหรณ์ใจแปลกๆ บางทีคะนิ้งอาจจะอยู่ใกล้ๆ นี่ก็ได้
“ใช่ที่มีคนเยอะๆ แล้วมีรถวิ่งแข่งกันป่ะ” ฉันก็ไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไร แค่พูดไปอย่างที่เห็น ก่อนจะบอกชื่อถนนไปคะนิ้งรีบตอบกลับมาแทบจะทันที
[ใช่ๆ นิ้งอยู่ที่นี่แหละ ว่าแต่เทียนรู้ได้ไง]
“ก็อยู่นี่เหมือนกัน”
[....]
หลังจากนั้น
บอกตามตรงฉันค่อนข้างผิดหวัง...
“ค่อยๆ เดินนะเทียน”
คะนิ้งพยุงฉันลงจากรถหลังจากพาไปหาหมอรักษาข้อเท้าที่เคล็ด ฉันผ่อนลมหายใจเฮือก พยายามไม่หัวเสียและขอบคุณคะนิ้งที่ใจดีกับฉันขนาดนี้
ถึงเราจะเป็นเพื่อนกันแต่ก็ไม่ได้สนิทกันมากเท่าไหร่ การที่คะนิ้งทำเพื่อฉันแบบนี้มันซื้อใจฉันไปเต็มๆ เลยล่ะ
เรื่องมันมีอยู่ว่า…
ฉันโทรหาคะนิ้ง เพื่อจะหลอกถามว่าเรซอยู่ไหน บังเอิญคะนิ้งก็อยู่ที่ถนนแข่งรถใต้ดินนั่นเหมือนกัน พอคะนิ้งรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็รีบพาฉันไปตรวจร่างกายที่คลินิกใกล้ๆ ทันที ส่วนเรซ… คะนิ้งบอกว่าหมอนั่นกลับไปก่อนแล้ว นี่แหละที่ฉันโมโห
“ไม่คิดเลยนะว่าจะเป็นเทียน นิ้งได้ยินคนพูดว่ามีคนข้ามถนนตัดหน้ารถของเรซ แต่เห็นว่าไม่มีใครบาดเจ็บเลยไม่ได้ใส่ใจ”
คะนิ้งพูดทำนองเดียวกับที่เคยพูดในระหว่างทางนั่งรถกลับ แต่ตอนนั้นฉันไม่ค่อยตอบอะไรมากเพราะริกกี้ก็อยู่ด้วย เกรงใจ ไม่กล้าเหวี่ยงต่อหน้าคนไม่คุ้นเคย
ตอนนี้ริกกี้นั่งอยู่บนรถ ปล่อยให้คะนิ้งเดินมาส่งฉันคนเดียวหน้าหอพัก
“แต่เรซก็น่าโมโหจริงๆ ทิ้งคนเจ็บไว้อย่างนี้ได้ไง” คะนิ้งบ่นกะปอดกะแปด ตำหนิเรซต่างๆ นานา ราวกับว่าจะช่วยให้ฉันรู้สึกดีขึ้นอย่างงั้นแหละ แต่เปล่าเลย จิตใจฉันตอนนี้ซอกช้ำสุดๆ ถ้าชุบชีวิตกระเป๋าได้ก็ว่าไปอย่าง
“เอ้อ” ฉันนึกได้ หันไปเรียกคะนิ้งที่กำลังจะเดินกลับไปหาริกกี้ที่รถ เธอหันขวับมามองด้วยสีหน้าสงสัย
“ว่าไงเหรอ”
“ช่วยเก็บเรื่องคืนนี้ไว้เป็นความลับได้มั้ย คือ... ไม่อยากให้ใครรู้น่ะ”
ฉันก้มหน้าหลบสายตากลมโตของคะนิ้งอย่างกระดากใจ เราไม่สนิทกันมาก ไม่เคยคุยเรื่องส่วนตัวกัน เป็นแค่เพื่อนในกลุ่ม เทียบกันแล้วฉันยังสนิทกับเค้กมากกว่า คงเพราะฉันมีแฟนด้วยแหละ เวลาว่างส่วนใหญ่ก็ใช้ไปกับพี่แสง ได้เจอหน้าเพื่อนก็เฉพาะวันที่มีเรียน
“ได้สิ แต่ถึงเทียนไม่บอกนิ้งก็ไม่คิดจะเอาไปพูดอยู่แล้ว มันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะเอาไปพูดต่อนิ้งรู้ดี”
คะนิ้งเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มๆ ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองงี่เง่าไปชั่วขณะที่ย้ำบอกอะไรไม่เข้าท่า ได้แต่พยักหน้าตอบคะนิ้งไปคำเดียวว่า ‘อ้อ’ ก่อนจะแยกย้ายกัน