เวลานัดหมายสำหรับการส่งอาหารคือเวลา 17:00 นาฬิกา นลินดา ปาริตารวมทั้งพนักงานในร้านอาหารต่างก็ช่วยกันขนอาหารไปส่งที่ตึกหรูดังกล่าว หลังจากจัดเตรียมอาหารไว้เรียบร้อย นลินดาก็เดินออกมาจากห้องประชุมขนาดใหญ่ซึ่งถูกใช้เป็นห้องอาหารชั่วคราว ซึ่งเธอและพนักงานในร้านจะกลับมาเก็บภาชนะอีกครั้งตอน 19:00 นาฬิกา
นลินดาเดินออกจากห้องประชุมเป็นคนสุดท้ายตามหลังปาริตา เมื่อเดินพ้นห้องประชุมก็ต้องพบกับคนที่ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอในตึกแห่งนี้
“คุณเอริณ”
นลินดาเอ่ยเรียกเบาๆ ขยับกายถอยหลังไปหนึ่งก้าวด้วยความหวาดกลัวคนตรงหน้า ซึ่งจ้องมองเธอเขม็งขณะเค้นถามเสียงห้วน
“มาทำอะไรที่นี่”
เพราะไม่ชอบขี้หน้าของพี่สาวบุญธรรม พอเห็นหน้าของนลินดา เอริณก็หงุดหงิดอารมณ์เสียขึ้นมาในทันที แค่เห็นอีกฝ่ายในบ้านเธอก็เบื่อเต็มทนแล้ว ยังมาเจอนลินดาในบริษัทของชายคนรักอีก
“เอ่อ...พี่...”
นลินดาไม่ทันพูดจบก็ถูกเอริณตวาดเสียงลอดไรฟัน
“เธอไม่ใช่พี่ของฉัน อย่ามาแทนตัวเองว่า ‘พี่’ กับฉัน จำไว้ด้วย”
นลินดาหน้าเสีย พยักหน้ารับคำเสียงแผ่วเบา “เอ่อ...ค่ะ ฉันจะจำไว้ค่ะ”
เอ่ยตอบเสียงตะกุกตะกักไปแล้วก็ทำท่าจะเดินหนี แต่ถูกเอริณเค้นเสียงเรียกไว้
“เดี๋ยว เธอยังไม่ตอบฉันเลยว่ามาทำอะไรที่นี่”
“ฉันเอาอาหารมาส่งค่ะ”
“ในตึกนี้นะหรือ” เอริณยังคงถามเสียงห้วนเหมือนเดิม
“ค่ะ” นลินดาพยักหน้ารับคำ เพราะรู้ว่าเอริณไม่ชอบขี้หน้าของตน จึงอยากยุติการสนทนากับอีกฝ่ายด้วยการเอ่ยตัดบทว่า
“ฉันขอตัวก่อนนะคะ”
แต่ดูเหมือนเอริณไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น ยังคงเค้นถามต่อด้วยความสงสัยแกมหาเรื่องไปในตัว
“ใครสั่งอาหารอะไร แล้วเอามาให้ใครกิน”
นลินดาไม่อยากตอบคำถามของเอริณไปมากกว่านี้ จึงเอ่ยโกหกออกไป “ฉันไม่ทราบค่ะ ฉันมีหน้าที่ทำอาหารและเอามาส่งเท่านั้นค่ะ”
เอริณกวาดสายตามองรอบๆ ตัว เมื่อไม่เห็นมีใครอยู่ในรัศมี จึงขยับกายเข้าไปใกล้นลินดาอีกนิดหนึ่งแล้วเค้นเสียงถามลอดไรฟันให้ได้ยินกันแค่สองคน
“แกบอกใครในตึกนี้หรือเปล่าว่าเป็นลูกบุญธรรมของคุณแม่ฉัน”
นลินดาส่ายหน้าปฏิเสธ เตรียมตัวเตรียมใจอยู่แล้วว่าต้องเจอคำถามเช่นนี้ “ไม่ได้บอกใคร ฉันไม่ได้พูดกับใครในตึกนี้แม้แต่คนเดียว”
เอริณยิ้มเยาะตรงมุมปากพอใจกับคำตอบที่ได้ยิน “ดีมาก ห้ามปริปากพูดแม้แต่คำเดียวว่ารู้จักฉัน ห้ามบอกว่าเป็นลูกบุญธรรมของคุณพ่อคุณแม่ด้วย”
“ค่ะ ฉันทราบแล้วค่ะ”
นลินดาซ่อนความเสียใจไว้ข้างใน ขณะเดียวกันก็สาบานกับตัวเองว่าในอนาคตหากมีลูก เธอจะไม่ทอดทิ้งลูกให้กลายเป็นเด็กกำพร้า จากนั้นก็ถูกขอมาเลี้ยงให้เป็นคนใช้ถูกคนในบ้านกดขี่ข่มเหงทุกอย่างเหมือนเช่นดั่งที่เธอกำลังประสบอยู่ในขณะนี้
“ไปได้แล้ว ถ้าให้ดีแกไม่ต้องสะเออะมาที่บริษัทของคุณรามิลอีก ฉันไม่อยากให้ใครรู้ว่าแกเป็นคนรับใช้ในบ้านของฉัน”
นลินดาขมวดคิ้วเข้าหากัน ยังไม่เข้าว่าบุคคลที่สามที่ถูกเอริณกล่าวถึงนั้นคือใครกัน
“ฉันแค่ทำงานของฉัน เอาอาหารมาส่งและก็มาเก็บจานชามหลังจากพนักงานกินข้าวเสร็จแล้ว ซึ่งฉันไม่รู้จักว่าใครคือคุณรามิลที่คุณเอริณกำลังพูดถึง”
“คุณรามิลเป็นเจ้าของตึกแห่งนี้ และเป็นแฟนของฉันด้วย”
เอริณประกาศความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของหนุ่มฮอตแห่งปี แถมยังเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของประเทศรัสเซียด้วย
และก่อนเอริณจะขี้ตู่ไปมากกว่านี้ ก็มีอันต้องสะดุ้งตกใจกับน้ำเสียงห้าวทุ้มที่เอ่ยเยาะหยันดังมาจากข้างหลังตัวเธอ
“ผมเป็นแฟนของคุณตั้งแต่เมื่อไร เอริณ!”
บทที่ 4
เอริณและนลินดาหันไปมองตามที่มาของน้ำเสียงห้าวทุ้มแทบจะพร้อมๆ กัน และต่างก็แสดงความรู้สึกแตกต่างกันเมื่อเห็นใบหน้าของชายหนุ่มลูกครึ่งจากดินแดนหมีขาวผู้หล่อเหลาคนนี้
“คุณรามิล”
เอริณทั้งตกใจทั้งดีใจเมื่อเห็นบุรุษที่เธอหมายปอง ร่างบางถลาเข้าไปหาหมายจะสวมกอดรามิลไว้ แต่แล้วก็ต้องหน้าเสียเมื่อรามิลขยับกายถอยหนีไม่ให้แตะต้องตัวเขาได้
‘เขาชื่อรามิล เป็นแฟนคุณเอริณ’
เป็นครั้งแรกที่นลินดารู้แล้วว่าเจ้าของผ้าเช็ดหน้าสีขาวคือใคร และเมื่อคิดว่าชายหนุ่มผู้
นี้เป็นคนรักของเอริณจริงๆ ก็ลอบถอนหายใจด้วยความเสียดาย เพราะเธอเองก็แอบชื่นชอบเขาอยู่ไม่น้อย แค่หาใช่เพราะความร่ำรวยระดับอภิมหาเศรษฐีที่รามิลเป็นอยู่ไม่ แต่หญิงสาวแอบปลื้มที่อีกฝ่ายช่วยทำแผลให้เธอด้วยกริยาอ่อนโยนต่างหาก
และด้วยกำลังตกอยู่ในภวังค์ของความคิด นลินดาจึงไม่ได้ยินคำทักทายจากรามิล กระทั่งชายหนุ่มต้องเอ่ยเรียกซ้ำพร้อมกับเอื้อมมือใหญ่มาจับกุมมือของเธอไว้ด้วย
“นลิน ไม่ได้ยินที่ผมถามหรือครับ”
“เอ่อ...ถามว่าอะไรคะ”
นลินดากลับมาเป็นตัวของตัวเอง พอรู้สึกได้ว่ารามิลจับมือเล็กของเธอไปกุมไว้ โดยมีสายตาโกรธขึงลุกเป็นไฟของเอริณจับจ้องมองอยู่ด้วย ก็รีบชักมือออกพร้อมกับขยับถอยหนี
แต่รามิลกลับไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น พอนลินดาก้าวเดินหนี ชายหนุ่มก็รุกเข้าใส่โดยมี
เอริณตามเกาะแข็งเกาะขาอยู่ไม่ห่าง
รามิลอมยิ้มขณะจ้องมองใบหน้างามของคนตรงหน้า พลางเอ่ยถามซ้ำอีกครั้ง
“ผมถามว่าคุณมาทำอะไรในบริษัทของผม”
“ฉัน...เอาอาหารมาส่งค่ะ”
นลินดาตอบเสียงสั่น ยิ่งเดินหนีรามิลก็ยิ่งถูกอีกฝ่ายเดินตาม และด้วยมั่นใจว่าเอริณกำลังโกรธไม่พอใจเป็นอย่างมากที่เธอพูดคุยกับรามิล จึงล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบผ้าเช็ดหน้าซึ่งซักรีดเรียบร้อยแล้วมายื่นให้กับรามิลด้วย
“เจอคุณก็ดีแล้วค่ะ ฉันอยากคืนผ้าเช็ดหน้าให้คุณค่ะ”
รามิลหลุบสายตามองผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในมือเล็ก และแทนที่จะรับผ้าเช็ดหน้ามาจากนลินดา ชายหนุ่มกลับรวบมือเล็กมากุมไว้ เอ่ยถามถึงบาดแผลที่เกิดขึ้นเมื่อวาน
“แผลของคุณเป็นยังไงบ้างครับ”
“ดีขึ้นแล้วค่ะ” ขณะเอ่ยตอบนลินดาก็พยายามดึงมือออกแต่รามิลก็ยังคงกุมไว้แน่น
“ขอผมดูแผลหน่อยสิ”
คราวนี้รามิลถือวิสาสะคว้ามือเล็กอีกข้างที่ถูกมีดบาดมาพลิกดูบาดแผล พอเห็นว่านลินดาติดพลาสเตอร์ไว้ก็ยิ้มบางๆ ด้วยความพึงพอใจโดยไม่ลืมเอ่ยถามด้วย