‘ก๊อก ก๊อก’
ขออนุญาตครับ เสียงผู้ช่วยมือขวาดังขึ้นหน้าประตู
“เข้ามา”
“เอกสารที่นายวิชญ์ต้องการครับ”
“อืม”
เตวิชญ์เงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะวางมือจากเครื่องคอมพิวเตอร์ แล้วหันมารับเอกสารจากเลขา เปิดออกอ่าน กวาดสายตามองอย่างละเอียด
“ของที่จะส่งให้ลูกค้า พอใช่มั้ย”
“พอครับ ผมสอบถามไปทางฝ่ายผลิตเรียบร้อยแล้ว”
เตวิชญ์พยักหน้า ก่อนจะหยิบปากกามาเซ็นอนุมัติ
“วันนี้มีไรอีกหรือเปล่า” ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู บอกเวลาสิบห้านาฬิกา อีกครึ่งชั่วโมงเขาจะต้องแวะไปที่บ้านใหญ่ ถึงไม่อยากไป แต่วันนี้คงเลี่ยงยาก เมื่อสาครโทรมาบอกมีเรื่องจะคุยด้วย
“ไม่มีแล้วครับ” นิครวบแฟ้มที่วางอยู่บนโต๊ะเจ้านายขึ้นแนบอก เตรียมจะหอบออกไปเคลียร์ด้านนอกต่อ
“แล้วนี่…เจนไปไหน”
นิคชะงัก ในรอบหลายเดือนที่ไม่ได้ยินเจ้านายถามหาผู้ช่วยสาว เคยคิดว่าทั้งคู่คงมีเรื่องทะเลาะ หรือผิดใจกัน เพราะเจนจิราก็หายหน้าหายตาไปเป็นเดือน
แต่จู่ๆ ก็กลับมา และเทียวเข้าเทียวออกห้องเจ้านายเป็นว่าเล่น พอเข้าอาทิตย์นี้ก็เริ่มหายไปอีก
สองคนนี้ต้องมีปัญหากันแน่ แต่ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร ทะเลาะกันเหรอ ก็ไม่น่าจะใช่ ในเมื่อที่ผ่านมาเคยเห็นผู้ช่วยสาวเถียงเจ้านายบ่อยครั้ง ทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ แต่เตวิชญ์ก็ไม่เคยโกรธนาน บางครั้งยังหัวเราะอารมณ์ดีที่แหย่ให้ผู้ช่วยสาวของขึ้นได้
แล้วคราวนี้มันเรื่องอะไรกัน เคยคิดจะถามเจ้านายหลายครั้งเหมือนกัน แต่พอสบตาคมดุคู่นี้ ก็ได้แต่กลืนคำพูดลงท้องไป อย่าหาเรื่องดีกว่า เพราะเจ้านายก็ดูเปลี่ยนไปจนเขาปรับตัวตามแทบไม่ทัน
“ได้ยินว่านายใหญ่เรียกพบครับ”
“ใครเรียกพบนะ!” มือที่หยิบไอแพดขึ้นมาดูตารางงานชะงัก ต้องถามซ้ำอีกครั้ง ไม่แน่ใจ
“นายใหญ่ครับ”
“นานหรือยัง?”
“ตั้งแต่บ่ายสองแล้วครับ”
“มีเรื่องไร”
“ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ ได้ยินไอ้เดย์มันบอก”
“แล้วไม่รู้จักถาม” น้ำเสียงหงุดหงิดไม่พอใจ สายตาตวัดมองหน้าลูกน้อง ทำเอานิคย่นคอหัวหด
อะไรกันเนี่ย...ใครจะไปรู้ล่ะ ว่าเจ้านายยังสนใจเรื่องของผู้ช่วยสาวอยู่ ก็เห็นไม่ถามหามาชาติหนึ่งแล้ว
“ขอโทษครับ ผม...เอ่อ...คิดว่าไม่เกี่ยวกับงาน ก็เลยไม่ได้ถาม”
เตวิชญ์ลุกพรวดพราดเดินออกจากห้อง นิคได้แต่ยืนนิ่งอึ้ง เจ้านายของเขาชักจะแปลกขึ้นทุกวัน ชอบทำอะไรปุบปับ อารมณ์ก็แปรปรวนจนตามไม่ทัน ยังพูดไม่ทันจบก็เปิดแน่บไปแล้ว
...ตกลงคืนนี้ ต้องอยู่ทำงานจนดึกดื่นเป็นเพื่อนเจ้านายอีกหรือเปล่า ก็ไม่รู้
ผู้ช่วยหนุ่มยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ อย่างตัดสินใจไม่ถูก จะกลับก่อนก็กระไร เพราะตอนกินเหล้ายังอยู่ด้วยกันได้ดึกดื่นเที่ยงคืน พอเรื่องงานจะชิ่งหนีกลับก่อน ก็รู้สึกละอาย
...หรือจะโทรถามดี โทรให้ถูกด่าหรือไง
...เอาวะให้โอกาสเจ้านายหน่อยละกัน ถ้าถึงเวลาเลิกงานแล้วไม่มา ไอ้นิคเผ่น!!
“นั่งก่อนสิเจน” สาครส่งยิ้มให้หญิงสาวรุ่นลูก พร้อมกับผายมือเชื้อเชิญให้นั่ง
“ค่ะนายใหญ่”
ใบหน้าสวยหวาน ผิวขาวผ่อง รูปร่างสะโอดสะอง ภายใต้เสื้อเชิ้ต กางเกงยีนส์พอดีตัวอวดเรียวขาเล็กดูทะมัดทะแมง และสวยสง่า
ไม่ใช่มีดีแค่เพียงคุณสมบัติเรื่องหน้าตากับรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แม้แต่เรื่องงานเธอก็เก่งกาจ ขยันขันแข็ง ถึกทน ทำงานได้ไม่น้อยหน้าผู้ชายอกสามศอก
สายตาชื่นชมจากผู้สูงวัย ทั้งยังรู้สึกเอื้อเอ็นดูเจนจิราราวกับเป็นลูกหลานคนหนึ่ง
เมื่อไม่นานมานี้ ยังเห็นตัวเล็กๆ ผอมเก้งก้าง วิ่งตามลุงมิ่งมาที่ฟาร์มบ่อยๆ บางครั้งก็เห็นวิ่งตามเตวิชญ์ต้อยๆ เผลอแป๊บเดียวโตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันหมดแล้ว
“ไม่ต้องทำหน้าเครียดแบบนั้นหรอก ฉันแค่อยากถามอะไรบางอย่างเท่านั้น ถือซะว่าเรามานั่งคุยกัน ไม่ต้องกังวลไป”
“ค่ะ”
จะไม่ให้เธอรู้สึกกังวลได้อย่างไร เมื่อจู่ๆ สาครก็ให้คนไปตามตัวมาพบ บอกมีเรื่องจะคุยด้วย หญิงสาวคิดเดาไปสารพัดเรื่องที่สาครจะพูดด้วย แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก
ถึงมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้สร้างปัญหาอะไร แต่เพราะเรื่องนั้นทำให้คนมีชนักติดหลังแบบเธอ อดระแวงไม่ได้
“เจ้าวิชญ์มันเป็นไงบ้าง” จู่ๆ เรื่องที่สาครถามขึ้น ก็ดันพาดพิงถึงคนที่เธอนึกถึงพอดี
“คะ?”
“หายเมาหยำเปยัง”
“เอ่อ…ไม่แล้วค่ะ”
“หือ? ไม่อะไร”
“ไม่เมาแล้วค่ะ”
“เจน...ไม่ต้องมาแก้ตัวให้มันหรอก เรานี่นะชอบเข้าข้างเจ้าวิชญ์มันตะพึด” น้ำเสียงบ่งบอกอาการรู้ทัน
ที่ผ่านมาทำไมจะไม่รู้ว่าเจนจิราภักดีกับเตวิชญ์เพียงใด ไม่เคยคิดขายเจ้านายสักครั้ง ถามกี่ทีก็ดีทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคนหรืองาน ไม่เคยมีปัญหา คราวนี้ก็คงเหมือนกัน
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะนายใหญ่”
“แล้วยังไง มันมาทำงานทำการบ้างหรือเปล่า หรือปล่อยให้เราทำอยู่คนเดียว”
“ทำค่ะ…มาทำงานแต่เช้า และก็เลิกดึกทุกคืน”
“หือ?...นี่ฉันฟังผิดไปหรือเปล่า”
“จริงๆ ค่ะ เจนไม่ได้พูดแก้ตัวให้นะคะ นายวิชญ์มาทำงาน และอยู่จนดึก”
“ตกลงมันไม่ได้กินเหล้าจนเมาแล้วเหรอ”
“ไม่เห็นกินแล้วนะคะ”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“นะ...น่าจะเกือบสองเดือนแล้วค่ะ” ทุกอย่างมันเปลี่ยนเร็วมาก หลังจากเหตุการณ์คืนนั้น ไม่ใช่แค่เขา รวมถึงเธอด้วย ที่ยังเข้าหน้ากันไม่ติดมาจนถึงทุกวันนี้
“จริงเหรอ?”
“ค่ะ”
สีหน้าชายสูงวัยดูครุ่นคิด และประหลาดใจ จำได้ว่าแวะไปหาลูกชายคนเล็กครั้งล่าสุด เตวิชญ์ดูเปลี่ยนไปแทบเป็นคนละคน
จากที่เคยพูดเก่ง สนุกสนาน เฮฮา กลับเงียบขรึม ถามคำตอบคำ ไม่พูดเล่นเหมือนแต่ก่อน ร่างกายก็ทรุดโทรม ปล่อยเนื้อปล่อยตัว ซังกะตายเหมือนอยู่ไปวันๆ ข้าวปลาไม่กินเอาแต่ดื่มเหล้า ถามพวกลูกน้องก็บอกดึกทุกคืน บางทีก็อยู่กันจนโต้รุ่ง
ผู้เป็นพ่อได้แต่มองดูอยู่ห่างๆ ด้วยความเป็นห่วง แต่คงต้องปล่อยให้เตวิชญ์ได้ทำใจสักพัก อยากดื่มก็ให้ดื่มไป คิดว่าไม่นานก็คงจะดีขึ้น
แต่ระยะเวลาเป็นเดือนที่ยังเห็นเมาหัวราน้ำ ก็อดกังวลไม่ได้ ขืนปล่อยไปแบบนี้ไม่เป็นพิษสุราเรื้อรัง ก็คงเป็นโรคร้ายสักโรค ในเมื่อไม่กินไม่นอน เอาแต่ดื่มเหล้า
แต่พอได้ยินคำยืนยันจากปากเจนจิราว่าลูกชายเขาไม่ดื่มแล้ว ก็รู้สึกประหลาดใจ และยิ่งแปลกใจมากยิ่งขึ้น เมื่อได้ยินว่าเตวิชญ์มาทำงานทุกวัน และอยู่จนดึกดื่นเที่ยงคืน
“หรือมันจะทำใจได้แล้ว”