“ใช่ค่ะ ทัวร์จะออกเดินทางวันมะรืนนี้ค่ะ เป็นทัวร์วัฒนธรรมค่ะ คุณเข้าไปติดต่อในนี้นะคะ” เธอผายมือไปที่ประตูทางเข้าสำนักงาน
“ครับ”
เขาพยักหน้ารับ แสดงสีหน้าว่าเข้าใจ ทว่าหญิงสาวรีบแทรกขึ้น
“เอ่อ…แต่ว่าตอนนี้ยังจองไม่ได้นะคะ”
“ทำไมครับ” เขาขมวดคิ้วอีก
“อีกสองชั่วโมงสำนักงานจะเปิด ตอนนั้นคุณค่อยมาใหม่อีกที คือว่าตอนนี้พนักงานที่จะให้รายละเอียดเกี่ยวกับทัวร์ที่เราจัด ยังไม่มาทำงานค่ะ”
อธิบายจบก็เหลือบมองนาฬิกาข้อมือของตัวเอง คิดว่าคงมีเพียงเท่านี้ที่เธอจะช่วยเขาได้ ขืนชักช้าเสียเวลามากไปกว่านี้จะสาย รู้ดีว่าย่านนั้นรถติด
ชายหนุ่มทำสีหน้าผิดหวัง หากยังไม่ละความพยายาม
“ผมอยากไปวันนี้…จะได้ไหมครับ” เขาวิงวอนด้วยน้ำเสียงและแววตา
“ทัวร์เต็มแล้วค่ะ ไม่ได้จริงๆค่ะ” เธอส่ายหน้า นึกในใจว่าอีตานี่ขี้ตื๊อใช่ย่อย
“งั้น…ผมขอนามบัตรคุณได้ไหมครับ”
ได้ยินที่เขาถาม หญิงสาวจึงหยิบนามบัตรออกมาจากกระเป๋าสตางค์
“นี่ค่ะ…นามบัตร”
น้ำค้างคิดเพียงว่าอย่างน้อยก็คงช่วยอำนวยความสะดวกในเรื่องของการติดต่อ เพราะมีเบอร์โทรของบริษัทอยู่ในนามบัตรใบนั้น เผื่อว่าเขาอาจต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับทัวร์
“n-a-m-k-h-a-n-g คุณชื่อ ‘นามแคง’ ใช่ไหมครับ”
เขากวาดสายตาไปตามตัวอักษรบนนามบัตร พินิจพิเคราะห์ตรงชื่อของเธอ สะกดชื่อออกมาทีละตัวอักษร เหมือนต้องการทดสอบทักษะภาษาไทยที่ได้ร่ำเรียนมาก่อนหน้า พร้อมๆกับเอ่ยออกมาเสียงดังด้วยความมั่นใจ
“ไม่ใช่ค่ะ ต้องออกเสียงว่า ‘น้ำ-ค้าง’ นะคะ ลองอีกทีค่ะ”
เธอสอน น้ำเสียงกลั้วหัวเราะ รู้สึกว่าฝรั่งคนนี้…จะว่าไปก็ดูน่ารักดี
“น้ำค้าง”
คราวนี้เขากล่าวออกมาได้อย่างชัดถ้อยชัดคำ ราวกับจะบอกให้รู้ว่าต่อจากนี้ไปอีกนานเท่านาน ในชีวิตของเขาจะไม่มีวันลืมชื่อนี้ ‘น้ำค้าง’
“ขอตัวก่อนนะคะ ถ้าต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม เบอร์โทรที่นามบัตรนะคะ”
เธอบอก ก่อนจะหมุนตัวแล้วก้าวออกมาจากตรงนั้น ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับเสียงของเพื่อนสาวร่วมทัวร์ที่ดังขึ้น พร้อมกับใบหน้าที่ยื่นออกมาจากประตูรถทัวร์
“น้ำ…ลูกค้ารายนั้นโทรมายกเลิก เค้าป่วยกะทันหัน” เพ็ญหมายถึงลูกทัวร์รายที่ทุกคนกำลังตั้งตารอ
“ตายจริง!...”
หญิงสาวอุทาน ทอดสายตามองตามแผ่นหลังกว้าง ร่างสูงสง่าของชายชาวต่างชาติที่กำลังเดินจากไปช้าๆ
‘เอาไงดี?’
เธอถามตัวเองในใจ หากจะเพิ่มลูกทัวร์เข้าไปอีกหนึ่งคน แทนคนที่ไม่สามารถเดินทางได้ อันที่จริงก็ทำได้ ทว่าก็มีความยุ่งยากอยู่บ้าง เรื่องค่าใช้จ่าย ทั้งมัดจำล่วงหน้าครึ่งหนึ่งก่อนออกเดินทาง แต่เอาเถอะ ข้อนั้นเดี๋ยวค่อยคิด ดูจากสีหน้าท่าทางของฝรั่งคนนั้น เขาคงอยากร่วมทัวร์ไปด้วยจริงๆ
“คุณ…”
อะไรบางอย่าง ดลใจให้หญิงสาวตัดสินใจตะโกนเรียกตนตัวโตที่กำลังจะลับไปจากสายตา
“เดี๋ยวค่ะคุณ”
ร่างสูงใหญ่หยุดกึก เสียงหวานแว่ว แผ่วผ่านมากับสายลมหอบหนึ่งที่จู่ๆก็พัดพรูเข้ามาปะทะใบหน้าของเขา ราวกับจะเกิดลมฝน ใบแห้งของต้นประดู่ที่แผ่กิ่งก้านอยู่ริมฟุตบาท ร่วงกราวลงมาที่พื้น หว่านดอกดวงเล็กๆสีเหลืองลงบนลานฟุตบาท น่าแปลกที่ขณะนั้นบรรยากาศรายรอบก็หาได้มีทีท่าว่าฝนจะตกลงมาแต่อย่างใด
ในเสี้ยวขณะหนึ่ง…
ก่อนที่ชายหนุ่มจะหันกลับมา เขารู้สึกได้ว่าเสียงเรียกนั้นแผ่วเบาราวกับว่ามันดังกังวานมาจากห้วงอดีตอันไกลโพ้น ใครบางคนกำลังเรียกหากัน แผ่วเบาและแทรกสลับกันขึ้นมาอย่างสับสน จนไม่รู้ที่มาที่ไป อีกใจพยายามคิดว่าตัวเองหูฝาด หากเสียงนั้นก็ยังยืนยันด้วยกังวานสะท้อนรุนแรงอยู่ในความรู้สึกรับรู้อันแปลกประหลาดของตน เหมือนมีสิ่งที่อยู่เหนือคำอธิบาย…บันดาลให้มันเป็นไป
‘กลิ่นนั้น’
ใช่…กลิ่นดอกลั่นทม
ความรู้สึกอันแปลกประหลาดนี้มาพร้อมๆกับกลิ่นดอกไม้ที่หญิงสาวผู้นั้นบอก ‘ลีลาวดี’ หรือ ‘Frangipani’ ในภาษาอังกฤษนั่นเอง กลิ่นนั้นช่างหอมนัก เขาเพิ่งเคยเห็นรูปพรรณสัณฐานของมัน รู้ว่าเป็นกลิ่นเดียวกันกับที่ระลึกได้ในความฝัน แม้จะยังมองไม่เห็นที่มาของกลิ่น ทว่าก็รู้สึกได้ว่ามันลอยอวลมาพร้อมกับสายลม ผสานผสมอยู่ในบรรยากาศรอบๆ
ชั่ววูบสั้นๆ…
กลิ่นช่วยกระตุ้นความทรงจำที่ทับซ้อน เหมือนฉุดให้ย้อนระลึกไปในความฝัน…หลายๆครั้งที่ชายหนุ่มรู้สึกราวกับว่าเขากำลังถลำเข้าไปสู่ห้วงอาวรณ์ถวิลอันลึกซึ้งเกินกว่าจะอธิบายหรือบรรยายออกมาให้ชัด ว่าควรจะนิยามความรู้สึกนั้นว่าอะไร?
“คุณ…”
เสียงของหญิงสาว แผ่วเบาราวกับใครบางคนที่ตะโกนมาจากอีกฟากฝั่งของกาลเวลา
‘เธอเรียกเขา’ ชายหนุ่มค่อยๆหันกลับมาตามเสียงเรียก ด้วยแววตาที่ฉายประกายความหวังขึ้นมารางๆอีกครั้ง
“คุณเรียกผมใช่ไหมครับ” เขาตะโกนถามกลับมา
“ค่ะ…คุณนั่นแหละ”
เธอตะโกนตอบ ความรู้สึกบางอย่างสั่งให้เธอเหนี่ยวรั้งเขาเอาไว้ ‘เหมือนใครบางคนกำลังอ้อนวอนให้เธอช่วยยับยั้งการจากไปของเขา’
จากนั้นหญิงสาวก็ได้แต่นิ่งมองร่างสูงใหญ่ที่กำลังก้าวยาวๆกลับมาหาเธอ
ในใจของชายหนุ่มในขณะนั้น คิดแต่เพียงว่าหญิงสาวทำถูกแล้วที่เรียกเขากลับมา คิดว่ามันเป็นเรื่องสมควร ที่เธอยับยั้งการจากไปในครั้งนี้ ทั้งที่เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าเหตุผลอันใดที่ทำให้เขารู้สึกอย่างนั้น รู้แต่เพียงว่าการที่เขาอุตส่าห์นั่งเครื่องบินรอนแรมมาไกลกว่า 5,000 ไมล์ในครั้งนี้ เขาไม่ได้ต้องการมาเพื่อจะฟังคำปฏิเสธใดๆจากเธอ ทั้งที่เขาเองก็จับต้นชนปลายไม่ถูก ว่าทำไมจึงอยากร่วมทัวร์ไปกับเธอนัก
“คุณอยากไปจริงๆใช่ไหม?”
เธอถามถึงความสมัครใจของเขาอีกครั้ง ว่าเขายังไม่เปลี่ยนใจ
“อยากครับ…อยาก”
เขารีบตอบอย่างไม่ลังเล ขณะสายตาจับอยู่ที่พวงแก้มซับสีชมพูระเรื่อ ริมฝีปากเป็นสีชมพูอิ่มเต็มไปทั้งบนล่าง คิ้วนั้น…พระเจ้าช่างบรรจงวาดเอาไว้ กรามได้รูปโค้งลงมารับกับคางและคำคอที่ยาวระหง ในดวงตารียาว แลเห็นจุดสีดำขลับกรอกไปมาตรงกลางตาขาว ภายใต้แพขนตางอนระยับมีหยาดแววแห่งชีวิตชีวาที่วาบวับ ประทับอยู่ในดวงตาคมประกายคู่นั้น เขาหลงรักดวงตาคู่นั้นตั้งแต่แรกเห็น
‘ช่างเป็นผู้หญิงเอเชียที่งามสะดุดตา’ ชายหนุ่มคิดในใจ
“ยังพอมีที่ว่างเหลืออยู่อีกที่นึงค่ะ”
ประโยคนั้นทำให้ใบหน้าหล่อเหลา ยิ้มระรื่นขึ้นมาในทันที
“จริงหรือครับ”
“ค่ะ”
หญิงสาวรับรู้ได้ถึงอาการดีใจของเขา
จากนั้นจึงรีบก้าวนำไปที่รถ เขารีบก้าวยาวๆ ตามหลังเธอมาโดยไม่ลังเล สายตาคมประกายมองตามลาดไหล่และแผ่นหลังตึงเต็ม แลเห็นสะโพกผายขยับไปพร้อมกับจังหวะสับปลายเท้า บางขณะที่เธอเอี้ยวลำตัวกลับมามอง ด้านข้างของเนินอกอวบก็ยวบไหว ในยามที่กระแสลมพัดแรงจนเสื้อตัวบางแนบไปกับเนื้อ คัดเรือนร่างรัดรึง แพรผมสีดำระยับสะบัดเบาๆ ในจังหวะที่เธอหันกลับมามองเขาอีกครั้ง เมื่อเดินมาถึงรถทัวร์
ทว่าไม่ทันที่ชายหนุ่มจะก้าวขึ้นมาบนรถ ด้วยความสูงจนโดดเด่น พอดีกับจังหวะสายตาของโชเฟอร์กวาดมาเห็นร่างของเขาเข้าพอดี
“Good Morning ครับ Mister”
ลุงแหลมผู้เป็นโชเฟอร์ เอ่ยทักทายเป็นภาษาอังกฤษปนไทย ด้วยคลุกคลีอยู่กับงานทัวร์มาหลายปี ได้พบได้เห็นชาวต่างชาติมาเยอะ ทำให้พอจะฟุดฟิดฟอไฟได้บ้าง มีหลายๆครั้งที่นึกอยากจะพูด ติดตรงที่แกผูกประโยคไม่เป็น ประโยคยาวๆจึงพูดไม่ได้ ลุงแหลมมักจะโพล่งออกมาเป็นคำๆ เพราะแกอาศัยการจดจำคำง่ายๆ ที่ได้ยินจนคุ้นหู ดีที่แกเก่งในเรื่องทำท่าทางประกอบ ยกไม้ยกมืออธิบายจนฝรั่งเข้าใจ หากไม่ไหวจริงๆจึงจะหันไปขอความช่วยเหลือจากน้ำค้าง ให้เธอช่วยอธิบายทุกครั้งไป
“Good Morning คร๊าบ”
เขาตอบกลับมาด้วยภาษาอังกฤษปนไทยเช่นกัน พร้อมกับรอยยิ้มจริงใจให้ลุงแหลม
“กระเป๋าสัมภาระเอาไว้ในช่องเก็บของด้านล่างจะดีกว่านะครับ คุณตัวใหญ่ สูงยังกะเสาไฟฟ้า จะได้นั่งสบาย เข้าออกสะดวก ไม่เกะกะ” ลุงแหลมบอกด้วยความหวังดี
“อะไรนะครับ”