สองวันต่อมา...
“วี”
“...”
“วี”
“...”
“วี!”
“ฮ...ฮะ” ฉันสะดุ้งไปด้วยความตกใจก่อนจะหันไปตามเสียงของใครบางคนที่ตะโกนเรียกฉันขึ้น
น้ำขิงนี่เอง...
“หลับในอีกแล้วนะ ฉันเรียกเธอตั้งนานแล้วเนี่ย” น้ำขิงบ่นพร้อมกับนั่งลงข้างฉัน
“โทษที พอดีเมื่อคืน...ฉันปิดร้านน่ะ” ฉันตอบกลับไป แม้ว่าวันนี้จะไม่ได้มีเรียนเช้า แต่ฉันก็ยังคงรู้สึกง่วงมากอยู่ดี
“เฮ้อ ตลอดเลย” น้ำขิงเอ่ยออกมาสีหน้าปลง
“แล้วนี่เธอเรียนเสร็จแล้วเหรอ” วันนี้น้ำขิงมีเรียนเช้าน่ะ ไม่ใช่ว่าเราลงเรียนไม่เหมือนกันนะ แต่ว่า...เราเรียนคณะเดียวกัน แต่คนละสาขาต่างหากล่ะ น้ำขิงเรียนสาขาการบิน ส่วนฉันเรียนการโรงแรม
“อืม ใส่สูทเนี่ย โคตรร้อนเลย”
“ฮ่า ๆ ๆ โชคดียูนิฟอร์มฉันใส่วันศุกร์”
“จ้ะ” คนด้านข้างฉันก็พูดใส่หน้าฉันออกมาด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้
“แล้วนี่เธอเข้าเรียนตอนไหน”
“จริง ๆ บ่ายโมงน่ะ แต่อาจารย์ขอเข้าเลทเป็นบ่ายสอง ให้นั่งอ่านข้อมูลเกี่ยวกับโรงแรมอยู่” ฉันพูดพร้อมกับชี้ไปยังชีตที่กองอยู่ตรงหน้า
“จ้ะ เธออ่านชีต หรือชีตอ่านเธอกันแน่ ฉันเห็นเอาแต่หลับใน”
“ก็มันง่วงนี่”
“แล้วอ่านไปถึงไหนแล้ว”
“จริง ๆ จำได้เกือบหมดแล้วนะ ฉันอ่านมาหมดแล้วน่ะ ตั้งแต่ก่อนเรียน” ฉันตอบกลับไป
“โอ๊ยยยย ขยันจริงแม่คุณ”
“ไม่ได้สิ ถ้าหลุดทุนนะ...ชีวิตฉันจบแน่” ฉันบอกออกไปตามตรง เพราะชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ฉันอยู่ได้ด้วยทุนที่สอบได้มาจริง ๆ หากการเรียนฉันไม่ได้อย่างที่ทุนตั้งไว้ หรือเรียกง่าย ๆ ว่าหลุดทุน เท่ากับชีวิตฉันจบจริง ๆ ฉันไม่มีปัญญาหาเงินเทอมละเกือบแสนมาจ่ายได้หรอกนะ
“ไม่เอา ๆ ไม่คุยเรื่องเครียด” น้ำขิงพูดขึ้น ก่อนจะยิ้มมองหน้าฉัน
“มาฟังข่าวดีจากฉันกันดีกว่า”
“ข่าวดี?” ฉันมองหน้าคนตรงหน้าด้วยสีหน้างุนงง
“ใช่ ข่าวดีสุด ๆ สำหรับเธอ”
“หื้อ?”
“พี่ขุนจัดการลงทะเบียนเสรีจิตอาสาให้เราได้แล้วนะ ที่สำคัญได้เซคเดียวกันกับพวกพี่เขาด้วยจ้ะ!”
“จริงเหรอ” ฉันถามออกไป
“จริงสิ เป็นไง...”
หมับ! ฉันโผล่เข้ากอดไปน้ำขิงทันทีด้วยความดีใจ
“ขอบคุณนะน้ำขิง ขอบคุณนะ” ถ้าได้ลงวิชานี้ก็จะได้เจอกับพี่ดินตลอดทั้งเทอมเลยสินะ
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่เป็นไรจ้ะ แต่อย่าลืมคว้าใจสุดแข็งดั่งหินของพี่ดินมาให้ได้นะ”
“...” ฉันก็ชะงักนิ่งไปก่อนจะค่อย ๆ ผละออกจากคนตรงหน้า
“อ้าว ทำไมอยู่ ๆ เป็นแบบนี้ล่ะ”
“มันยากจัง” ฉันเอ่ยออกไป
“ฮะ”
“สิ่งที่น้ำขิงบอกเรา มันยากจัง” ฉันพูดพร้อมกับเม้มปากแน่น
“เป็นอะไร ท้อแล้วเหรอ เมื่อกี้ยังดีใจอยู่เลย”
“มันก็ดีใจที่จะได้ใกล้พี่เขามากขึ้น แต่มันก็...”
“...ไม่รู้สิ ไม่ได้ท้อหรอกนะ แต่แค่รู้สึกว่าต่อให้ใกล้แค่ไหนก็ยังไกลอยู่ดี”
โป๊ก! เสียงมือเล็กของอีกคนฟาดที่หัวฉันเบา ๆ
“แบบนี้นั่นแหละที่เขาเรียกว่าท้อ”
“...” ฉันก็ได้แต่ยิ้มบาง ๆ ส่งไปให้เพื่อนตัวเอง
“เธอมีสิทธิ์ที่จะท้อนะวี มีสิทธิ์ที่จะพอ”
“อืม ฉันรู้”
“ถ้าไม่ไหว ก็พอนะ”
“ขอสู้อีกหน่อยแล้วกันนะ โอกาสมาถึงที่แล้วหนิ”
“ดี! มาใช้โอกาสนี่ละลายใจนายเย็นชาของเธอกันเถอะ!”
“ฮ่า ๆ ๆ ชื่อเหมือนนิยายสมัยก่อนเลย”
“ฮ่า ๆ ๆ หยุดหัวใจนายเย็นชา...เป็นไง ชื่อนี้”
“...” ฉันก็ได้แต่ส่ายหัวไปกับคำพูดของคนตรงหน้า
“เธอยังจะสู้ต่อแน่ใช่ไหม” อยู่ ๆ น้ำขิงก็หันมาเอ่ยถามฉัน
“แน่สิ” ฉันตอบกลับไป
“งั้นดี” พูดจบ คนที่นั่งอยู่ข้างฉันก็ลุกขึ้นจากโต๊ะหินอ่อนด้วยความรวดเร็วพร้อมกับเอื้อมมือมากระชากแขนให้ฉันลุกขึ้นไปด้วยกัน
“อ...อะไรของเธอเนี่ย” ฉันถามออกไปสีหน้างุนงง
“ไปกัน”
“ฮะ...ไปไหน”
“ไปทำคะแนนตั้งแต่วันนี้ไง”
“หมายความว่าไง...”
“เดี๋ยวก็รู้” พึ่บ! แล้วฉันก็โดนน้ำขิงลากออกไปทันที
ตึกตึก
@คณะบริหาร
“สวัสดีค่าาา พี่ ๆ” เสียงน้ำขิงเดินเข้าไปทักทายพวกพี่ขุนที่นั่งอยู่ตามปกติ ซึ่งฉันเองก็ได้แต่ส่งยิ้มทักทายพวกพี่เขาไปอย่างที่ชอบทำเป็นประจำ
“มาทำไมอีก ยัยตัวแสบ” พี่ขุนหันมามองหน้าถามน้ำขิง
“เดี๋ยวขิงต้องรอวีเรียนอะ เลยจะมาขออยู่กับพวกพี่ก่อน”
“หึ” พี่ขุนก็แสยะยิ้มออกมาอย่างรู้ทันในความคิดน้องตัวเอง แน่สิ...กว่าฉันจะเข้าเรียนก็เกือบชั่วโมง แล้วบอกจะต้องรอฉันเรียนแต่กลับลากฉันมาด้วยแบบนี้ ใครก็รู้ไหม -.-
“แล้วนี่ทำอะไรกันอยู่คะ” น้ำขิงถามออกไป ก่อนจะทำมือไล่ให้ฉันไปนั่งข้าง ๆ พี่ดินที่นั่งเงียบอยู่
“...” ฉันก็ส่ายหน้าตอบปฏิเสธไป แม้ว่าใจจะอยากเข้าไปพูดคุยกับพี่เขา แต่ว่า...
ตอนนี้ฉันยังไม่ค่อยพร้อมที่จะรับมือกับความนิ่งหรือคำพูดเย็นชาของพี่เขาสักเท่าไหร่
ขอเวลาทำใจอีกหน่อยก่อนแล้วกัน
“หาโครงการจิตอาสาอยู่” พี่ขุนตอบ ทำเอาฉันกับน้ำขิงหันไปสนใจ
“วิชาเสรีน่ะเหรอ” น้ำขิงถาม
“อืม”
“ทำไมพี่ต้องหาอะ”
“อาจารย์มอบหมายให้พวกพี่ดูแลแทนน่ะ” พี่คินตอบแทน
“แล้วพี่หาโครงการแบบไหนกันอยู่คะ เดี๋ยววีช่วย” ฉันยิ้มบอกออกไป
“พี่คิดไว้ว่าจะเป็นบ้านคนสูงอายุหรือไม่ก็เด็กกำพร้าน่ะครับ แต่ว่า...”
“...อาจารย์เขาบอกว่าอยากได้ที่มากกว่านั้น”
“มากกว่านั้นเหรอคะ” ถ้ามากกว่านั้นจะมีอะไรอีกนะ
“ปลูกป่าม้ะ” น้ำขิงเสนอความเห็น
“ไม่เวิร์ก พี่อยากได้แบบเราไปช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสมากกว่า แบบที่ได้ประโยชน์เลยแน่นอน” ได้ประโยชน์เลยแน่นอน ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส งั้นก็...
“ซ่อมแซมโรงเรียนขนาดเล็กของเด็ก ๆ ด้อยโอกาสดีไหมคะ” ฉันถามออกไป ซึ่งคำพูดของฉันทำเอาทุกคนหันมามองหน้าฉันทันที รวมถึงเจ้าของใบหน้าเรียบนิ่งด้วยเช่นกัน
“เจ๋งมาก! ไอ้คิน...ทำไมเราคิดไม่ออกวะ” พี่ขุนพูด โดยพี่คินก็นิ่งก่อนจะแสยะยิ้มออกมา
“กูว่าจะพูดอยู่”
“ฮะ”
“เมื่อวานไอ้ดินก็คิดแบบนี้”
“จริงเหรอวะ”
“ถามมันดิ”
“ว่าไงไอ้ดิน” พี่ขุนหันไปมองหน้าถามเพื่อนตัวเอง ฉันเองก็เหลือบไปมองใบหน้าหล่อนั้นด้วยความรู้สึกอยากรู้ พี่เขา...ก็คิดแบบเดียวกับฉันงั้นเหรอ
“อืม” เสียงทุ้มตอบกลับไปด้วยท่าทีปกติ ซึ่งไม่รู้ทำไม สิ่งแค่นั้นมันกลับทำเอาฉันเผลอยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกบางอย่าง
“แล้วแทนที่มึงจะเสนอบอกกูแต่แรก” พี่ขุนบอก
“...” พี่ดินก็เงียบไม่ตอบ
“งั้นเดี๋ยวลองเอาไปเสนออาจารย์ดูก่อน” พี่ขุนเอ่ยออกมาอย่างสรุปทุกอย่าง เอาจริง ๆ พวกพี่เขาดูเป็นคนมีความรับผิดชอบทุกคนเลยนะ ถ้าเขาไม่ดีจริง อาจารย์คงไม่กล้าฝากโครงการใหญ่แบบนี้กับพวกพี่เขาหรอก
พึ่บ น้ำขิงยกนิ้วโป้งให้ฉันด้วยสีหน้าพอใจ ไม่รู้ว่าเพราะฉันช่วยเสนอความเห็นออกไปช่วยพี่ชายเธอหรือเพราะฉันเสนอความเห็นไปตรงกับความคิดใครอีกคนกันแน่...
“วี...ไม่เมื่อยเหรอ” อยู่ ๆ น้ำขิงก็เอ่ยถามฉันขึ้นทำให้หันไปมองหน้าเธอด้วยความงุนงง
“หื้อ?”
“นั่งสิ ตรงข้างพี่ดินว่างอยู่” ให้ตายเถอะ น้ำขิงเล่นฉันอีกแล้ว TT
“...” ฉันได้แต่ยืนทำหน้าลังเลอย่างไม่รู้ว่าควรจะไปนั่งข้างพี่เขาไหม
“ไปสิ” น้ำขิงกัดเสียงบอกฉันราวกับออกคำสั่ง
“...” ฉันก็มองหน้าเพื่อนตัวเองแววตาไม่กล้า
“ไปเร็ว กลัวอะไร”
“คือ...” กลัวได้ยินคำพูดเฉยชาใจร้ายจากเขายังไงล่ะ ถึงแม้ว่าจะเหมือนชิน แต่ก็ไม่เคยชินเลยสักครั้ง
“วี ไหนว่าจะสู้” น้ำขิงหันมามองหน้าถามฉัน
“นั่นสิ” ฉันบอกเองว่าจะขอสู้อีกหน่อยไม่ใช่เหรอ
เอาน่า สู้ก็สู้
ตึก...ขณะที่ฉันกำลังจะก้าวเท้าเดินไปยังคนตัวสูงที่นั่งอยู่นั้น
“ดิน” ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาทักเจ้าของใบหน้านิ่งขึ้น
“...” พี่ดินค่อย ๆ หันไปมองตามเสียงนั้น ก่อนจะหันกลับมาสนใจชีตตรงหน้าตัวเองต่อด้วยท่าทีนิ่งเรียบปกติ
นี่ถือเป็นข้อดีข้อหนึ่งที่มีอยู่ นั้นก็คือ...พี่เขามีท่าทีแบบนี้ใส่ผู้หญิงทุกคน ทุกคนจริง ๆ ไม่เว้น...แม้แต่ฉัน
“นายลงเสรีจิตอาสาเหรอ”
“...”
“ฉันก็ลงนะ นายอยู่เซคไหนเหรอ”
“...”
“ดิน...”
“ออกไปซะ” เสียงเรียบบอกผู้หญิงที่เข้ามาใหม่ด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึกโดยที่สายตาของเขายังคงจ้องมองไปยังชีตเอกสารตรงหน้า
“...” พี่ผู้หญิงคนนั้นก็ยืนนิ่งไปได้สักแป๊บ ก่อนจะรีบเดินออกไปทันทีโดยมีสายตาของฉันที่มองตามพี่คนนั้นไปด้วยความรู้สึกสงสาร จริง ๆ นะฉันสงสาร เพราะฉันเข้าใจความรู้สึกนั้นดี แต่ถึงแบบนั้นก็เถอะ...
ฉันตัดสินใจแล้วนี่ ว่าจะสู้
พึ่บ! ฉันใช้ความกล้าเดินเข้าไปนั่งยังด้านข้างของคนตัวสูง
“...” ใบหน้านิ่งหันมามองหน้าแววตาคมกริบ
ฉันแอบกลืนน้ำลายลงคอด้วยความรู้สึกเกรงกลัวต่อแววตาคู่นั้น แต่ก็พยายามข่มมันเอาไว้
“อ...อ่านอะไรอยู่เหรอคะ”
“...” พี่ดินก็เงียบไม่ตอบเอาแต่จ้องหน้าฉัน
“แหะ” ฉันจึงเลือกที่จะส่งยิ้มหวานไปให้อีกคน ทำให้คนด้านข้างหันหน้ากลับไปอ่านชีตด้วยความไม่สนใจทันที
ฟู่ววว ฉันก็ได้แต่ลอบถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกโล่งที่ไม่โดนไล่หรือโดนเดินหนีใส่เหมือนทุกครั้ง แต่ก็ไม่ได้ว่าจะดีไปกว่าเดิมสักเท่าไหร่ เพราะคนตัวสูงก็ไม่ได้...สนใจอะไรฉันมากขึ้นอยู่ดี
“โอ๊ะ D-Lyn hotel...”
“...นี่มันบริษัทเครือของออสเตรเลียนี่คะ ดังมากเลย...”
พึ่บ!
“...” ฉันสะดุ้งไปทันทีที่ได้ยินเสียงมือหนาปิดชีตอย่างแรง
“ถ้าจะนั่ง ก็นั่งเฉย ๆ”
“...”
“อย่าให้ฉันได้ยินเสียงเธออีก” พูดจบ คนตัวสูงก็ก้มลงไปเปิดชีตอ่านต่อ ซึ่งฉันเองก็นั่งเงียบไปตามที่พี่เขาบอกแต่ก็ไม่วายลอบมองใบหน้าเรียบนิ่งนั้นด้วยความรู้สึกบางอย่าง
มันเหมือนทั้งสุขแล้วก็ทุกข์ปะปนกันไป
วันนี้ฉันไม่โดนไล่ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าได้ใกล้อะไรพี่เขามากขึ้นเลย
ไม่เลย...