10 หนีเที่ยว

1503 คำ
ฉิงเจียส่ายหน้าไม่ยอมทำตามคำสั่ง ตัวนางเป็นบ่าว จะมานั่งร่วมโต๊ะกับผู้เป็นนายอย่างคราวก่อนได้อย่างไร เหม่ยอิงจึงจับตะเกียบขึ้นแล้วคีบอาหารหนึ่งอย่างใส่ปาก รสชาติอาหารที่ได้รับมันจืดชืดอย่าบอกใคร หากจะให้พูดว่าอร่อยหรือ คำนี้ช่างห่างไกลยิ่ง หญิงสาวจึงวางตะเกียบลงบนโต๊ะแล้วหันไปบอกกับสาวใช้ข้างกายว่า “เจ้ายกไปกินต่อเถอะ ข้าอิ่มแล้ว” เหม่ยอิงยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นเช็ดมุมปากให้เรียบร้อยพร้อมกับลุกขึ้นยืน ฉิงเจียรีบนั่งคุกเข่าลงทันที ก้มหน้าลงไม่กล้าสบตาคุณหนู “คุณหนู เหตุใดท่านถึงไม่ยอมทานอาหาร หากท่านเสนาบดีรู้เข้า ฉิงเจียต้องเดือดร้อนเป็นแน่เจ้าค่ะ” เหม่ยอิงอมยิ้มเล็กน้อยที่มุมปากบาง แล้วย่อตัวลงก้มหน้าไปพูดใกล้ ๆ สาวใช้ของตนว่า “ข้าได้ยินเจ้าคุยกับสาวใช้คนอื่น ๆ ว่าเย็นวันนี้ในเมืองมีเทศกาลปล่อยโคมใช่หรือไม่” เหม่ยอิงสบตาคนตัวเล็กที่เงยหน้าขึ้นมองสบกับนัยน์ตาของนางที่ฉายแววซุกซนไม่อาจจะปิดบังได้ ฉิงเจียอ้ำอึ้ง รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เหตุใดคุณหนูถึงถามเช่นนี้ หญิงสาวรู้สึกเสียวสันหลังพิกล ได้แต่จำใจพูดตอบผู้เป็นนายไปว่า “ชะ ใช่เจ้าค่ะ” เหม่ยอิงจึงยืดตัวตรงพร้อมกับปรายตามองฉิงเจียพร้อมกับพูดว่า “ข้าอยากไปกับพวกเจ้าด้วย” เหม่ยอิงยิ้มกว้างอย่างสดใส ความหวังที่อยากจะออกจากจวนเสนาบดีไปเปิดหูเปิดตาบ้างก็มาถึง ยามซวี ท่านอ๋องแปดและองครักษ์คู่กายขี่ม้ากลับมาจากเมืองช่างม่าน ม้าสีขาวตัวใหญ่องอาจสง่างามและม้าสีน้ำตาลเดินเคียงคู่กันค่อย ๆ เดินผ่านประตูเมืองเหยี่ยน ภาพที่ปรากฏสู่สายตาของชายหนุ่มทั้งสองคือโคมไฟหลากสีสันถูกประดับตกแต่งขึ้นบนถนนกลางใจเมือง ผู้คนมากมายออกมาขายของและเดินเที่ยวเล่นกันอย่างคึกคัก เมื่อเทศกาลปล่อยโคมประจำปีหมุนเวียนมาถึง ความสนุกสนานและเหล่าบรรดาชายหญิงน้อยใหญ่ก็จะออกมาปล่อยโคมเพื่อขอพรกันอย่างถ้วนหน้า ท่านอ๋องแปดที่ปกติจะปล่อยโคมเพียงลำพังที่จวนอ๋องทุกปี แต่ปีนี้กลับอยากเปลี่ยนบรรยากาศ จึงชวนองครักษ์คู่กายแวะเดินเล่นที่งานเทศกาลปล่อยโคมลอยก่อนกลับจวน อีกฟากหนึ่งของจวนเสนาบดี เหม่ยอิงที่วางแผนให้ฉิงเจียไปเรียนฮูหยินรองว่าปีนี้คงไปปล่อยโคมที่หน้าจวนด้วยไม่ได้เพราะรู้สึกเวียนหัว ลุกไม่ไหว อยากนอนพักผ่อนเร็วขึ้น ซึ่งฮูหยินรองก็ไม่ได้ว่าอะไร อนุญาตให้นางนอนพักผ่อนตามสบาย จนเวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามซวี เหม่ยอิงจึงแสร้งให้ฉิงเจียดับไฟในห้องนอนลงพร้อมกับเปลี่ยนชุดไปใส่เสื้อผ้าของบ่าวรับใช้ให้เหมือนกับฉิงเจีย แล้วทั้งสองจึงค่อย ๆ ย่องออกมาจากห้องนอนและพากันไปที่หลังจวนเสนาบดี ซึ่งตรงนั้นมีช่องที่สุนัขใช้ลอดผ่าน เป็นช่องขนาดใหญ่พอที่หญิงสาวตัวเล็กทั้งสองจะใช้ลอดผ่านไปได้ “คุณหนูทำแบบนี้จะดีหรือเจ้าคะ คุณหนูกลับเรือนเถิดเจ้าค่ะ หากมีใครมาเห็นเข้าพวกเราจะต้องเดือดร้อนเป็นแน่” ฉิงเจียที่คอยยืนมองต้นทางให้คุณหนูในขณะที่หญิงสาวกำลังมุดลอดผ่านช่องทางสุนัขเพื่อหนีออกจากจวนเสนาบดีไปอย่างทุลักทุเล เหม่ยอิงลอดผ่านช่องกำแพงที่สุนัขใช้ผ่านมาได้แล้วจึงป้องปากกระซิบเรียกสาวใช้คู่กายเบา ๆ ว่า “ฉิงเจีย เจ้ารีบลอดผ่านมาเร็ว แล้วเอากองฟางมาปิดรูไว้ด้วย” ในระหว่างนั้นมีเหล่าโคมลอยขึ้นบนฟ้า หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มืดมิด ในคืนเดือนมืดเมื่อมีโคมลอยขึ้น ความสวยงามที่หาดูได้ยากก็ปรากฏสู่สายตาของหญิงสาว ฉิงเจียที่ลอดผ่านช่องลอดสุนัขมาได้แล้วก็เอากองฟางมาปิดบังช่องทางนั้นเพื่อพรางตา และหันหลังกลับมามองคุณหนูของตน เห็นหญิงสาวเงยหน้ามองโคมบนท้องฟ้าสีหน้ามีความสุขอย่างมากจึงได้แต่ยิ้ม และรีบดึงมือคุณหนูแล้วพากันเดินเข้าใจกลางเมืองทันที สองสาวแต่งกายด้วยชุดสาวรับใช้จวนเสนาบดี ลักษณะชุดเป็นสีฟ้าอ่อน ทำผมถักเปียทั้งสองข้างแล้วขมวดขึ้นเป็นก้อนกลม ใช้ผ้าสีฟ้าผูกไว้แลดูน่ารักสมวัย ทั้งคู่เดินมาได้ประมาณสี่ลี้ก็เข้ามาเขตตัวเมืองเหยี่ยน ตามถนนประดับด้วยโคมไฟหลากสีสันสวยงาม เหม่ยอิงวิ่งไปดูของร้านนั้นทีร้านนี้ทีด้วยความสนุกสนานจนลืมไปเลยว่ามีฉิงเจียติดตามมาด้วย ฉิงเจียที่หันไปมองโคมร้านข้างทางอยู่ราวสองจิบชา พอหันกลับมาอีกทีก็ไม่พบคุณหนูของตนเสียแล้ว ด้วยความร้อนใจจึงออกเดินตามหาไปทั่วงาน ผู้คนเดินเบียดเสียดกันขวักไขว่ทำให้ยากต่อการตามหา ด้วยความเป็นห่วง ฉิงเจียไม่รู้จะไปขอความช่วยเหลือจากใครดีจึงได้แต่เดินถามผู้คนตามทางว่าเคยพบเห็นคุณหนูของตนว่าผ่านมาทางนี้หรือไม่ เหม่ยอิงเดินดูสินค้าร้านนั้นทีร้านนี้ทีจนพลัดหลงกับบ่าวรับใช้ หญิงสาวเดินมาจนสุดปลายทางซึ่งบริเวณนี้มีผู้คนน้อยมาก แทบจะไม่มีคนผ่านมา ระหว่างทางเหม่ยอิงได้ซื้อโคมสีขาวธรรมดามาเพียงหนึ่งอัน จึงเดินไปตรงริมสระน้ำใสและมองซ้ายมองขวา ไม่มีใครปล่อยโคมกันเลย นางจึงหยิบโคมสีขาวธรรมดาออกมา ร่างบางยืนครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่ง “ข้าจะจุดไฟโคมลอยอย่างไรดี” เหม่ยอิงยืนทำหน้าหมดอาลัย นางอุตส่าห์หนีออกจากจวนมาได้แล้วก็ดันพลัดหลงกับสาวรับใช้อีก แถมมีเงินพกมาเพียงสิบอีแปะ ซื้อโคมไฟก็สามอีแปะแล้ว แถมยังไม่รู้ว่าผู้คนที่นี่จุดไฟกันเช่นไร ท่านอ๋องแปดที่ยืนชมวิวทิวทัศน์ริมสระน้ำได้ยินเสียงหญิงสาวคนหนึ่งพูดพึมพำถึงคำที่แสนจะประหลาดที่ตัวเขาเองก็ไม่เคยจะได้ยินที่ไหนมาก่อน จึงหันหน้าไปมองทางซ้ายมือ เห็นเป็นหญิงสาวรูปร่างอ้อนแอ้นอรชร เอวบางร่างน้อย หน้าตาจิ้มลิ้ม ผิวขาวราวกับหิมะ ใบหน้าเล็กนั่นไม่มีเครื่องประทินโฉมประดับอยู่ ริมฝีปากแดงสด แก้มเนียนใสแดงระเรื่อ จัดว่าเป็นสตรีมีรูปโฉมสะคราญอยู่ไม่น้อย เหวินอี้มองสำรวจดรุณีน้อยที่ยืนด้านข้างกำลังขมวดคิ้วบ่นงึมงำราวกับถูกขัดอกขัดใจ แม้จะมองเห็นใบหน้าหญิงสาวเพียงเสี้ยวเดียวแต่กลับรู้สึกคุ้นตาเป็นอย่างมาก จึงคิดไปว่านางอาจจะใช่คุณหนูใหญ่ตระกูลเซี่ย และเหตุใดนางถึงมาอยู่ที่นี่ แล้วยังแต่งกายด้วยชุดของบ่าวรับใช้ในจวนตนเองอีก ร่างสูงจึงยืนลอบมองอยู่ห่าง ๆ ไปราวสองจั้งด้วยสีหน้าประหลาดใจ เหม่ยอิงรู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก มีโคมลอยแต่ไม่สามารถจุดไฟได้ ถ้าจะให้นางเอาหินมาถูกันเพื่อจุดไฟ มีหวังชาติหน้าก็ไม่อาจจะจุดไฟเองได้ หญิงสาวยืนบิดตัวไปมา พยายามชะโงกหน้ามองไปทางบริเวณที่ชาวบ้านขายของเพื่อหาฉิงเจีย แต่ไม่ว่าจะหาอย่างไรก็ไม่พบ จึงหันหน้าไปทางขวา เห็นชายหนุ่มสองคนกำลังหยิบบางอย่างออกมาคล้ายแท่งไม้ยาวเท่าฝ่ามือบุรุษ ลักษณะเหมือนกำลังจุดไฟกันอยู่ ด้วยความดีใจจึงรีบเดินเข้าไปหาทันที “ขอโทษเจ้าค่ะ ข้าขอใช้ไฟด้วยได้หรือไม่” เหม่ยอิงรีบเดินเข้าไปหาชายหนุ่มสองคนนั้นทันที แต่เมื่อเดินเข้ามาใกล้ ความสว่างจากไฟที่ถูกจุดขึ้นจึงทำให้หญิงสาวได้เห็นใบหน้าชายหนุ่มคนที่กำลังถือโคมลอยอยู่ชัดเต็มตา “ทะ ท่านอ๋องแปด” เหม่ยอิงร้องทักขึ้นแล้วรีบหันหลังให้ชายหนุ่มทันทีที่เขาหันมองมา เหวินอี้ยิ้มมุมปากเมื่อเห็นท่าทีร้อนรนคล้ายคนทำความผิดของคุณหนูใหญ่ตระกูลเซี่ย จึงแกล้งเล่นไปตามน้ำ เอ่ยพูดตอบว่า
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม