เหมือนถูกฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ นรีนุชแทบค้นหาเสียงตัวเองไม่เจอราวกับมีก้อนสะอื้นมาจุกอยู่ที่คอ หลังจากได้ฟังคำพูดอันน่าตกใจของพี่ชายคนโตสุดของบ้าน
“อะ…อะไรนะคะ”
“ไอ้พี่นุมันพูดเข้าใจยากตรงไหนวะ หนูแนนแค่ต้องมาเป็นของเล่นบนเตียงให้พวกพี่สามคนเอ็นดูทั้งกลางวันและกลางคืน มาคอยปรนนิบัติรับใช้พวกพี่ ทำให้พวกพี่มีความสุขกับร่างกายของเราไง”
“มะ...ไม่นะคะ แนนไม่ทำ! พวกเราเป็นพี่น้องกันนะ พวกเราโตมาด้วยกัน แนนทำไม่ได้หรอกค่ะ” เธอไม่ได้ฟังผิด ไม่ได้หูเพี้ยน เพราะงั้นถึงส่ายหน้าไปมาแรงๆ
เรื่องแบบนี้มันไม่ถูกต้อง เธอเป็นน้องสาวของวกเขา น้องสาวจะให้มีอะไรกับพี่ชายตัวเองได้ไง ถึงจะไม่มีสายเลือดเดียวกันก็เถอะ ทำไมพวกพี่ชายถึงยื่นทางเลือกที่แสนทำร้ายจิตใจและน่าเจ็บปวดนี้ให้เธอ
“ถ้าทำไม่ได้ก็ไสหัวไปจากบ้านหลังนี้ซะ ที่นี่ไม่ต้องการคนเนรคุณ!” นนทกรตวาดเสียงดังแข็งกร้าว ดวงตาดุดันจ้องเขม็งนรีนุชราวกับจะกินเลือดกินเนื้อจนเธอผงะ เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความกลัวสุดขั้วหัวใจ
พี่ชายที่เคยปกป้องเธอกำลังจะผลักไสไล่ส่งเธอไปให้พ้นจากชีวิต นี่เธอจะต้องกลับไปอยู่คนเดียวอีกแล้วเหรอ
“ฮือๆๆ ไม่นะคะ อย่าไล่แนนไปไหนเลย แนนไม่มีที่ไปจริงๆ พี่นุ พี่เนส พี่นิว แนนขอร้อง แนนไหว้ล่ะ คุกเข่าให้ก็ได้ อย่าให้แนนออกไปจากบ้านหลังนี้เลย แนนไม่มีที่ให้ไปแล้วจริงๆ ฮือออ”
ร่างบอบบางถลาลงไปนั่งคุกเข่าพนมมือแนบอกเงยหน้าขอร้องพี่ๆ ทั้งน้ำตา ร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตัวหอบโยน แต่แฝดสามคนกลับนิ่งเงียบไม่มีท่าทีว่าจะเห็นอกเห็นใจเธอเลยราวกับเธอเป็นแปลกหน้าในสายตาพวกเขา
“แนนจะไปคุยกับพ่อภูแม่นวล ฮึก!”
“ก็เอาเลยสิ พ่อแม่พวกพี่ก็คงจะใจอ่อนแล้วพูดว่าไม่เป็นไร พวกท่านไม่ต้องการให้หนูแนนตอบแทนบุญคุณอะไรทั้งนั้น” นนทกรพูดเสียงเย้ยหยันดักทางไว้หมด
“หนูแนนคิดจะใช้ความใจดีของพ่อแม่พวกพี่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ต่อ อยู่ฟรีกินฟรีได้เรียนหนังสือสูงๆ รู้มั้ยว่าหนูแนนโชคดีกว่าเด็กกำพร้าคนอื่นมาก ชีวิตพลิกผันได้กลายเป็นเจ้าหญิงที่เพื่อนๆ ในโรงเรียนพากันอิจฉา” พี่เนสค่อนแคะเธอ หยิบเอาเรื่องเก่าๆ มาพูดซึ่งมันคือเรื่องจริงทั้งหมด
จากเด็กกำพร้ามีแต่ตัวกลายเป็นเจ้าหญิงตัวน้อยๆ ที่ใครๆ ต่างก็พากันอิจฉา เธอเพียบพร้อมทุกอย่าง ได้ใช้นามสกุลดัง ได้เข้ามาอยู่ในคฤหาสน์หลังงาม มีชีวิตหรูหราฟู่ฟ่าอย่างที่ไม่เคยนึกฝันมาก่อน
พี่เนสพูดถูกต้องทั้งหมด เธอโชคดีมาก โชคดีที่สุดเลย
“แนน…ฮึก! จะ จะต้องทำอะไรบ้างคะ นะ แนน...อยากอยู่ที่นี่ต่อ อยากอยู่ในบ้านหลังนี้ ฮือ…อยากอยู่กับพ่อภูแม่นวล อยากอยู่กับพี่ๆ ทุกคนด้วย”
เธอไม่อยากสูญเสียครอบครัวที่สำคัญที่สุดไป ต่อให้พวกพี่ๆ จะพูดจาร้ายกาจเชือดเฉือนหัวใจเธอจนกลายเป็นแผลเหวอะหวะ แต่พวกเขาคือคนที่อยู่ด้วยกันกับเธอนับตั้งแต่จำความได้ เธอไม่เคยลืมความใจดีและรอยยิ้มที่พวกเขามอบให้ในวันแรกที่พบกัน
“ลุกขึ้นมานั่งคุยกันดีๆ ก่อน”
พี่นุเดินมากุมมือเธอที่ยังยกไหว้อยู่ พร้อมกับโอบไหล่พยุงให้ลุกขึ้นยืนพาเดินมานั่งโซฟา พี่เนสกับพี่นุเดินมานั่งโซฟาอีกตัวจ้องเธอตาไม่กะพริบ สายตาที่มองเธอดูแปลกไปจากเดิม ลุ่มลึกร้อนแรงอ่านยากจนดูไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ สัมผัสจากพี่นุก็ให้ความรู้สึกแตกต่างจากก่อนหน้านี้ลิบลับ
นรีนุชขนลุกซู่ขึ้นมาฉับพลันราวกับถูกกระแสไฟฟ้าแล่นปราดเข้าสู่ร่างกายทันทีที่นรินทรก้าวเข้ามาจับมือ
“เป็นผู้หญิงของพวกพี่ สร้างความสุขให้พวกพี่จนกว่าจะพอใจ” พี่นุพูดกระชับสั้นๆ
“ทำหน้าที่ของผู้หญิง…ทุกอย่างที่ผู้หญิงสมควรทำให้ผู้ชายมีความสุข” พี่เนสพูดเสริม
“ปรนนิบัติพัดวี ดูแลเรื่องอาหารการกิน เสื้อผ้า รวมถึงเรื่องบนเตียง” พี่นิวขยายความให้มองเห็นภาพชัดขึ้นอีก แต่ทำเธอช็อกไปแล้ว
“น...นี่มัน ล้อเล่นใช่มั้ยคะ เราเป็นพี่น้องกันนะคะ!”
“พี่น้องไม่แท้นี่ คนละสายเลือดจะเอากันไม่ได้รึไง” พี่นิวโต้แย้งด้วยสีหน้ากวนๆ ท่ามกลางความสับสนระคนตกใจของเธอ
“ทะ…ทั้งสามคนเลยเหรอคะ”
เรื่องแบบนี้มันทำได้จริงๆ เหรอ?!
“แน่นอนสิ! ถึงจะหน้าเหมือนกันแต่ก็ไม่ใช่คนเดียวกัน จะเอาเปรียบคนที่เหลือได้ไง พี่ไม่ยอมหรอก!”
“ตะ…แต่ว่า…” นรีนุชกลืนน้ำลายหนืดเหนียวลงคออย่างหวาดๆ เธอต้องรองรับอารมณ์ของพี่ชายทั้งสามคน มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน!
นรีนุชไม่ใช่เด็กน้อยอ่อนต่อโลกขนาดที่ไม่เข้าใจคำพูดของ
พวกพี่แฝด เธอต้องตอบแทนบุญคุณพ่อแม่พวกเขาด้วยร่างกายของเธอ เพราะเธอคือส่วนเกินที่เข้ามาแย่งความรัก มาขอแบ่งปันความสุขความสบายทั้งหมดจากพวกเขา
เธอมาบ้านหลังนี้ด้วยตัวเปล่าแต่กลับได้ของทุกอย่างราวกับว่านั่นเป็นของของเธอมาตั้งแต่ต้น ทั้งที่มันไม่ใช่แบบนั้นเลย เพราะงั้นมันจะผิดอะไรถ้าพวกเขาจะเรียกร้องให้เธอต้องชดใช้คืนกลับไปบ้าง
ใช่แล้ว ถึงแม้ว่าเธออยากจะปฏิเสธมันแค่ไหนก็ทำไม่ได้ เพราะคำว่า ‘หนี้บุญคุณ’ มันค้ำคอ ถ้าวันนั้นพี่ชายทั้งสามคนยืนยันว่าจะไม่รับเธอกลับบ้าน เธอก็ยังต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวในบ้านเด็กกำพร้าต่อไป