“ไพธอน! บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกงูพวกนั้นมาที่โรงเรียน...อะ เธอ...”
และเสียงบ่นแกมความแปลกใจดังกล่าวนั่นแหละที่เป็นตัวทำให้ฉันต้องรีบผละใบหน้า เคลื่อนหน้าผากหลบไปจากธอนก่อน แม้ว่าในตอนนั้นเขายังใช้ขาสองข้างรัดเอาไว้กันการหลบหนีก็ตาม
เธอคือผู้หญิงเจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ไฮไลน์เฉดสีน้ำตาลคาราเมลตามแบบสมัยแฟชั่นนิยม มีรูปร่างเพรียวและหุ่นที่ดูดีจนน่าดึงดูด โดยเฉพาะองค์ประกอบบนดวงหน้ารูปไข่ซึ่งมองโดยรวมแล้วให้ความรู้สึกว่า เธอสวยกว่าสมาชิกชมรมเชียร์ลีดเดอร์บางคนเสียอีก
ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่า เธอจะอยู่เกรดเดียวกับฉันแต่คนละห้อง ชื่อ ‘วิเวียน ธานน์’
“นายพาหล่อนมาที่นี่เหรอ?” อีกครั้งที่วิเวียน ธานน์เอ่ยถามขึ้น พร้อมทั้งก้าวเท้าโยกย้ายพาตัวเองตรงเข้ามาหาเราทั้งคู่ นัยน์ตาสวยคู่เฉี่ยวเหลือบมองหน้าฉันเล็กน้อย แต่ขณะเดียวกันก็ดูเหมือนเธอจะรอฟังคำตอบจากคนถูกถามด้วยเช่นกัน
หากแต่คำถามของเธอดันไม่ได้คำตอบอะไรจากธอน เพราะเขาเอาแต่ยิ้มและมองหน้าฉันนิ่งๆ คล้ายกับไม่ได้ฟัง จนเธอต้องเอ่ยออกมาเองอีกครั้งในท่ายืนเท้าเอว
“วิเวียน ธานน์...” ซึ่งฟังดูเหมือนเป็นการแนะนำตัวมากกว่า
“ฉันชื่อ...”
“ไม่ต้องบอก ฉันรู้” วิเวียนยกมือขึ้นขัด “เรื่องของเธอใครๆ ก็รู้จักกันทั้งนั้น” เธอดูหยิ่งๆ เหมือนนางพญาเช่นเดียวกับซานดร้า แต่ดูจะพูดคุยด้วยง่ายกว่าเป็นไหนๆ
“ฉันได้ยินว่าเมื่อเช้าเธอโดนแกล้ง ลำบากน่าดูเลยนะ”
“อ อื้อ...” ฉันตอบแบบไม่เต็มเสียงนัก พร้อมทั้งพยายามใช้มือแกะขาธอนที่เริ่มกระชับบีบรัดตัวฉันออก นอกจากไม่ชินกับสายตาของธอนแล้ว สายตาของวิเวียนที่จ้องอยู่ตอนนี้ก็ด้วยเช่นกัน
“งูน่ะ...เวลามันรัด มันรัดแน่นมาก ถ้าตกอยู่ในสภาพของเหยื่อ เธอดิ้นไม่หลุดหรอก” วิเวียนกระตุกยิ้มพร้อมทั้งเลื่อนสายตาไปยังชายหนุ่มซึ่งเอาแต่นั่งนิ่งด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ที่สำคัญยังเอาแต่มองฉันตลอดเวลา “ไพธอน หล่อนไม่ใช่เหยื่อ ปล่อยได้แล้วล่ะมั้ง...”
“รู้น่า...แค่อยากอยู่ใกล้ๆ เท่านั้นเอง...” ธอนบอกวิเวียนแบบนั้นแต่ก็ยอมปล่อยตามที่ถูกว่าอยู่ดี
ด้วยชื่อเรียกที่น่าจะมีแค่ฉันเท่านั้นที่รู้ มันเลยทำให้เกิดข้อสงสัยขึ้นมาในหัวไม่ได้ ว่าการที่วิเวียนรู้ว่าธอนจริงๆ แล้วชื่อไพธอน นั่นอาจเป็นเพราะว่าเธอ...
“เป็นเหมือนกับเขา...ใช่ เธอคิดถูก” ฉันสะดุ้งเมื่อจู่ๆ คนตรงหน้าเอ่ยแทรกบางสิ่งที่อยู่ในหัวออกมาได้ราวกับอ่านความคิดออก เมื่อมองแล้วฉันถึงได้รู้ตัวว่า วิเวียนเองก็กำลังยืนจ้องตาฉันนิ่งๆ แบบเดียวกับที่ธอนกำลังทำ
“ธะ เธอรู้...”
“มองตายังไงล่ะ ถึงงูจะสายตาไม่ดีและหูจะบอดก็เถอะ แต่ถ้าได้จ้องมองอะไรนานๆด้วยความสนใจ มันก็สามารถรู้ได้ว่าเธอคิดอะไร...” คำพูดประโยคดังกล่าวทำฉันค่อยๆ เหลือบมองหน้าใครอีกคนซึ่งยังคงนิ่ง และใช้นัยน์ตาคู่เดิมมองมา
“อย่ามองสิ...” เพราะไม่รู้ว่าตลอดเวลาที่ธอนจ้องมองแบบนี้ในหัวเขาคิดอะไร ฉันจึงเอ่ยปากปราม และนั่นทำให้เขายิ้ม แล้วเอ่ยตอบโต้กลับมา
“หิวข้าวเหรอ...โบอา” พอถูกทักแบบนั้นทั่วหน้ามันก็ร้อนวูบ
ครั้นจะปฏิเสธก็ปฏิเสธได้ไม่เต็มปาก ในเมื่อตั้งแต่เช้าฉันยังไม่ได้กินอะไรเลย และนั่นจึงทำให้คนตัวใหญ่เจ้าของคำถามหลุดหัวเราะออกมา ก่อนยอมขยับตัวลงจากม้านั่งทรงสูง เดินตรงไปยังตู้แช่ขนาดเล็กบริเวณมุมห้อง ท่ามกลางสายตาของฉันที่ไม่เข้าใจ ต่างจากวิเวียน
ธอนหยิบกล่องพลาสติกสีดำออกจากตู้แช่ แล้วเดินกลับมายื่นมันส่งมาให้ฉัน หากแต่การกระทำดังกล่าวกลับทำให้วิเวียนกระตุกยิ้มราวกับว่าเธอตลกอะไร โดย เฉพาะ เมื่อธอนเอ่ยปากขึ้นด้วยประโยคถัดมา
“กินอาหารเช้า....ของฉันสิ...ตอนนี้ฉันยังไม่หิว...” เพราะรู้ตัวว่าถูกวิเวียนจ้องอยู่ด้วย อีกทั้งฉันก็ไม่อยากปฏิเสธบุคคลซึ่งเรียกตัวเองว่าพี่ชาย มือข้างถนัดเลยยื่นรับกล่องดังกล่าวมาไว้กับตัว ส่วนปากก็ถามออกไปอย่างไม่รู้จะถามอะไร ส่วนมือก็แกะฝากล่องออกไปด้วย
“นายเอาอะไรมากิน ทำไมถึงเย็นแบบนี้...”
“หนูป่า จับได้เมื่อเช้า...” ลำพังแค่คำตอบก็ช็อกพออยู่แล้วแต่ก็พยายามคิดในแง่ดีว่านั่นอาจเป็นมุกตลก แต่เปล่าเลย นั่นไม่ใช่มุก เมื่อภายในกล่องพลาสติกในมือ มีหนูป่าตัวขนาดทำกำปั้นสองตัวถูกยัดไว้ สภาพเหมือนเพิ่งตายใหม่ๆ ความเย็นเลยยังไม่จับตัวจนแข็งดีนัก ซึ่งนั่นยังตามมาด้วยคำเชิญชวนสั้นๆ ของพี่ชายผู้แสนมีน้ำใจ...
“...หนูพวกนี้รสชาติดีนะ..โบอา...ลองชิมสิ”
สิ้นเสียงธอน ฉันก็รีบปิดฝากล่องพลาสติกในมือแล้วยื่นมันส่งคืนเขาทันที ไม่ได้รู้สึกขยะแขยงหรือรังเกียจอาหารที่เขาเชิญชวน แต่เพราะรู้สึกตกใจต่างหาก
“เธอคงต้องหัดทำตัวให้ชินกับมนุษย์มือใหม่สักหน่อย...” เสียงหัวร่อแซมคำพูดติดตลกทำฉันเหลือบมองวิเวียนที่เวลานี้กำลังใช้มือกุมท้องเดินตรงเข้ามาแทรกกลางระหว่างเราทั้งคู่ จากนั้นจึงดึงกล่องพลาสติกไปจากมือธอน “ทฤษฏีมันง่ายไม่เหมือนการปฏิบัติ จริงไหมธอน?”
“เฮ้วิเวียน...” นั่นจึงทำให้คนถูกแซวส่งเสียงขัด แต่ก็ใช่ว่าจะทำให้วิเวียนหยุดแซวเขาที่ไหน
“อีกอย่างที่มนุษย์ควรเข้าใจก็คือ เรากินของแบบนี้” เธอพูดทั้งที่เดินตรงไปยังตู้แช่ ก่อนจัดการเก็บภาชนะใส่อาหารเช้าของธอนเข้าตู้อีกทั้งยังเอ่ยเสริมติดตลก “แต่ฉันน่ะ กินอาหารมนุษย์ได้นะ...อร่อยกว่าพวกหนูป่านี่เยอะ”
ธอนขมวดคิ้ว ปรายตามองการกระทำของวิเวียนท่าทางขัดใจ แต่ก็แค่นั้น พอเขารู้ตัวว่ากำลังถูกฉันจ้อง จึงได้หันกลับมา เปลี่ยนสีหน้ายุ่งๆ ให้กลายเป็นรอยยิ้มใจดีแล้วพูด
“ทำยังไงได้...ก็อยากอยู่ใกล้ๆ โบอานี่” และนี่ก็เป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ ที่ผู้ชายตรงหน้าถือวิสาสะเอื้อมมือมาแตะหัวฉันอย่างเบามือและใจดีเหมือนพี่ชายที่เห่อน้องสาว ธอนยิ้มกว้างขึ้นกว่าเก่าพลางยีมืออุ่นลงมาบนเรือนผมฉันหนักขึ้นอย่างเอ็นดู ในยามที่เราสบสายตากันแบบนั้น รอยยิ้มของเขาดูใจดีและไม่มีตรงไหนต่างจากมนุษย์ปกติเลยสักนิด
“ธอน...” นั่นเลยทำให้ฉันพลั้งปากเรียกเขาออกไป “ขอลองกอดพี่บ้างได้หรือเปล่า…อะ”
คนตัวใหญ่กว่าไม่รอให้ฉันเอ่ยจนสิ้นเสียงด้วยซ้ำ และเป็นฝ่ายคว้าตัวฉันเข้าไปกอดไว้แนบอกอุ่นตามสถานะเรียกของ ‘พี่ชาย’ ราวกับรอคอยคำขอแบบนี้มานาน กอดของเขารัดแน่นกว่าการกอดของคนทั่วๆ ไป แต่มันก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นไม่ต่างกับคนทั่วไปเลยแม้แต่นิดเดียว
ต่อให้ไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้รับรู้ผ่านทางโสตประสาททุกส่วนมากเท่าไหร่ก็ตาม แต่ว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามันก็กลับเจนชัดจนหนีปฏิเสธไม่ได้ หากนี่คือสิ่งที่สิ่งที่พระเจ้าต้องการให้ฉันได้พบเจอในชีวิตแล้วล่ะก็
ฉันก็คงไม่สามารถหลีกหนีกับเรื่องตรงหน้าได้เหมือนกัน หนีเรื่องที่ใครต่อใครกล่าวหาว่าฉันมีพี่น้อง มีญาติเป็นงู...
“โบอา...ตอนนี้เธอยังไม่มีชมรมอยู่ใช่ไหม?” ท่ามกลางความอุ่นภายในอ้อมกอดของธอน วิเวียนก็เอ่ยถามขึ้น แถมเธอยังเรียนชื่อฉันอย่างสนิทสนมทั้งที่เราเพิ่งจะมีโอกาสคุยกันเป็นครั้งแรก
“อะ ยัง...” ฉันหันไปตอบเธอโดยพยายามใช้มือผละตัวออกจากอ้อมกอดธอนไปด้วย
แต่ให้ตายสิ! เขาไม่ยอมปล่อย!
“มาอยู่ชมรมงูของฉันสิ จะได้ไม่ต้องเหนื่อยทำคะแนนสอบกับชิ้นงานจนเกินไป ยังไงซะห้องนี้และก็พวกงูยินดีต้อนรับเธอเสมอ...” วิเวียนดูใจดี ต่างจากรูปลักษณ์และน้ำเสียงยามพูดคุย ซึ่งฉันก็ทำได้เพียงแค่ยิ้มรับ โดยยังคงพยายามแกะแขนของธอนออกไม่หยุด
การที่เป็นเช่นนั้นเลยทำให้คนตัวระดับพอกันหลุดหัวเราะคิกคัก ทั้งที่เดินหยิบจัดข้าวของไปรอบๆ ห้อง จากนั้นก็พูดประโยคหนึ่งให้ฉันรับรู้ไว้เป็นบทเรียนก่อนเดินพ้นออกประตูห้องไป
“การขอกอดจากงู มันไม่ต่างอะไรจากการเสนอตัวเองให้ตกเป็นเหยื่อหรอกนะรู้ไหม”
“อะ...ธอนเจ็บ!” ฉันหลุดเสียงร้องเบาๆ เมื่อคนตัวใหญ่ชักจะกอดร่ากายฉันแน่นจนเกินไปแล้ว และเสียงดังกล่าวมันก็ดูจะทำให้ผู้เป็นฝ่ายกระทำตกใจเป็นอย่างมาก ถึงขั้นรีบปล่อยกอดออกจากตัวฉันอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าตกใจแม้น้ำเสียงยังเฉื่อยไม่เปลี่ยนก็ตาม
“เจ็บ...ตรงไหน โบอา...” ฉันขมวดคิ้วใส่เขาดุๆ แต่จะโกรธมันก็โกรธได้ไม่เต็มที่ก็ในเมื่อฉันดันเป็นฝ่ายขอกอดจากเขาเองนี่นา แม้จะรู้สึกไม่ค่อยชินกับการอยู่ใกล้ชิดกับคนอื่นมาก่อนก็ตาม ถึงอย่างงั้น นับตั้งแต่วันนี้ไป ฉันก็คงต้องทำใจยอมรับและหัดทำตัวให้ชิน
“ขอโทษนะ...โบอา...ที่ทำให้เจ็บ...” ธอนเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าฉันเอาแต่ใช้มือลูบไปตามเนื้อตัวบริเวณที่ถูกเขากอดรัดแต่แล้วจู่ๆ น้ำเสียงรู้สึกผิดก็เริ่มเปลี่ยนไป กลายเป็นการทวงถาม “จำสัญญา...ที่ให้ไว้เมื่อวานได้ไหม?”
“สะ สัญญาอะไร...” ฉันย้อนแต่ไม่ได้มองหน้าเขาหรอก จนกระทั่ง ธอนเอื้อมมือใช้หัวแม่โป้งและนิ้วชี้บีบเชยคางขึ้น ให้หันกลับไปสบสายตากับเขาตรงๆ
นัยน์ตาสีสวยเหมือนกับพญางูใหญ่ตัวเมื่อวานกำลังจ้องลึกเข้ามาในตา โดยที่เจ้าของสายตาน่าหลงใหลคู่นั้นค่อยๆ ใช้ปลายนิ้วชี้กดลงบริเวณเนินอกซ้ายอย่างจาบจ้วง แล้วทวนคำสัญญา
“...ในคืนที่พระจันทร์ทอแสงทองอร่าม...” เสียงของธอนเวลานี้มีเสียงขู่ของงูดังซ้อนทับกันราวกับว่ามันคือเสียงที่ช่วยย้ำเตือนความทรงจำ “…เพียงแค่ปลดเปื้องอาภรณ์บนร่างกายออก...ทุกอย่างในชีวิตจะเปลี่ยนไปตลอดกาล...”