บทที่ 7 ตอนที่ 2

1201 คำ
“อาหารอร่อยจังเลยค่ะ...” ความเงียบเข้าครอบงำได้พักใหญ่ๆ แล้วมองดูสีหน้าของคนรักหนุ่มอรุโณรีย์ก็พอเดาออกว่าเขาคงกำลังคิดถึงภาพเก่าๆ ของครอบครัวอยู่ เขายกเครื่องดื่มขึ้นจิบนิดๆ แต่ไม่แตะอาหารเลยผิดกับเธอที่กินเอากินเอาเพราะความหิว            “ใช่...ที่นี่ของกินอร่อยมาก บรรยากาศก็สวยอยู่ติดริมชายหาด...” เขาคุยด้วยน้ำเสียงเรียบกว่าตอนที่เล่าเหตุการณ์วีรกรรมต่างๆ ตอนที่มาที่นี่สมัยเด็กๆ เสียอีก            “เอ่อ...ขอโทษนะคะคุณพ่อหรือคุณแม่คุณคะที่เป็นชาวต่างประเทศ” หญิงสาวยังชวนเขาคุยเรื่อยเปื่อย อันที่จริงมันก็เป็นเรื่องที่คนรักอย่างเธอสมควรรู้เอาไว้บ้าง เพราะตอนนี้คนรักตัวเองเป็นลูกครึ่งชาติไหนบ้างก็ยังไม่รู้เลย            “แม่ผมเป็นชาวกรีก พ่อเป็นลูกครึ่งไทยเยอรมัน...”                 “ว้าว...คุณนี่หลายเชื้อชาติจังค่ะมิน่าไม่มีเค้าคนไทยสักนิดเลย แล้วทำไมถึงได้มาเมืองไทยกันล่ะคะ” อรุโณรีย์ถามต่อด้วยความใคร่รู้และเห็นว่าเขาก็ไม่มีสีหน้าว่าจะรำคาญด้วย เธอยกน้ำผลไม้ปั่นขึ้นดื่มแล้ววางลงตั้งใจฟังคำตอบของเขาอย่างใจจดใจจ่อ “ซักประวัติผมเหรอ...อันที่จริงเราก็เป็นแฟนกันผมจะเล่าให้ฟังก็ได้นะ คุณพ่อผมท่านเป็นลูกครึ่งไทยเยอรมันคุณยายเสียชีวิตตั้งแต่ท่านอายุได้ประมาณเจ็ดแปดขวบ คุณตาเลยพาท่านไปอยู่ที่เยอรมันและไม่เคยกลับมาเมืองไทยอีกเลย ต่อมาพอท่านเข้ามหาวิทยาลัยคุณตาก็เสียตามไปด้วยอีกคน ท่านเลยใช้ชีวิตคนเดียวมาตลอด ส่วนคุณแม่ได้ทุนไปเรียนที่มหาวิทยาลัยที่พ่อผมเรียนอยู่ทั้งคู่เลยได้รู้จักกัน แล้วก็คบหากันเรื่อยมาจนกระทั่งเรียนจบ คุณแม่ท่านรู้ว่าแฟนตัวเองเป็นคนไทยก็เลยรบเร้าจะมาเมืองไทยและติดใจก็เลยมากันบ่อยๆ ถึงขนาดพูดภาษาไทยได้เลยนะ พอท่านทั้งคู่แต่งงานและมีผม เราก็มากันทั้งครอบครัวเกือบทุกปี...” อันที่จริง...ขายบ้านที่เยอรมันและย้ายถิ่นฐานมาประกอบธุรกิจอยู่ที่เมืองไทยต่างหากล่ะ “จนปีสุดท้าย...พวกท่านก็เกิดอุบัติเหตุเสียชีวิต เหลือแต่ผมคนเดียวที่รอด”                                                              “เอพริล...เอพริลขอโทษค่ะ ไม่น่าเซ้าซี้คุณเลยเราไปเดินเล่นชายหาดกันดีกว่าไหมคะ” สีหน้าหมองและดวงตาแดงก่ำของเขาทำให้หญิงสาวใจเสีย เธอกะพริบตาถี่ๆ มองหน้าคนรักหนุ่มด้วยความเห็นใจ “ไม่ต้องขอโทษหรอกผมไม่ได้เป็นอะไรเรื่องมันนานแล้วน่ะ แค่คิดเรื่อยเปื่อยเท่านั้นเอง ไปเดินเล่นกันก็ดีพ่อกับแม่ผมชอบที่สุด ท่านจะจูงมือแล้วเดินตามหลังผมที่วิ่งลิ่วๆ ทุกครั้งที่มา” ชายหนุ่มฝืนยิ้มยามพูดกับเธอทั้งที่แววตาของเขายังแฝงความเศร้าสร้อยเอาไว้เต็มเปี่ยม ก่อนจะเรียกให้พนักงานมาเก็บเงินค่าอาหาร                     อรุโณรีย์คิดว่าตัวเองรับรู้ความรู้สึกของเขาได้จึงเอื้อมไปจับมือหนามากุมเอาไว้เพื่อให้กำลังใจแก่เขา ทอเลเมียสพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้และกระตุกให้เธอยืนขึ้นพร้อมๆ กันและเดินจับมือไปด้วยกันก้าวเท้าลงจากร้านอาหารที่ทำด้วยไม้สักลงสู่พื้นทรายขาวสะอาด     “เราเคยมาถ่ายรูปด้วยกันตรงนี้...” รูปที่ใส่ฉากใหญ่และแขวนไว้ในห้องโถงของคฤหาสน์ แต่มัน...ก็ถูกทำลายทิ้งไปเสียแล้ว “งั้นเรามาถ่ายรูปด้วยกันไหม ไม่ได้เอากล้องมาถ่ายกับมือถือก็ได้นะคะ” อรุโณรีย์เสนอ หยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายใบเล็กส่งให้เขา จากนั้นเธอก็สาวเท้าก้าวยาวๆ ไปด้านหน้าเอามือจับหมวกปีกกว้างไม่ให้ปลิวไปตามลมแล้วกวักมือส่งสัญญาณให้ตากล้องจำเป็นถ่ายรูปให้เธอ วันนี้หญิงสาวอยู่ในชุดกระโปรงผ้าฝ้ายเอวสูงสีชมพูอ่อนชายกระโปรงยาวเลยไปเกือบถึงตาตุ่ม สวมเสื้อเอวลอยแขนตุ๊กตาสีเดียวกันเข้าชุด มีกระเป๋าหนังใบเล็กๆ สะพายบ่าเอาไว้ บนศีรษะสวมหมวกสีขาวสำหรับมาเที่ยวชายทะเล ทรงผมนั้นผูกรวบไว้ด้านหลังธรรมดาไม่มีเครื่องประดับอื่นใดนอกจากกิ๊บตัวที่ได้เป็นของขวัญวันเกิดจากชายหนุ่ม ทอเลเมียสมองความสดใสน่ารักนั้นอย่าลืมตัวไปชั่วครู่ก่อนจะยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดหาฟังก์ชันกล้องและถ่ายรูปให้เธอ จากนั้นทั้งสองก็ผลัดกันถ่ายผลัดกันเป็นตากล้อง บางครั้งก็ให้นักท่องเที่ยวหรือผู้คนที่เดินผ่านไปมาถ่ายรูปคู่ให้ บ้างก็ถ่ายกันเองอย่างสนุกสนาน มองโดยทั่วไปก็เหมือนคนรักที่พากันมาเที่ยวธรรมดาซึ่งฝั่งหญิงสาวก็คิดเช่นนั้นแต่หากชายหนุ่มกลับมีความคิดต่างกันโดยสิ้นเชิง “โอ๊ย!!!” เสียงโอดโอยดังมาจากคนด้านหลังขณะที่หญิงสาวชูมือถือทำท่าจะถ่ายรูปทำให้เธอรีบหันมามองเขาแล้วก็ต้องปรี่เข้าไปด้วยความตกใจ “คุณนาซี...เป็นอะไรคะ โดนอะไรเนี่ยทำไมเลือดออกเยอะแบบนี้!”                                                                                       อรุโณรีย์ประคองร่างของชายหนุ่มที่ค่อยๆ ทรุดนั่งบนพื้นทรายที่เท้าของเขามีเลือดไหลนองจนเม็ดทรายขาวๆ กลายเป็นสีแดงสด ใบหน้าของทอเลเมียสบิดเบี้ยวเหยเกด้วยความเจ็บปวดจากบาดแผล เธอเพิ่งสังเกตว่าเขาไม่มีรองเท้าสวมไม่รู้เขาถอดมันไปตั้งแต่เมื่อไหร่ “ไม่รู้...สงสัยโดนเศษไม้ตำเอาเจ็บมากเลยเอพริล” “ทำยังไงดีล่ะคะ เอพริลจะไปตามคนมาช่วยคุณรอที่นี่ก่อนได้ไหมคะ” หญิงสาวละล่ำละลักด้วยความเป็นห่วงสีหน้าซีดเผือดเสมือนว่าเจ็บเสียเอง  “ไม่ต้อง...คุณช่วยประคองผมหน่อยผมพอจะเขยกไปเองได้” “รองเท้าคุณล่ะคะอยู่ไหน...” “ผมถอดทิ้งไว้ด้านหลังตรงโน้นน่ะ กะว่าค่อยใส่ตอนขากลับ...ช่างมันเถอะรีบพยุงผมหน่อย” “ค่ะ...” ไม่รอให้เขาร้องขอครั้งที่สามหญิงสาวรีบสอดมือรอบลำตัวหนาใหญ่ของเขาพยุงให้เขาลุก แล้วพากันเดินขึ้นฝั่งไปตรงร้านอาหารที่เรียงรายอยู่ริมหาดโดยเลือกเอาร้านที่ใกล้ที่สุดและรีบประคองชายหนุ่มเข้าไปขอความช่วยเหลือจากพนักงานด้านใน “โห...เป็นแผลใหญ่เลยสงสัยโดนเศษกระเบื้องแล้วครับคุณ ล้างแผลนิดหน่อยก่อนแล้วไปโรงพยาบาลดีกว่าครับผมว่าต้องเย็บแน่ๆ” พนักงานชายที่กำลังใช้น้ำเปล่าล้างบาดแผลตามด้วยน้ำยาล้างแผลสดและยาสามัญประจำบ้านที่มีอยู่ใส่แผลให้ชายหนุ่มอุทานพร้อมด้วยคนอื่นๆ ที่มามุงดูต่างต้องเมินหน้าหนีเพราะหวาดเสียวกับสิ่งที่ได้เห็น อรุโณรีย์ที่ยืนข้างๆ คนเจ็บแทบจะร้องไห้มือเย็นเฉียบของเธอกำมือใหญ่ของเขาเสียแน่นเช่นเดียวกันกับที่ชายหนุ่มก็จับเธอไว้ไม่ยอมปล่อย
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม