“วันนี้เราอายุครบยี่สิบน่ะ อีกอย่างปีนี้ก็เรียนจบปริญญาด้วยคุณพ่อท่านคงคิดว่าเราเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว ก็เลยอยากให้เรารู้จักคนใหญ่คนโตเข้าไว้ พวกท่านจะได้เอ็นดูคอยช่วยเหลือแนะนำเวลาต้องทำงานจริงๆ จังๆ ไง” เธออธิบายให้เพื่อนๆ ฟังพอให้เข้าใจกันคร่าวๆ ก่อนที่ทั้งหมดจะเดินจูงมือเข้าไปในบริเวณลานกว้างที่ถูกตกแต่งอย่างสวยงาม
อรุโณรีย์พากลุ่มเพื่อนของเธอไปไหว้บิดาและผู้ใหญ่ท่านอื่นๆ ที่ยืนจิบเครื่องดื่มคุยกันอยู่อย่างถูกคอก่อนจะแยกตัวออกมาหาโน่นนี่รับประทานเที่ยวเดินเล่นเดินคุยกันตามประสา เพื่อรอเวลาเป่าเทียนเค้กวันเกิดของเจ้าของงาน ซึ่งก็คือในช่วงเที่ยงคืนนั่นเอง งานยังคงดำเนินต่อไปแขกเหรื่อก็ทยอยกันมาเรื่อยๆ ทั้งเจ้าของงานและบิดาต่างก็ต้อนรับขับสู้อย่างทั่วถึง และไม่มีขาดตกบกพร่องทั้งอาหารเครื่องดื่มและดนตรีคอยขับกล่อมสร้างบรรยากาศ
และแล้วในที่สุด ช่วงเวลาสำคัญที่ทุกคนรอคอยก็มาถึงเสียที พิธีกรประจำงานเริ่มต้นด้วยการกล่าวประวัติเล็กๆ น้อยๆ ของหญิงสาว พร้อมทั้งฉายรูปวีดิทัศน์ซึ่งย้อนกลับไปตั้งแต่ตอนแบเบาะเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ก่อนที่บิดาบังเกิดเกล้าผู้ให้ชีวิตและให้ทุกๆ อย่างกับเธอ จะขึ้นไปกล่าวถึงบุตรสาวของตนเองบ้าง ทั้งผู้ที่มาร่วมงานและตัวอรุโณรีย์ซาบซึ้งใจกับทุกคำพูดของวงศ์ศาสตร์เป็นอย่างมาก เพราะถูกถ้อยคำทุกน้ำเสียงนั้นได้กลั่นกรองออกมาจากหัวใจเหล็กของพ่อ ผู้ที่เลี้ยงลูกไปด้วยทำงานหนักไปด้วยตามลำพัง ไม่เคยรู้สึกเหนื่อยหน่าย หรือท้อถอย และทุกๆ อย่างที่เขาสร้างที่เขาเพียรสะสมมาชั่วชีวิต ก็เพื่อบุตรสาวซึ่งเปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจของเขานั่นเอง
จนกระทั่งบิดากล่าวจบ ก็ถึงคิวของเจ้าของงานตัวจริงอย่างอรุโณรีย์จะขึ้นไปกล่าวอะไรเล็กๆ น้อยและบอกขอบคุณแขกที่มาในงาน เธอก็ทำได้เป็นอย่างดี และบุคคลที่หญิงสาวจะต้องกล่าวถึงด้วยความรู้สึกทั้งหมดของหัวใจที่มี ก็คงหนีไม่พ้นผู้เป็นบิดา แขกเหรื่อที่มาร่วมงานรับรู้ถึงความรักความผูกพันของสองพ่อลูก ต่างปรบมือแสดงความดีใจและยินดีที่เด็กสาวประสบความสำเร็จในชีวิตแม้จะเป็นเพียงก้าวแรกก็ตาม แต่นั่นก็หมายถึงความภูมิใจอย่างที่สุดแล้วของคนเป็นพ่อ อรุโณรีย์กล่าวขอบคุณแขกผู้มีเกียรติและบรรดาเพื่อนๆ ของเธอจบเป็นการตบท้าย แล้วเดินลงจากเวทีเล็กๆ มายังด้านล่าง ซึ่งเหล่าพนักงานเสิร์ฟต่างจัดแจงเตรียมเค้กวันเกิดที่ปักเทียนเรียบร้อยแล้ว มาตั้งบนโต๊ะที่ถูกห้อมล้อมด้วยผู้มาร่วมงาน
“คุณวงศ์ศาสตร์งานนี้คุณไม่ได้เชิญคุณทรงภูมิมาด้วยเหรอครับ ผมมาตั้งนานแล้วยังไม่เห็นเลย” เพื่อนในสังคมธุรกิจคนหนึ่งเอ่ยถามวงศ์ศาสตร์ขณะที่กำลังยืนรอเจ้าของงานเดินมาเป่าเทียน เพราะคนที่เอ่ยถึงเป็นคนเด่นดังในวงการ วงศ์ศาสตร์ไม่น่าจะพลาดไม่เชิญ และอีกฝ่ายก็ไม่น่าจะเสียมารยาทพอที่จะไม่มาด้วย
“เชิญครับเชิญ...แต่เอ น่าจะมีเหตุการณ์อะไรสักอย่างเกิดขึ้นแน่ๆ ครับคุณทรงภูมิถึงยังไม่มา” คนถูกถามกล่าวแฝงความสงสัย ด้วยเพราะทรงภูมินั้นค่อนข้างเป็นบุคคลที่มีความสำคัญในวงการธุรกิจพอสมควรมีหรือที่เขาจะพลาดไม่ชวนมางานสำคัญสำหรับเขาเช่นนี้ และทรงภูมิเองก็หาใช่คนเย่อหยิ่งไม่ ถ้าใครเชิญชวนไปงานที่ไหนๆ ก็ต้องปรากฏตัวให้เจ้าของงานเห็นเสมอ อาจมาช้าบางกลับเร็วบ้างหรือให้คนอื่นมาแทนนำของขวัญมามอบให้ก็ว่ากันไปตามสถานการณ์ แต่เงียบไปเฉยๆ อย่างเช่นวันนี้ แทบไม่เคยปรากฏมาก่อนเลยจริงๆ
“นั่นสิครับ ผมเองก็แปลกใจนึกว่าคุณไม่ชวนมาเสียอีก”
“คุณทรงภูมิคงมีธุระด่วนรัดตัวจริงๆ ครับ ช่างเถอะเดี๋ยวคงส่งของขวัญย้อนหลังมาให้ล่ะครับ...เอพริลมาแล้วเรารีบไปยืนด้านหน้ากันดีกว่าครับ...เชิญครับทุกท่าน” วงศ์ศาสตร์เชิญชวนบรรดาเพื่อนฝูงเข้าสู่ใจกลางของงานซึ่งตอนนี้บุตรสาวของตนกำลังเดินเข้ามาถึงบริเวณโต๊ะวางเค้กวันเกิดที่ได้รับการตกแต่งอย่างสวยงาม
“เอาล่ะครับทุกท่านมาร่วมร้องเพลงวันเกิดคุณเอพริลหน่อยครับ...ในปีนี้ นอกจากเธอจะมีอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ ซึ่งก็ถือว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวบรรลุนิติภาวะแล้ว ยังเป็นปีที่คุณเอพริลเรียนจบระดับปริญญาตรีมาด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งด้วยครับ...ปรบมือให้กับความเก่งของเธอ แล้วเรามาร่วมร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ทเดย์กันเลยครับ” เสียงเพลงฉลองวันเกิดระงมทั้งห้องจัดเลี้ยง ทุกคนชื่นมื่นยินดีกับชีวิตอันสดใสของเด็กสาว “ขอโทษครับที่มาสาย...” ทุกคนที่พร้อมใจกันร้องเพลงวันเกิด พร้อมปรบมือเป็นจังหวะ รวมไปถึงวงดนตรีที่เล่นเพลงคลอเบาๆ ต่างก็หยุดชะงักจนทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบและทุกคนก็หันไปมองเจ้าของเสียงทุ้มนุ่มลึกนั้นเป็นสายตาเดียวกัน
“ขอโทษครับพอดีผมติดธุระสำคัญ...ผมเป็นตัวแทนคุณทรงภูมินำของขวัญมามอบให้กับคุณหนูอรุโณรีย์เจ้าของวันเกิดครับ...” ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ล่ำสัน ผิวขาวในชุดเสื้อยืดสีขาว สวมทับด้วยสูทลำลองสีเทาเข้ม กางเกงสแลคสีดำ ตรงแผงอกกว้างบึกบึนที่โผล่พ้นคอเสื้อของเขาเผยให้เห็นรอยสักเป็นแนวโค้งตามขอบนิดหน่อย แต่มองไม่ออกว่าคือรูปอะไร เพราะถูกปกปิดเอาไว้เสียส่วนมาก
รูปหน้าของเขาออกไปทางลูกครึ่งอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลรับกับคิ้วสีดำเข้มที่ดกหนา และโก่งได้รูปบ่งบอกถึงสัญชาติว่าไม่ใช่คนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์เป็นแน่ แนวเคราเขียวครึ้มสั้นๆ ที่ประดับอยู่ตามโครงกรามทำให้เขาดูเข้มและเถื่อนขึ้นในขณะที่เขาสวมชุดสุภาพแบบสบายๆ ทุกอย่างส่งเสริมให้เขาเป็นผู้ชายที่มองแล้วชวนให้หลงใหลอย่างไม่มีที่ติ อีกทั้งริมฝีปากหนาสีชมพูเข้มที่ยิ้มน้อยๆ นั่นก็พาให้หญิงสาวหลายคนในงานต่างมองเคลิ้มไปตามๆ กันเลยทีเดียว ทอเลเมียสยิ้มมุมปากนิดๆ และเดินตรงเข้ามาหาหญิงสาวเจ้าของงาน ซึ่งผู้คนที่อยู่รอบวงต่างก็หลีกทางให้และจ้องมองราวกับถูกสะกด
เขาหล่อ...หล่อมาก ราวกับเทพบุตรจุติ แม้ในงานนี้จะมีลูกครึ่งอยู่หลายคนหรือเป็นคนต่างชาติโดยสมบูรณ์ก็มี แต่ล้วนแล้วเทียบกับชายหนุ่มผู้มาใหม่ไม่ได้เลย ทุกสายตามองตะลึงงันบ้างก็อ้าปากค้างตามๆ กัน ขณะที่ทอเลเมียสเดินเข้ามาถึงตัวสาวเจ้า และส่งกล่องของขวัญใบเล็ก ซึ่งถูกห่อไว้อย่างดีให้เธอ