หลังจากนั้นก็ช่วยกันแกะของขวัญแต่งงานกับพวกสาวใช้ในบ้าน และคุณแม่สามี หมดภารกิจของวันนี้ไปในช่วงก่อนเที่ยง
และตอนนี้เธอก็อยู่ในห้องครัวกับคุณแม่สาวิตรีที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ได้ยินพวกสาวใช้คุยกันว่าปกติคุณผู้หญิงไม่ค่อยลงครัวเองนานแล้ว สงสัยวันนี้มีความสุขสุดๆ ถึงได้ชวนลูกสะใภ้เข้าครัวแบบนี้
ธมนก็ได้แต่แอบยิ้มอย่างขำๆ อดคิดในใจไม่ได้ว่าอะไรจะขนาดนั้น แต่ก็รู้สึกอบอุ่นแทนคนในบ้านหลังนี้จริงๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่หล่อหลอมรวมมาเป็นพี่ริวช่างอบอุ่นละมุนละไมเหมือนที่เขาเป็นเสียจริง
“มาลูก ช่วยแม่หั่นแครอทที แม่จะทำเต้าหู้ทรงเครื่อง พี่ริวเขาชอบมากเลยแหละ” มือสาละวนกับการนึ่งเต้าหู้คินุ ปากท่านก็เล่าเธอฉะฉาน
ธมนได้แต่รับคำเสียงใส การได้ทำอาหารคือความสุขอีกอย่างหนึ่งของเธอ อาจเพราะเป็นลูกแม่ค้าขายอาหาร แถมเรียนก็จบคหกรรม การเข้าครัวจึงไม่ใช่เรื่องน่ากลัวสำหรับเธอ ตรงกันข้าม ไม่ว่าจะเมนูยากง่ายก็สามารถดึงดูดความสนใจของเธอได้ทั้งนั้น
อีกอย่าง ไม่บ่อยที่เธอจะมีโอกาสได้ดูการทำอาหารที่ใช้เต้าหู้คินุเป็นส่วนประกอบ อาจเพราะที่บ้านของเธอไม่ค่อยนำมาทำกินสักเท่าไร
ถ้าจำไม่ผิด ธมนจำได้ว่าแม่เคยเอามาทำเต้าหู้ทรงเครื่องเหมือนที่แม่พี่ริวกำลังทำแบบนี้แค่สามครั้งเท่านั้นเอง
ธมนจำได้ว่ามันอร่อยมาก เพราะเต้าหู้คินุเป็นเต้าหู้อ่อน เนื้อละเอียด ค่อนข้างนิ่ม หน้าตาคล้ายๆ เต้าฮวยแต่ดูแล้วน่าจะแข็งกว่าเต้าฮวยนิดๆ สามารถนำมากินสดๆ ก็ได้ ด้วยวิธีการง่ายๆ แค่หั่นให้เป็นก้อนขนาดพอดีคำ ใส่จาน โรยหน้าด้วยผักตามชอบ จำพวกต้นหอมซอย หรือขิงหั่นละเอียด แล้วราดด้วยซีอิ๊วญี่ปุ่นหรือที่เรียกว่าโชหยุสักนิดเพื่อเพิ่มรสชาติ เท่านี้ก็ได้เต้าหู้เย็นที่แสนอร่อยแล้ว ไม่แปลกที่พี่ริวจะชอบ ขนาดเธอได้ลองกินไม่กี่ครั้งก็ยังชอบเลย
แม่สามีกับลูกสะใภ้ช่วยกันแข็งขัน ไม่นานเมนูเต้าหู้ทรงเครื่องที่แสนน่ากินมีทั้งหมูสับ เห็ดหอม หอมหัวใหญ่ และแครอท ก็เสร็จเรียบร้อย แต่ที่ไม่เรียบร้อยก็คือพี่ริวจะต้องได้กินในตอนเที่ยงนี้ และนี่ก็สิบเอ็ดโมงสี่สิบห้านาทีไปแล้ว
“หนูมนหิวหรือยังลูก”
“ยังไม่ค่อยหิวเท่าไรค่ะแม่” ตอบสงบเสงี่ยม
“งั้นหนูเอาข้าวกลางวันไปส่งให้พี่ริวที่ออฟฟิศหน่อยนะลูก แล้วก็กินข้าวพร้อมพี่เขาเลย”
แม่สามีว่าอย่างยินดี คงเกรงใจอยู่บ้างที่ใกล้เที่ยงแล้วแต่ยังจะให้เธอออกไปข้างนอก แต่ธมนไม่ได้คิดอะไรตรงนั้น สิ่งที่เธอกังวลคงมีเพียงแค่...
“พี่ริวจะสะดวกหรือคะแม่ มนกลัวไปกวนตอนพี่ริวทำงานน่ะค่ะ”
“ไม่หรอกลูก เราไปตอนพักเที่ยงนี่นา พี่ริวจะดีใจสิที่เมียเอาข้าวกลางวันไปส่งถึงที่ทำงาน”
นางสาวิตรีกลับมองว่าดีไปเสียอย่างนั้น แถมคำว่าเมียนั่นก็ทำเอาธมนแก้มแดงขึ้นมาทันใด เหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อคืนยังสดๆ ร้อนๆ และทำให้เธอเขินอายยามนึกถึงภาพความเร่าร้อนระคนอ่อนหวานนั่น
“แล้วคุณพ่อล่ะคะ”
“คุณพ่อออกไปพบลูกค้า น่าจะกินข้าวเที่ยงข้างนอกเลย มนไปหาแค่พี่ริวก็พอลูก ถ้าไม่สบายใจก็โทรไปถามพี่เขาก่อนก็ได้ว่าสะดวกไหม แล้วค่อยให้ลุงผลขับรถไปส่ง ขากลับก็รอพาพี่ริวกลับบ้านมาด้วยเลย ดีไหม”
นางว่าเป็นฉากๆ โดยที่ธมนก็ได้แต่อ้าปากค้างเพราะแทบจะคิดตามไม่ทัน
แต่สุดท้ายก็ปฏิเสธไม่ได้ จำต้องรับคำและทำตามอย่างไม่มีเงื่อนไข โดยเริ่มจากการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเขาก่อน โชคดีที่เมื่อเช้าก่อนออกจากบ้านได้แลกเบอร์กันไว้แล้ว ไม่งั้นธมนคงรู้สึกแปลกๆ ไปมากกว่านี้...
ฝ่ายคนที่ตกเป็นหัวข้อสนทนาของหญิงต่างวัยก็กำลังขะมักเขม้นกับการเซ็นแฟ้มที่ฝ่ายงานต่างๆ ของบริษัทเสนอขึ้นมาขออนุมัติ
เขาอ่านอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก่อนจะจรดปลายปากกาเซ็นชื่อลงไป อันไหนที่มีข้อผิดพลาดก็วงไว้ และแยกแฟ้มงานไว้เพื่อรอให้เลขาฯ มารับไปแจกจ่ายแต่ละหน่วยงาน ทั้งส่วนที่อนุมัติแล้วและส่วนที่ต้องแก้ไขและนำเสนอมาใหม่
การที่เขาต้องละเอียดลออขนาดนี้ก็เพราะมันมีแต่เรื่องสำคัญ อีกอย่างรองประธานกรรมการบริหารอย่างเขา ก็ต้องทำหน้าที่ให้ดีเพื่อที่พ่อของเขาซึ่งเป็นประธานกรรมการบริหารจะได้เบาใจและไม่ต้องมากังวลกับสิ่งเหล่านี้ ทุกวันนี้แค่เรื่องที่ท่านต้องตัดสินใจก็ล้นเหลือแล้ว
กำลังทำงานอยู่เพลินๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบในห้องทำงานส่วนตัว
“สวัสดีครับ” ทักทายสุภาพทันทีที่กดรับ
“เอ่อ คือ...มนเองค่า”
“ครับผม” ปากเอ่ย ตาก็มองเอกสาร ไม่เสียสมาธิสักนิดแม้ต้องแยกประสาททำสองอย่างในเวลาเดียวกัน
“พี่ริวยุ่งอยู่หรือเปล่าคะ”
“ไม่ครับ ไม่ยุ่ง คุยได้”
“.....”
ธมนเงียบไปเสียดื้อๆ เหมือนหมดคำจะพูดทั้งที่ความจริงเธอมีเรื่องที่ตั้งใจจะพูดกับเขาอยู่แล้วแท้ๆ
“หนูว่าไงเอ่ย”
เขาละมือจากการเซ็นเอกสาร เอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างผ่อนคลาย เมื่อปลายสายอึกๆ อักๆ ก็ให้สงสัยว่าเหตุใดเธอจึงเงียบงัน