ตอนที่ 3 ข้าจะแต่งกับเขา
ซีเหยานั่งอยู่ในห้องครัวมองอาหารที่เหลือบนโต๊ะด้วยใบหน้าเคร่งขรึม มันมีแค่น้ำซุปผักต้มใสๆ กับหัวมันที่เผาจนเกือบไหม้เหลืออยู่ตรงหน้าเท่านั้น
ในครัวตอนนี้ไม่มีอะไรให้นางกินได้เลย เหมือนกับว่าแม่เลี้ยงตั้งใจจะกดดันนาง ไม่ให้ได้กินอิ่มนอนอุ่น
ซีเหยาปิดจมูกระหว่างดื่มน้ำซุปผักลงไป หวังว่ามันจะลดความเหม็นเขียวลง น้ำซุปเย็นๆ ไหลลงคอทำให้นางรู้สึกมีแรงขึ้นมาบ้าง
หลังจากกินข้าวเสร็จ ล้างชามทำความสะอาดอย่างเรียบร้อย นางก็กลับมาที่ห้อง ในหัวคิดแผนที่จะรับมือ
ซีเหยามองสำรวจไปที่รอบๆห้องของนาง ดูเหมือนว่าห้องนี้จะมีโต๊ะและเตียงที่สมบูรณ์มากที่สุดในบ้าน
ซีเหยาเอื้อมมือไปลูกคลำโต๊ะสีแดง และนางก็รู้สึกตกใจ เดิมทีนางคิดว่าเป็นเพียงโต๊ะไม้ธรรมดาๆ ที่ทาสีแดง แต่ที่จริงเนื้อด้านในของมันเป็นหนานมู่สีทองชั้นดี
ไม้ชนิดนี้ราคาสูงเสียดฟ้า มักนำไปสร้างเป็นเตียงและเครื่องเรือนให้กับคนชั้นสูง นางหันไปมองตู้เสื้อผ้าและเตียง ทุกชิ้นมันล้วนทำมาจากไม้หนานมู่สีทอง แต่น่าเสียดายที่มันมีไม่ครบชุดราคาที่ขายคงจะลดลงไปมาก
ซีเหยาครุ่นคิด ดูเหมือนว่าแม่ของเจ้าของร่างจะรู้จักสามีตัวเองดี ของมีค่าในสายตาของเขามักจะเป็นพวกเครื่องเรือน แจกันหยก ปิ่นทองคำเครื่องประดับศีรษะระยิบระยับเท่านั้น หากเขารู้ว่าพวกโต๊ะ ตู้ เตียงทั้งหลาย ที่อยู่ในห้องนี้มีราคา เกรงว่าคงนำเอาไปขายจนหมดแล้ว
ส่วนนางอวี้แม่เลี้ยงของเจ้าของร่างถ้ารู้ว่าทรัพย์สมบัติที่นางแอบขโมยไป มีค่าแค่เพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับสิ่งของที่เหลืออยู่ในห้อง เกรงว่านางคงจะแค้นใจจนตาย ซีเหยาเหยียดยิ้มดูถูก
ซีเหยาในปีนี้อายุได้สิบแปดปี นับว่าออกเรือนล่าช้ากว่าหญิงสาวคนอื่นในหมู่บ้าน โดยปกติหญิงสาวยุคนี้จะแต่งงานเมื่ออายุได้ประมาณสิบสี่ปีหรือที่เรียกกันว่าพ้นวัยปักปิ่นก็แต่งงานออกเรือนเลย
ร่างกายของเจ้าของร่างแม้ว่าจะไม่ได้รับการบำรุงเป็นอย่างดี แต่นางก็มีสัดส่วนทุกอย่างที่ควรจะมี อกเป็นอกเอวเป็นเอว สุขภาพก็ค่อนข้างแข็งแรงแม้ว่าจะดูขาดสารอาหารไปบ้าง ถ้าเป็นยุคปัจจุบันก็อยู่ในช่วงวัยเจริญพันธุ์ใกล้เคียงกับวัยผู้ใหญ่เต็มตัว
ซีเหยาเดินไปที่ประตูห้องของท่านพ่อ เคาะประตูเบาๆ เสียงสนทนาในห้องเงียบลง เป็นแม่เลี้ยงของนางที่เดินมาเปิดประตู
หญิงสาวเลียนแบบท่าทางเจ้าของร่างเดิม ยามเมื่อเห็นแม่เลี้ยงของตัวเอง นางก็รีบก้มหน้าลงอย่างรวดเร็วทำท่าเกรงกลัว
“ข้า... ข้ามีเรื่องจะบอกท่านพ่อ”
“พูดดังกว่านี้! ข้าวก็กินเข้าไปแล้วยังไม่มีแรงที่จะพูดอีกหรือ!”
"ข้า...ข้ามาที่นี่...เพื่อบอกท่านพ่อ...ข้าตกลงที่จะแต่งงาน" ซีเหยาพยายามอย่างหนักที่จะแสดงท่าทางหวาดกลัวออกมา
นางอวี้ยิ้มอย่างสมใจ นางตัวดีคนนี้…ในที่สุดก็ตกลงที่จะแต่งงานแล้ว ในใจเมื่อคิดถึงเงินสินสอดที่ครอบครัวหลินจะมอบให้ในอนาคต นางอวี้ก็ยิ่งพึงพอใจจนแทบจะหัวเราะออกมาเลยทีเดียว น้ำเสียงที่พูดก็ดูอ่อนหวานลงเล็กน้อย
“ได้สิ ข้าจะไปบอกพ่อของเจ้า แล้วข้าก็จะรีบไปบอกครอบครัวหลินให้ส่งสินสอดทองหมั้นมา " นางอวี้ยังพูดต่อไปอีกว่า "ตอนนี้เจ้าก็รู้น้องชายของเจ้าต้องมีเงินไว้เรียนหนังสือ ค่าใช้จ่ายย่อมมีอีกมาก สินสอดทองหมั้นก็มอบให้ครอบครัวเราเก็บไว้เถอะ" เมื่อเห็นว่าซีเหยาไม่ได้โต้แย้งอันใดนางก็พอใจ "เจ้ารีบกลับไปแก้ชุดเจ้าสาวของแม่เจ้า เอาไว้ใส่ตอนออกเรือนซะ"
ซีเหยายิ้มเยาะในใจ นางจะถือว่าเงินสินสอดเป็นค่าเลี้ยงดูที่ตอบแทนท่านพ่อก็แล้วกัน แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนดีแต่ก็ไม่ถึงกับใจร้ายใจดำกับลูกในไส้ ต่อไปนี้นางจะไม่ได้มายุ่งเกี่ยวข้องแวะกันอีก
ซีเหยากลับมาที่ห้องของตัวเอง รื้อชุดแต่งงานของท่านแม่ออกมาจากตู้ แม้ว่ามันจะผ่านมานานเกือบยี่สิบปีแต่ชุดแต่งงานนี้ก็ยังเป็นสีแดงสดใสค่อนข้างใหม่ เพราะว่ามันทำมาจากผ้าไหมชั้นดีสัมผัสนุ่มนวล เรียบลื่น เย็นสบาย
ถ้าเป็นในเวลานี้ครอบครัวพวกเขาไม่มีปัญญาซื้อแน่ มันเป็นชุดที่ท่านยายของนางสั่งตัดมาให้ท่านแม่เพื่อแต่งงานโดยเฉพาะ ในตอนที่ครอบครัวของพวกเขายังคงมั่งมี ต่อมาเพียงไม่นานครอบครัวก็ประสบภัยการเมือง กลายเป็นว่าตกลงมาจากสวรรค์ภายในชั่วข้ามคืน...