“ว่ายังไงนะ!!”
เนเธอร์ที่เคยมีท่าทีสงบเสงี่ยมถึงกับตะโกนออกมาอย่างตกใจ ช้อนที่เขาใช้ตักอาหารถึงกับร่วงลงบนจานจนเกิดเสียงดัง โชคดีที่ตอนนี้เพิ่งจะสิบโมงกว่า จึงไม่มีลูกค้าท่านอื่นในร้านเพราะต่างคนต่างก็ไปทำงานกันหมด
“เฮ้ย! พี่อย่าทำท่าตกใจอย่างนั้นสิ ฉันก็มานี่แล้วไง เอาเป็นว่า พี่ช่วยอธิบายเกี่ยวกับโรงเรียนอะไรนี่ให้ฟังหน่อยสิ ฉันจะได้มีความรู้พื้นฐานติดตัวเอาไว้บ้างไง” หญิงสาวพยายามที่จะไม่เอ่ยถึงสาเหตุที่เธอมาเรียนที่นี่อีก เพราะรู้ดีว่าพี่ชายของเธอนั้นเป็นโรคหวงน้องสาวจนขึ้นสมอง อย่าว่าแต่มีคนรักเลย แม้กระทั่งเพื่อนที่เป็นผู้ชายเขายังคอยกันท่าทุกครั้งที่เข้าใกล้เลยด้วยซ้ำ
เนเธอร์ส่งเสียงฟึดฟัดในจมูกอย่างไม่พอใจเล็กน้อย แต่ก็ยอมคล้อยตามน้องสาวแต่โดยดี เขาเท้าแขนทั้งสองข้างเอาไว้บนโต๊ะ ส่วนมือนั้นประสานเข้าหากัน แสดงถึงท่าทีจริงจังที่นานๆนั้นจะได้เห็นจากพี่ชายคนนี้
“โรงเรียนฟราเทลเลียสนั้นที่จริงแล้ว จะให้เรียกว่าโรงเรียนก็คงจะไม่ใช่สักทีเดียว เพราะหลักสูตรการสอนนั้นไม่ได้เหมือนกับที่รัฐบาลได้กำหนดเลยแม้แต่น้อย แต่มันถูกก่อตั้งขึ้นด้วยกษัตริย์แห่งเมืองต่างๆเมื่อประมาณหกร้อยปีที่แล้ว...”
อาหารจานที่สามของคราเทลถูกเสิร์ฟลงบนโต๊ะ แต่ตอนนี้เธอกลับไม่ได้สนใจมันเลยแม้แต่น้อย ดวงตากลมโตจ้องมองพี่ชายของตนเองอย่างมีสมาธิเพื่อรับฟังข้อมูลที่อาจจะเป็นประโยชน์สำหรับเธอในอนาคตอันใกล้นี้
“หลักสูตรของโรงเรียนนี้แบ่งออกเป็นสี่ภาคใหญ่ๆซึ่งก็คือ คราวน์ซึ่งหมายถึงมงกุฎ เวอร์ริเออร์ที่หมายถึงนักรบ แนเจอร์ที่แปลว่าธรรมชาติและหลักสูตรพิเศษ ‘คริสตัล’ ทั้งสี่หลักสูตรนี้มีการเรียนที่ต่างกันลิบลับ แต่ก็จะมีการจัดกิจกรรมร่วมกันเป็นบางครั้ง”
คราเทลพยักหน้ารับก่อนจะถามคำถามที่ค้างคาใจของตนเองออกไป
“แล้วแต่ละภาคนี่เป็นยังไงบ้าง ไม่รู้ว่าพ่อจะให้ฉันลงภาคไหน แต่เห็นพ่อบอกว่าจัดการส่งใบสมัครให้ฉันเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ต้องไปรายงานตัวเท่านั้น” หญิงสาวกล่าวพลางเริ่มจิ้มอาหารในจานของตนเองขึ้นมากินเพราะเริ่มรู้สึกหิวเนื่องจากอาหารที่ทานไปนั้นเริ่มย่อย
“ก่อนอื่น พี่ขอแนะนำเวอร์ริเออร์ซึ่งเป็นภาคที่พี่เรียน ในปีหนึ่งนั้น นักเรียนจะได้รับการฝึกภายในโรงเรียนซึ่งจะมีแยกเป็นอาวุธระยะประชิด อาวุธระยะไกลและอาวุธเวทย์เป็นเวลาหนึ่งปี ส่วนปีที่สองนั้นจะถูกส่งไปยังศูนย์บัญชาการกองทัพบก น้ำ อากาศและเวทย์เพื่อฝึกงานเบื้องต้นรวมไปถึงฝึกให้เรียนรู้การเอาตัวรอดในสถานการณ์ต่างๆ ปีสามซึ่งเป็นปีที่พี่จะต้องเรียนตอนเปิดเทอมนี้ก็คือจะมีการแบ่งกลุ่มภายในชั้นปีออกเป็นสี่กลุ่ม จากนั้นก็วางแผนรบกันเพื่อเก็บคะแนน โดยที่จะต้องมีคนรับตำแหน่งทุกอย่างเหมือนกับตอนออกรบ อีกทั้งจะต้องเขียนรายงานการประชุมวางแผนรบแต่ละครั้งให้กับอาจารย์ ปีสี่ นักเรียนจะถูกส่งไปฝึกงานยังเมืองต่างๆในอาร์เพเธียและอัลคีเรีย ส่วนปีห้านั้น ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดสิบห้าคนจากปีสี่จะถูกส่งไปเป็นองครักษ์ชั่วคราวภายในราชสำนักของแต่ละเมือง ส่วนคนที่เหลือก็จะถูกส่งไปประจำสถานที่ราชกาลต่างๆตามความเหมาะสม”
“โหดเหมือนกันแหะ พวกพี่ดูเหมือนจะมาเป็นทหารมากกว่ามาเรียนซะอีก” คราเทลออกความเห็นพลางยัดอาหารเข้าไปในปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆเหมือนกับเด็กๆทั้งที่อายุสิบเจ็ดปีแล้วแท้ๆ
“ส่วนคราวน์ ปีหนึ่งก็จะเป็นการเรียนทฤษฎีอยู่ที่โรงเรียนซึ่งจะแบ่งออกเป็นสามหัวข้อใหญ่คือ การทูต การปกครองและการวางผังเมือง ปีสองก็จะได้ไปเรียนรู้งานที่ศูนย์พัฒนามนุษยธรรมและการทูตแห่งดินแดน ปีที่สามก็จะถูกย้ายไปฝึกงานที่ประเทศต่างๆเกี่ยวกับการวางแผนผังเมืองและการวางแผนเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศ ส่วนปีที่สี่ก็จะต้องทำรายงานเกี่ยวกับแผนปรับปรุงและพัฒนาประเทศต่างๆที่ตนเคยไปมาเมื่อตอนปีสาม และถ้าหากว่ารายงานไหนผ่านจากพิจารณา ผู้เขียนรายงานนั้นก็จะถูกส่งตัวไปเป็นผู้นำเสนอแผนงานของตนเองต่อหน้ากษัตริย์ของประเทศที่ตนเองเขียนขึ้น และปีที่ห้า นักเรียนทั้งหมดนี้จะได้รับบรรจุเข้าเป็นหนึ่งในสภานักเรียนของโรงเรียน คอยประสานงานเรื่องกิจกรรมต่างๆทั้งหมดและต้องคอยให้ความสัมพันธ์ระหว่างแต่ละภาคนั้นมีสถิติที่ดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว
ต่อมาก็คือเนเจอร์ ซึ่งเป็นภาคเรียนเกี่ยวกับธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นเวทมนตร์ การปรุงยา นักพฤกษศาสตร์หรือนักธรรมชาติวิทยา ในภาคนี้จะเริ่มมีการทัศนศึกษาตั้งแต่ตอนเรียนอยู่ปีหนึ่งเลย ส่วนใหญ่ก็จะแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มๆแล้วให้ไปอาศัยอยู่ในป่าและทำการค้นคว้าวิจัย ปีสองก็จะกลับมาที่โรงเรียนเพื่อฝึกการใช้เวทมนตร์ขั้นที่สอง ปีสามนั้นจะต้องเข้าห้องทดลองเกี่ยวกับพืชและสัตว์เวทย์ ปีสี่นั้นจะทำการเดินทางไปขุดซากโบราณสถานและพวกฟอสซิลในจุดต่างๆของโดรีเธีย ส่วนปีที่ห้านั้นจะต้องทำการวิจัยเกี่ยวกับสัตว์ในตำนานให้หาข้อมูลมาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ รวมไปถึงบ่งชี้จุดเด่นและจุดด้อยของสัตว์ในตำนานที่เลือกมาด้วย”
“แล้วหลักสูตรพิเศษล่ะ?” เนเธอร์ส่ายหน้าน้อยๆให้กับใบหน้าใคร่รู้ของน้องสาวที่ดูท่าว่าจะไม่หมดสิ้นเอาง่ายๆเป็นแน่
“หลักสูตร ‘คริสตัล’ พี่ขอยอมรับตามตรงเลยว่าพี่แทบไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับมันเลย ที่พี่รู้คร่าวๆก็คือหลักสูตรนี้เรียนจบภายในระยะเวลาเพียงสี่ปี ส่วนการเรียนการสอนนั้น พี่จนปัญญาจริงๆ เหมือนกับว่ามันถูกปิดเป็นความลับ แถมพี่ก็ไม่ค่อยได้เสวนากับพวกเด็กภาคนี้สักเท่าไหร่ หน้านี่ยังนานๆเจอกันทีเลย”
ชายหนุ่มพูดพลางถอนหายใจเฮือก มือหนาเอื้อมไปยกแก้วน้ำขึ้นดื่มเพื่อแก้กระหาย ก่อนจะลงมือทานอาหารในจานข้าวของตนเองต่อ
“ถ้าหากว่ามันลึกลับขนาดนั้น ฉันว่ามันจะต้องมีอะไรบางอย่างแน่ๆ ขนาดว่าคราวน์กับเวอร์ริเออร์ยังเรียนหนักขนาดนี้ ไอ้หลักสูตรพิเศษนั่นมีหวังเรียนหนักกว่าหลายเท่าตัวชัวร์ๆ!”
“ใช่! เห็นว่ากันว่าวิธีสอบเข้านั้นยากมาก มากที่สุดในสี่ภาคเลยทีเดียว” เนเธอร์กล่าวพลางหยิบผ้าเช็ดปากของตนเองไปเช็ดเศษอาหารที่เลอะอยู่ที่มุมปากของคราเทลอย่างอดเสียไม่ได้ก่อนจะกล่าวต่อ “แล้วเธอสนใจภาคไหนล่ะ”
“อืม...ไม่รู้สิ คราวน์นั้นดูเหมือนจะไม่เปลืองแรง แต่คงปวดสมองน่าดู ส่วนวอร์ริเออร์ก็ดูเหมือนจะถูกใช้งานหนักอยู่ไม่ใช่น้อย ที่น่าสนใจก็คงจะหนีไม่พ้นเนเจอร์ แต่ก็อีกนั่นแหละ...ดูท่าจะเร่ร่อนไม่ค่อยอยู่เป็นที่เป็นทางสักเท่าไหร่ เฮ้อ! พ่อนะพ่อ ฉันไม่เคยขอร้องที่จะมาเรียนที่นี่เลยสักนิด ทำไมถึงต้องผลักไสให้ฉันมาสมัครเข้าเรียนที่นี่ด้วยล่ะเนี่ย โรงเรียนดีๆก็มีอีกตั้งเยอะตั้งแยะแท้ๆ” คราเทลบ่นอุบอิบก่อนจะจัดการอาหารจานที่สามเสร็จอย่างรวดเร็วพร้อมกับตะโกนบอกพนักงานชายว่าให้ห่ออาหารที่ยังทำไม่เสร็จเพื่อเอากลับไปทานที่บ้านต่อ
‘ที่แท้ ก็สั่งเผื่ออาหารเย็นนี่เอง’ เนเธอร์คิดพลางเดินไปจ่ายเงินค่าอาหารซึ่งเป็นราคาประมาณหกร้อยโดร์[1] นับว่าราคาไม่แพงมากนักเพราะว่ามีการลดราคาให้เนื่องจากยัยตัวแสบนั้นสั่งอาหารเป็นจำนวนมากภายในครั้งเดียว
“ว่าแต่อาหารอีกห้าชุดสำหรับพวกเราสองคนในเย็นนี้ มันจะไม่มากไปหน่อยเหรอ” เนเธอร์ถามพลางเดินกลับมานั่งที่โต๊ะเพื่อรออาหารที่เหลือซึ่งน่าจะเสร็จภายในไม่ช้านี้
“ก็เห็นพี่บอกว่าพี่มีเพื่อนพักอยู่อีกคนนี่นา ยังไงก็ควรจะเอาไปเผื่อเขาหน่อย ยังไงซะ ฉันก็ต้องพักอยู่ที่บ้านพี่สักพักก่อนนี่นา” คราเทลเอ่ยพลางมองดูวิวทิวทัศน์ภายนอกผ่านทางกระจกบานใหญ่ซึ่งมีผู้คนเดินสัญจรไปมาไม่มากเท่าไหร่นัก
“อืม มันก็จริงเพราะว่าวันที่เธอจะต้องไปรายงานตัวนั้นก็อีกประมาณอีกสี่วัน”
“เฮ้ย! พี่! ฉันเพิ่งนึกออก!” อยู่ดีๆคราเทลก็ตะโกนขึ้นอย่างตกใจพร้อมกับยันตัวลุกขึ้นเต็มอย่างสูงอย่างรวดเร็วเสียจนเนเธอร์ถึงกับตกใจตามไปด้วย
“มีอะไร?”
“คือฉันลืมไปรับตัวเจ้าม้าที่พ่อฝากมากับรถไฟก่อนหน้าฉันน่ะสิ!!” คราเทลกล่าวพร้อมกับวิ่งตรงไปที่ประตูอย่างร้อนรน
“เดี๋ยวก่อนคราเทล!” เนเธอร์เอ่ยเสียงห้ามแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว มือบางของคราเทลนั้นเอื้อมมือไปผลักประตูพร้อมกับเอ่ยกับพี่ชายก่อนที่จะวิ่งออกไปจากร้านว่า
“แล้วเจอกันที่บ้านพี่ก็แล้วกันนะ ฉันมีแผนที่ รับรองว่าไม่หลงหรอก!”
กล่าวจบ ร่างบางก็หายออกไปจากร้านโดยที่เนเธอร์นั้นลุกขึ้นยืน เตรียมจะวิ่งตามน้องสาวของตนเองออกไปด้านนอกแต่ทว่า....
เปรี้ยง!
อยู่ดีๆเสียงฟ้าผ่าก็ดังขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ท้องฟ้าสีฟ้าที่เคยแจ่มใสกลับมีเมฆสีดำสนิทพัดเข้ามาปกคลุมทั่วทั้งบริเวณถนนฟัลล์น่า และดูเหมือนว่าเมฆฝนปริศนานี้ยังครอบคลุมไปยังบริเวณอื่นเหมือนกับว่ามีอุ้งมือขนาดใหญ่มาบดบังแสงสว่างจากดวงอาทิตย์เอาไว้
“อะไรกันเนี่ย นี่มันหน้าร้อนนะ” เนเธอร์ขมวดคิ้วอย่างนึกฉงน ดวงตาสีน้ำตาลเหม่อมองขึ้นไปมองท้องฟ้าผ่านทางกระจกภายในร้านอาหารอย่างไม่เข้าใจ
อากาศที่เคยอบอุ่นกลับลดลงอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงฟ้าร้องที่ดังระงมไปทั่วผืนฟ้าสีดำสนิท ร่วมขับขานเป็นบทเพลงที่น่ากลัวราวกับว่าตอนนี้เป็นตอนกลางคืนก็ไม่ปาน
ฉ่าๆๆ!
‘ตั้งแต่เกิดมา โดรีเธียยังไม่เคยมีอาการผิดปกคิแบบนี้มาก่อนเลย’ ชายหนุ่มคิดพลางขมวดคิ้วเข้าหากันในขณะที่ฝนนั้นเริ่มตกลงมาอย่างเบาบาง ก่อนที่มันจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นราวกับเทกระจาดลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาจนทำให้เขาไม่สามารถมองเห็นอะไรด้านนอกได้อีก
“มันเป็นเพราะอะไรกันแน่นะ” ชายหนุ่มรำพึงออกมาอย่างแผ่วเบาในขณะที่ดวงตานั้นยังคงมองออกไปยังนอกหน้าต่างทั้งๆที่ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้นอกจากสายฝนและเสียงฟ้าร้อง ฟ้าผ่าที่ดังสลับกันจนกลายเป็นห้วงทำนองที่น่ากลัว
มือหนานั้นกำแน่นยามเมื่อเจ้าตัวนั้นคิดถึงน้องสาวของตนเองที่เพิ่งจะวิ่งออกไปด้านนอกอย่างนึกเป็นห่วง เขาได้แต่คิดว่าฝนที่ตกผิดฤดูครั้งนี้คงจะเป็นแค่ความบังเอิญ ทั้งๆที่สัญชาตญาณของเขาไม่ได้บอกอย่างนั้นเลยแม้แต่น้อย....
ต่อจากนี้ไป...โดรีเธียจะต้องพบเจอกับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ได้เกิดขึ้นมานานหลายร้อยปี และผู้ที่กุมชะตานี้เอาไว้ก็คือ...ทายาทแห่งสายเลือดศักดิ์สิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว
นานพอสมควรกว่าที่ห่ออาหารจำนวนห้าห่อจะถูกส่งมายังมือของเนเธอร์โดยที่มีเชือกมัดเอาไว้ให้ติดรวมกันและผูกเป็นปมเว้นห่างออกมาจากตัวห่อเล็กน้อยเพื่อให้ชายหนุ่มสามารถถือมันได้แต่ทว่า
“ห่อให้แบบนี้ฉันก็คงจะไปไหนไม่ได้จนกว่าฝนจะหยุดเลยสินะ” ชายหนุ่มหันไปทำตาขวางใส่พนักงานอย่างไม่พอใจเล็กน้อย ซึ่งเขาก็ได้แต่ส่งยิ้มให้เพราะว่าทางร้านไม่ได้เตรียมของอะไรไว้กันฝนเลยแม้แต่น้อยเพราะว่าตอนนี้เป็นช่วงต้นหน้าร้อน
“ต้องขอโทษจริงๆนะคะ แต่ทางเราไม่ได้เตรียมอะไรที่จะกันฝนเอาไว้เลย” พนักงานสาวซึ่งทำหน้าที่เก็บเงินพูดด้วยสีหน้าเศร้าสลด แต่อาการหงุดหงิดของเนเธอร์ก็ไม่ได้ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย
“แปลกจริงๆนะครับ ทั้งๆที่ปกติแล้วหน้าร้อนแบบนี้จะไม่มีฝนเลยสักเม็ดเดียว”
คำพูดของพนักงานอีกคนส่งผลให้ชายหนุ่มกระตุกยิ้มที่มุมปาก
“แต่ฉันว่า....คงไม่มีใครแปลกไปกว่าน้องสาวของฉันอีกแล้วล่ะ” ชายหนุ่มรำพึงออกมาเบาๆเพื่อไม่ให้พนักงานทั้งสองได้ยิน พลางนึกถึงความน่ารักที่ออกจะเพี้ยนๆของคราเทล
ร่างสูงเดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิมด้วยท่าทางที่สุขุมขึ้น แต่ดวงตานั้นกลับจ้องมองไปที่หน้าต่างราวกับจะพยายามมองหาใครบางคนซึ่งก็เป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจาก ‘คราเทล เรเมอร์’ หรือยัยตัวแสบประจำบ้านที่ครอบครัวของเขามักจะเรียกนั่นเอง!
[1] โดร์ คือหน่วยของสกุลเงินสากลที่ใช้กันในโดรีเธียซึ่งมีลักษณะเป็นเหรียญสีทองและธนบัตรสีเงิน เหรียญทั้งสองฝั่งจะถูกประทับตราด้วยตราสัญลักษณ์รูปพระอาทิตย์และดวงจันทร์คล้องกันอยู่อย่างสวยงามตามด้วยค่าเงินที่ไม่เกินหนึ่งร้อยโดร์ ส่วนธนบัตรนั้นจะเป็นค่าเงินตั้งแต่หนึ่งร้อยโดร์ ห้าร้อยโดร์ หนึ่งพันโดร์และหนึ่งหมื่นโดร์