มี่อิงก้มลงมองชุดที่เธอสวมใส่จากร้านเช่าซึ่งอยู่ในห่อผ้า จำได้ว่ามีผ้าน้อยผืนบางเบาซึ่งติดมากับชุดของเธอแลดูคล้ายผ้าเช็ดหน้าเฉกเช่นเดียวกัน หญิงสาวรีบแก้ห่อผ้าดังกล่าวออกมาอย่างรวดเร็วก่อนจะดึงออกมาโดยพลัน พร้อมหันกลับไปอธิบายเสียงกระซิบกระซาบให้อีกฝ่ายล่วงรู้ว่าจะต้องทำเช่นไรต่อไป
ในขณะเดียวกันทหารจำนวนสองนายเดินมาถึงรถม้าก่อนจะหยุดลงตรงหน้าประตู
“ข้าน้อยทำตามหน้าที่ได้รับคำสั่งจากแม่ทัพจางให้ค้นหาคนร้าย ดังนั้นได้โปรดแจ้งชื่อเสียงเรียงนามผู้ที่อยู่บนรถม้าให้ครบทุกคนด้วย”
กล่าวพร้อมตรงเข้าเปิดผ้าที่ปิดประตูทางเข้าของตัวรถม้าเอาไว้ทันใด
พรึ่บ!!! ทันทีที่เปิดผ้าขึ้น ปรากฏว่าบนรถม้าคันดังกล่าวล้วนเป็นสตรีทั้งสิ้น นั่งอยู่ด้วยกันสามนางพร้อมเสียงของอี๋นั่วเอ่ยขึ้นทันใด
“รถม้าคันนี้คุณหนูของตระกูลเฉียนนั่งอยู่ พวกท่านยังต้องการทราบชื่อเสียงเรียงนามอยู่อีกอย่างนั้นรึ”
ทหารสองนายที่ทำหน้าที่ตรวจค้นต่างหันกลับมามองหน้ากันครั้นได้ยินเช่นนั้น ก่อนจะยกสองมือประสานเข้าหากันเพื่อขออภัยสตรีที่อยู่ในตระกูลชนชั้นสูง
“ข้าน้อยต้องขออภัย คุณหนูให้ความร่วมมือด้วยเถิดได้โปรดแจ้งชื่อเสียงเรียงนามของผู้ที่นั่งมาด้วยให้ครบเป็นคำสั่งของท่านแม่ทัพขอรับ” ทหารทั้งสองนายกล่าวอย่างนอบน้อม
“แม่ทัพอีกแล้ว! เอะอะอะไรก็คำสั่งไอ้หมอนั่น” มี่อิงบ่นรำพึงออกมาเบาๆ พร้อมเสียงของทหารตรวจค้นเอ่ยขึ้น
“ขอทราบนามผู้ที่นั่งอยู่บนรถด้วยว่ามีผู้ใดบ้าง” กล่าวพร้อมทหารที่มาด้วยกันกำลังใช้พู่กันเตรียมจดบันทึกลงในสมุดพร้อมเสียงของอี๋นั่วเอ่ยขึ้น
“ข้ามีนามว่าเหออี๋นั่ว เป็นสาวใช้ประจำตัวของคุณหนูเฉียน” บ่าวรับใช้คนซื่อเอ่ยเป็นคนแรกพร้อมโคมไฟที่อยู่ในมือของทหารตรวจค้นยกขึ้นเพื่อสำรวจหน้าตาอย่างละเอียด
ทหารตรวจค้นลดโคมไฟลงพร้อมมองตรงไปยังร่างสตรีสองนางสวมอาภรณ์สูงค่าบริเวณใบหน้า สตรีอาภรณ์เหลืองใช้พัด ปักลายดอกโบตั๋นกำลังยกขึ้นปิดหน้าของนาง ในขณะที่สตรีอีกหนึ่งนางสวมอาภรณ์ม่วงใบหน้าปกปิดด้วยผ้าขาวเบาบางค่อนข้างทึบปักลวดลายหงส์กางปีกผงาดคล้ายกำลังจะบินกลับสวรรค์ พร้อมเสียงของจินเอ๋อเอ่ยขึ้น
“คงไม่ต้องบอกนะว่าข้าเป็นผู้ใด” คุณหนูตระกูลเฉียนถามสวนกลับไป
“แล้วคุณหนูจากตระกูลเฉียนท่านใดขอรับ” ทหารที่กำลังจดบันทึกถามกลับไปทันที
และนั่นทำให้จินเอ๋อหันกลับไปมองหน้ามี่อิงอยู่ชั่วขณะก่อนจะชี้มือไปทางร่างของเพื่อนใหม่
“นี่คือคุณหนูตระกูลเฉียน” จินเอ๋อบอกพลางมองหน้าสหายใหม่ของนาง ซึ่งกำลังนั่งตัวตรงวางท่าดั่งนางพญายิ่งกว่าคุณหนูตัวจริงเสียอีก ใบหน้าแสนสวยเชิดขึ้นสูงภายใต้ผ้าขาวบางเบาที่ซ่อนเร้นใบหน้าของเธอเอาไว้
“ส่วนข้าคือญาติผู้พี่นามว่า ฮัวฟูหรง” คุณหนูตระกูลเฉียนแอบอ้างชื่อญาติผู้พี่ของนางที่อยู่ต่างเมืองขึ้นมาทันที
โคมไฟที่อยู่ในมือยกขึ้นเพื่อสำรวจตรวจตราให้แน่ใจ แสงไฟจากโคมสาดปะทะเข้ากับใบหน้าของคุณหนูตระกูลเฉียนที่กำลังถือพัดปิดบังใบหน้าอยู่และใบหน้าที่ปิดบังด้วยผ้าขาวผืนบางเบา ครั้นจะให้เปิดหน้าเพื่อค้นหาให้ถึงที่สุดก็ช่างกระไรอยู่จึงลดโคมไฟลงเลิกราไปทันที
“ข้าน้อยขอขอบคุณที่ให้ความร่วมมือขอรับ” เสียงทหารทั้งสองนายกล่าว ออกมาพร้อมกันพร้อมยกมือประสานคำนับเป็นการขอบคุณ พลางยกมือส่งสัญญาณจากท้ายขบวนให้ปล่อยผ่านไป
“ผ่าน!!!” เสียงทหารดังกึกก้องขึ้นมาโดยพลัน
เฮ้อ!!! เสียงถอนหายใจด้วยความโล่งอกของสตรีทั้งสามนางดังขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง
“ข้าไม่เคยทำสิ่งใดที่ล่อแหลมเช่นนี้มาก่อนเลย เมื่อครู่ลมหายใจแทบขาดห้วงเสียให้ได้จริงเชียว” คุณหนูตระกูลเฉียนเอ่ยออกมาทันใดพลางมองหน้าเพื่อนใหม่ของนาง
“ขบวนรถม้ากำลังจะออกจากประตูเมืองแล้ว เจ้าคิดได้หรือยังว่าจะลงตรงไหนเหรออิงอิง” จินเอ๋อถามกลับไปด้วยความอยากรู้
และนั่นทำให้มี่อิงดวงตาเบิกกว้างขึ้นมาทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้น เพราะจุดที่เธอจะต้องลงนั่นก็คือบริเวณทางเข้าออกของประตูเมืองแต่เป็นทางด้านนอกนั่นเอง
“แย่แล้ว! ฉันต้องลงต้องหน้าประตูเมืองแต่เป็นด้านนอกก่อนจะเข้าประตูโค้งนะสิ”
“ว่าอย่างไรนะ! ลงตรงประตูโค้ง!” คุณหนูตระกูลเฉียนกล่าวออกมาทันที
“หากคุณหนูจ้าวลงตรงนั้นที่อุตส่าห์ลงแรงไปก็เท่ากับสูญเปล่าทั้งหมดนะสิ แม่ทัพจางต้องพบคุณหนูแน่นอนเลยเจ้าค่ะ...ว่าแต่คนของสกุลจ้าวจากเมืองลั่วหยางมารอรับตรงจุดนั้นหรือยังเจ้าคะ” อี๋นั่วถามมี่อิงซึ่งเป็นคุณหนูคนงามจากสกุลจ้าวกลับไป
เออ!!! มี่อิงส่งเสียงอยู่ในลำคอด้วยเพราะเธอไม่ได้คิดถึงข้อนี้เช่นกัน
“จริงสิ! ถึงแม้ว่าเราจะลงจากรถม้าและยืนอยู่ตรงบริเวณเดิมแต่จะกลับบ้านไปได้เลยหรือเปล่านี้คือปัญหา” มี่อิงครุ่นคิดอยู่ภายในใจ มือเรียวยกขึ้นเท้าปลายคางเพื่อใช้ความคิดอย่างหนัก
ในขณะที่สตรีทั้งสามนางต่างกำลังครุ่นคิดหาวิธีต่างๆ อยู่ภายในรถม้า บนกำแพงเมืองร่างสูงของแม่ทัพหนุ่มรูปงามจางเย่วฉิน กำลังยืนกอดอกมองตรงไปยังเบื้องหน้าตรงสุดขอบฟ้าแผ่นดิน ฟ้าที่เคยมืดมิดแลดูสว่างขึ้น ท้องฟ้ากำลังจะแปรเปลี่ยน ดวงตะวันกำลังจะเผยแสงสีทองรำไรอีกเพียงไม่นาน บ่งบอกเวลาแห่งรัตติกาลกำลังจะสิ้นสุดลงเช้าวันใหม่กำลังเข้ามาเยือนแล้ว
“ท่านแม่ทัพขอรับ!” เสียงของทหารตรวจคนเข้าเมืองดังอยู่ทางด้านหลัง
“มีอะไรว่ามา!” เสียงกร้าวเอ่ยขึ้นทันใด
“ตอนนี้กำลังทหารตรวจค้นมาตลอดทั้งคืน ทุกถนนและร้านค้าบ้านเรือนล้วนตลอดจนผู้คนที่สัญจรไปมาและเข้าออกประตูเมืองไม่ปรากฏคนร้ายซึ่งเป็นสตรีสวมอาภรณ์ขาวแม้แต่น้อยเลยขอรับ” ทหารตรวจคนเข้าเมืองรายงานสถานการณ์อย่างละเอียด
คิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากันทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้น
“นางจะหายไปได้อย่างไร! ค้นหาจนทั่วทั้งเมืองตลอดทั้งคืนก็ยังไม่ปรากฏวี่แวว” แม่ทัพหนุ่มพึมพำพลางครุ่นคิดตาม
ภาพของสตรีสาวร่างระหงสวมอาภรณ์ขาวสูงค่าพยายามวิ่งกลับไปทางประตูเมือง ราวกับว่านางต้องการจะออกไปจากเมืองฉางอานให้ได้ผุดขึ้นในความทรงจำอีกครา
“นางต้องการออกจากฉางอานและจะต้องหาลู่ทางออกจากเมืองให้ได้อย่างแน่นอน ทว่าในเวลานี้ข้าใช้อำนาจเกินขอบเขตไปเสียแล้วเห็นทีต้องยั้งไว้ หาไม่แล้วจะกลายเป็นเรื่องใหญ่บานปลายใหญ่โตไปกว่านี้” แม่ทัพหนุ่มครุ่นคิดอยู่ภายใจพร้อมเอ่ยขึ้นโดยพลัน
“ถ่ายทอดคำสั่งของข้าลงไป หลังจากพระอาทิตย์ขึ้นแล้วให้หยุดการค้นหา ถอยกำลังทหารออกจากหน้าประตูเมืองเพื่อมิให้ผู้คนแตกตื่นไปมากกว่านี้”
“ขอรับท่านแม่ทัพ” ทหารตรวจคนเข้าเมืองขานรับคำสั่งอย่างแข็งขัน พร้อมยื่นสมุดบันทึกการตรวจค้นให้กับแม่ทัพรูปงามรายงานสถานการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นไปอย่างละเอียด
“บันทึกรายงานการตรวจค้นขบวนรถม้าทั้งหมดที่เดินทางออกจากเมืองหลวง ตามเวลาอนุญาตนับตั้งแต่ยามอิ๋นเป็นต้นไปขอรับ ส่วนใหญ่จะเป็นชาวเมืองที่มาชมงานชีซีเดินทางกลับบ้านหลังจากงานสิ้นสุด หนึ่งในนั้นมีขบวนรถของตระกูลเฉียน ของเจ้ากรมคลังเท่านั้นที่กำลังเคลื่อนขบวนออกจากประตูเมืองขอรับ”
ใบหน้าหล่อเหลาพยักหน้าขึ้นลงติดต่อกันครั้นได้ยินเช่นนั้น
“เป็นประจำทุกปีที่ใต้เท้าเฉียนจะพาครอบครัวเดินทางไปไหว้บรรพบุรุษหลังจากเสร็จสิ้นงานชีซี พวกเจ้าก็ให้ความสะดวกก็แล้วกัน จำนวนคนระบุมาถูกต้องตรงกับจำนวนที่แจ้งเอาไว้เหมือนทุกปีนั่นแหละ” แม่ทัพหนุ่มยังคงพูดโดยไม่หันกลับมาตรวจสมุดบันทึกแต่อย่างใด
“แต่ปีนี้รู้สึกว่าจำนวนคนจะเกินมาหนึ่งคนนะขอรับ จากจำนวน 15 คนที่เคยแจ้งเอาไว้ทุกปีวันนี้กลับจดบันทึกได้ทั้งหมด 16 คนเป็นรายชื่อที่มิได้ถูกระบุและแจ้งเอาไว้ว่าจะเดินทางออกจากเมือง” เสียงของทหารคนดังกล่าวรายงานกลับไป
ร่างสูงใหญ่ของจางเย่วฉินหันกลับมาทันใดครั้นได้ยินเช่นนั้น
“คนเกินมาอย่างนั้นเหรอ!” เสียงกร้าวถามย้ำกลับไปเพื่อให้แน่ใจ
“ขอรับท่านแม่ทัพเกินมาหนึ่งคนไม่มีในรายชื่อที่แจ้งเอาไว้ด้วย” เสียงรายงานตอบกลับไปอย่างมั่นใจ
“หญิงหรือชายจำนวนที่เกินมา!” แม่ทัพหนุ่มถามสวนกลับไปทันที
“เป็นหญิงขอรับมีนามว่า ฮัวฟูหรง แจ้งมาว่านางคือญาติผู้พี่ของคุณหนูตระกูลเฉียน”
ครั้นแม่ทัพรูปงามได้ยินเช่นนั้น ดวงเนตรสีนิลกาฬลุกวาววับขึ้นมาทันที
“หากเป็นฮัวฟูหรง ซึ่งเป็นเครือญาติของตระกูลเฉียนข้าย่อมรู้จักนางเป็นอย่างดีเพราะว่านางคือพระชายารองของไต้อ๋อง เป็นไปไม่ได้ที่จะร่วมเดินทางไปกับขบวนรถของใต้เท้าฉินกวาง เช่นนั้นก็แสดงว่า...” เสียงกร้าวหยุดลงทันใด
“ขบวนรถม้าอยู่ที่ไหน!” แม่ทัพรูปงามถามเสียงดังก้อง
“เพิ่งปล่อยให้เคลื่อนขบวนไปเมื่อครู่นี่เองขอรับท่านแม่ทัพ ดูท่าคงจะเพิ่งผ่านพ้นประตูโค้ง”
ครั้นแม่ทัพจางเย่วฉินได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าหล่อเหลาหันกลับไปยังกำแพงเมืองอย่างรวดเร็วพลางก้มลงมองขบวนรถม้าที่เพิ่งเคลื่อนผ่านพ้นประตูโค้งออกมาเป็นทิวแถวยาวเหยียด
“จดบันทึกชื่อนี้มาจากขบวนรถม้าคันไหน!” แม่ทัพจางถามเสียงกร้าว ดวงตาดุดันจ้องเขม็งรถม้าที่กำลังเคลื่อนผ่านออกจากประตูโค้งของเมืองฉางอานจนครบทุกขบวน
“รถม้าคันสุดท้ายขอรับ ภายในนั้นมีสตรีอยู่ทั้งหมดสามคน”
“คันสุดท้ายอย่างนั้นรึ!” เสียงกร้าวเอ่ยออกมาโดยพลัน
สิ้นเสียงเอื้อนเอ่ยร่างสูงใหญ่ของแม่ทัพชื่อก้อง กระโดดลอยละลิ่วลงจากกำแพงเมืองตรงจุดที่ยืนอยู่อย่างรวดเร็วซึ่งมีความสูงกว่า 15 เมตร ท่ามกลางสายตาของเหล่าทหารมากมาย ในขณะที่ดวงตาสีนิลคมกล้าจับจ้องอยู่บนหลังคารถม้าขบวนสุดท้ายที่กำลังเคลื่อนตัวอยู่ในขณะนั้น
“ที่แท้ก็แฝงตัวอยู่ในนี้นี่เอง” แม่ทัพรูปงามเอ่ยเสียงดุดันก่อนจะหมุนร่างของตนดั่งลูกข่างเป้าหมายคือบนหลังคาของรถม้าคันสุดท้ายดังกล่าว
ตุบ!!! ร่างใหญ่ใช้วิชาตัวเบากระโดดจากกำแพงเมืองลงมานั่งอยู่บนหลังคาของรถม้า ท่ามกลางความตกใจของสตรีสาวทั้งสามนางครั้นได้ยินเสียงคล้ายของหนักตกอยู่บนหลังคา
“ท่านแม่ทัพ!!!” เสียงของเหล่าทหารร้องเรียกดังเอ็ดอึงขึ้นมาทันที
ในขณะที่ภายในรถม้าสตรีทั้งสามนางต่างแหงนหน้าขึ้นมองบนหลังคา ครั้นได้ยินเสียงตกกระทบอย่างแรงและเสียงของทหารส่งเสียงเรียกดังเอ็ดอึงอยู่ด้านนอกเช่นนั้น
“อย่าบอกนะว่าแม่ทัพจางรู้แล้วว่าเจ้าอยู่ในรถม้าของข้าอิงอิง” คุณหนูตระกูลเฉียนเอ่ยออกมาทันใด
“ห๊ะ! เขารู้ได้อย่างไง” มี่อิงพูดพลางแหงนหน้ามองหลังคารถม้าดังกล่าว
“คิดหรือว่าจะหนีข้าพ้น!” เสียงดุดันของแม่ทัพหนุ่มชื่อก้องดังกระหึ่ม
“แย่แล้ว!คราวนี้ต้องถูกจับแน่ๆ” มี่อิงเอ่ยพึมพำดวงตาคู่สวยปิดลงด้วยเพราะหมดหนทางที่จะดิ้นรนหนีอีกต่อไป