Chapter 4 หงส์ปีกหัก
ด้านหลังพนักพิงที่หญิงสาวนั่งอยู่มีผู้ชายผิวขาวสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีน้ำเงินเข้ม พับแขนขึ้นมาถึงข้อศอกอย่างลวกๆ จมูกโด่งเป็นสันและเสี้ยวหน้าคมเข้มหล่อเหลาเป็นที่สะดุดตาเพศตรงข้าม เพราะทวิชเป็นดอกเตอร์หนุ่มลูกเสี้ยวมาดเซอร์ เจ้าของร่างสูงตามแบบมาตรฐานชายยุโรปเพราะว่าเขามีเชื้อสายอิตาลีเสี้ยวหนึ่ง
ในมือของเขามีปากกาและสมุดจดบันทึก อีกทั้งสายตาคู่คมของเขายังจับจ้องอยู่บนกระดาษสีขาวไม่วางตาเหมือนจะไม่สนใจสิ่งแวดล้อมภายนอก แต่กลับตั้งใจฟังเสียงสนทนาของบุคคลด้านหลังอย่างเสียไม่ได้
เมื่อเสียงสนทนาจบลง เขาก็ปิดสมุดบันทึกละสายตาจากหน้ากระดาษ วางปากกาลงบนปก เอนแผ่นหลังพิงพนัก ใช้มือข้างหนึ่งนวดเปลือกตาก่อนจะปิดลงอย่างเหนื่อยอ่อน
เขานึกสมเพชเจ้าของเสียงเมื่อครู่อยู่ในใจ แค่ ‘แฟน’ เธอคนนี้ยังหาไม่ได้ คงขี้เหร่ นิสัยแย่ ปากร้ายเข้าขั้น ผู้หญิงสมัยนี้ก็แรงไม่เบา ฟังจากสิ่งที่เพื่อนของเธอแนะนำเขาก็ต้องส่ายหน้า หรือว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนไป และเขาเก็บตัวอยู่กับคอมพิวเตอร์มากไปจนตามกระแสโลกไม่ทัน
ชายหนุ่มคิด ใจจริงเขาอยากหันไปมองให้เห็นด้วยตาสักครั้ง ผู้หญิงคนนี้จะหน้าตาน่าเกลียดสักแค่ไหน หรือไม่อย่างนั้น นิสัยก็อาจจะแย่มาก
“ทำไมต้องทำตัวเป็นผู้หญิงไร้ค่าแบบนั้นนะ สมัยนี้การวิ่งตามไล่จับผู้ชายคงคิดว่าเป็นเรื่องโก้หรูดูดี” ชายหนุ่มบ่นกับตัวเอง เพราะคิดว่าหญิงสาวที่คุยอยู่กับเพื่อนเมื่อสักครู่คงเดินออกไปแล้ว หลังจากที่เสียงเงียบไปนาน
ทวิชปิดเปลือกตา ใช้มือสอดประสานใต้ต้นคอพร้อมกับหมุนตัวบิดไปซ้ายทีขวาที เพื่อลดอาการเมื่อยขบ หลังจากนั้นเขาก็ทิ้งตัวที่พนักพิงโซฟาเหมือนเดิม หากแต่คราวนี้ศีรษะของเขาก็ชนเข้ากับไหล่ของคนร่างบางอย่าง
จัง
ไม่สิ! ต้องเรียกว่ากระแทกอย่างแรงมากกว่าถึงจะถูก
“นี่คุณ! เห็นมั้ยเนี่ย! ว่ามีคนนั่งอยู่ตรงนี้ หัดมีมารยาทบ้างสิ”
คนโดนชนตวาดแว้ดขึ้นทันที เธอกำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่แท้ๆ จากความหงุดหงิดที่มีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็พุ่งปรี๊ดเป็นความโกรธ
“ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ ไม่รู้ว่าคุณนั่งอยู่ตรงนี้จริงๆ”
ชายหนุ่มรีบโค้งศีรษะขอโทษ ไม่ทันได้มองหน้าเจ้าของเสียงแหลมปรี๊ด เขาไม่ได้เจตนาชนจริงตามที่บอกนั่นแหละ แต่หญิงสาวนี่สิ! อารมณ์โมโหพุ่งสูงไปไกลลิบสุดที่จะห้ามแล้ว
“นี่นาย! นายอีกแล้วเหรอ นายจะกวนประสาทฉันไปถึงไหน นายนี่มันไร้มารยาทที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาเลย” ป่านฝันยกนิ้วขึ้นชี้คู่กรณี เธอว่าต่อว่าเขาโดยไม่เปิดช่องให้ชายหนุ่มได้พูด
“อ๋อ! นายจะบอกว่าฉันมานั่งเกะกะตรงนี้เองใช่มั้ย หรือว่าจะต้องให้บอกก่อน เวลาที่ฉันจะมานั่ง ฉันต้องพูดว่า ดิฉันนั่งตรงนี่นะคะ หรือเปล่า! ไหนนายพูดมาสิ!” หญิงสาวขาวีนขี้โมโหคิดเองตอบเองเสร็จสรรพ แถมยังเน้นเสียงที่ท้ายประโยคอย่างไม่พอใจ
ชายหนุ่มได้แต่มองนิ่ง ปล่อยให้เธอต่อว่าให้พอใจ พอเธอหยุดเขาก็อ้าปากเตรียมจะอธิบาย แต่ก็พูดได้เพียงแค่ “เปล่า... คือ...” หลังจากนั้นเขาก็เหวอไปอีกครั้ง เมื่อผู้หญิงอารมณ์ร้อนพูดแทรกขึ้นมาอีก เมื่อครู่เธอคงเว้นช่วงหายใจให้ตัวเองเท่านั้น
“ซวยจริง! วันนี้เป็นวันอะไรของฉันเนี่ย!”
ป่านฝันทิ้งประโยคสุดท้าย ก่อนจะกระชากกระเป๋าถือแล้วลุกขึ้น กระแทกส้นเท้าเดินออกไปทันที ไปโดยไม่ได้หันมองหน้าชายหนุ่มที่ยังอ้าปากค้างอยู่เหมือนเดิม
ทวิชยกมือเกาศีรษะตัวเอง มองตามอย่างงุนงง “อะไรกันนักหนาวะ คนสมัยนี้ ชนก็จริง แต่ขอโทษก็ขอโทษไปแล้ว จะเอาอะไรอีกวะ”
ตอนนี้เขาหาคำตอบให้กับเรื่องราวทั้งหมดที่ได้ยินแล้ว อย่างนี้สินะ ถึงได้หาแฟนกับเขาไม่ได้สักที
“ผู้หญิงบ้าอะไร ปากจัดชะมัด ถึงว่าละ! ไม่แปลกใจเลยที่หาสามี
ไม่ได้ ปากอย่างนี้ อย่าว่าแต่สามีเลย แค่แฟนไม่รู้จะหาได้หรือเปล่าเหอะ” ชายหนุ่มมองร่างแบบบางเดินลับตาไป แล้วหันกลับมาสนใจงานที่เขาทำค้างไว้ตรงหน้าต่อ
ป่านฝันเดินกระแทกกระทั้นหน้าหงิกบ่นอุบมาตลอดทาง จนก้าวพ้นขอบประตูเข้ามาในงานอีกครั้งก็เห็นเพื่อนหลายคนเริ่มมีอาการมึนเมา และโยกย้ายส่ายสะโพกกลางฟลอร์อย่างสนุกสนาน
“เฮ้! ป่าน!! ทางนี้ ฉันกำลังจะออกไปตามอยู่เลย” พราวลดาที่ยืนอยู่กลางฟลอร์ ยกมือเรียกเพื่อนสาวที่เพิ่งเดินเข้ามา
“สนุกใหญ่เลยนะเพื่อนเรา พอไม่มีท่านรองมาคุมนะ” ป่านฝันแซ็วเพื่อนสาว แฟนของพราวลดาเป็นเจ้านายและรองประธานบริษัทที่พราวลดาทำงานอยู่ แถมยังมีวีรกรรมขี้หวงยิ่งกว่าพ่อที่หวงลูกสาวเสียอีก
“อูย... วันนี้อย่าพูดถึงท่านเลย เธอไม่รู้หรือว่า... พูดถึงผี ผีก็จะมานะ” พราวลดารับมุกต่อเพื่อนสาวอย่างสนุกสนาน ไม่บ่อยนักที่ทวัชแฟนหนุ่ม ที่พ่วงตำแหน่งเจ้านายจะยอมให้เธอออกมาคนเดียว นี่ถ้าเขาไม่ติดงานสำคัญที่ต่างประเทศ เขาคงต้องตามมาด้วยอย่างทุกครั้ง ก่อนหน้าที่เธอจะมีแฟน พ่อของเธอก็ไม่เคยปล่อยให้ไปไหนเหมือนกัน แต่ทวัชใช้ความดีจนเอาชนะใจว่าที่พ่อตาแสนโหดได้ในที่สุด และกลับกลายเป็นว่า ทวัชหวงเธอเสียยิ่งกว่าพ่อ
“เราไปสนุกกันเถอะป่าน วันนี้เรามาปาร์ตี้นะ จัดให้เต็มที่ เอาเลย สุดเหวี่ยง!” เพื่อนสาวบอกก่อนที่จะลากป่านฝันไปที่กลางฟลอร์ และยักย้ายไปตามเสียงเพลง
“ป่าน ดื่มหน่อย เห็นเพื่อนรักยังไม่ได้ดื่มอะไร ไปไหนมาละจ๊ะเพื่อน หากันทั่วงานก็ไม่เจอ หรือว่าหลบไปแอบทำใจ” ดารกาเยาะเพื่อนสาวพลางยื่นแก้วเครื่องดื่มสีสดใสให้
‘เพื่อนรัก’ ที่ทุกคนต่างลงความเห็นว่าทั้งคู่น่าจะเป็นคู่กัดกันเสียมากกว่า
“ขอบใจมากดาว เธอไม่ต้องห่วงหรอก คนอย่างป่านฝันไม่เซนซิทีฟถึงกับไปนั่งร้องไห้ด้วยเรื่องแบบนี้หรอก”
ป่านฝันจำต้องรับแก้วจากเพื่อนสาวและดื่มรวดเดียวหมดแก้วไปเลย ทั้งที่ปกติเจ้าแม่บิวตี้อย่างเธอไม่ชอบดื่มมากนัก เพราะเธอค่อนข้างจะดูแลสุขภาพตัวเองมากพอสมควร แต่วันนี้มันแตกต่าง เธออยากเมา อย่างน้อยให้ลืมเรื่องเครียดของวันนี้ลงไปสักเรื่องก็ยังดี
แต่หลังจากที่มีแก้วแรก ก็มีแก้วที่สองตามมา เพื่อนเธอหลายคนต่างเวียนแวะมายกแก้วชนกับเธอ ต่างคะยั้นคะยอให้เธอดื่ม จนคนที่ไม่ค่อยได้ดื่มเริ่มมึนถึงขั้นเรียกว่าเมาก็ได้
“พวกเรามาดื่มให้ป่านหน่อยเร็ว! ราตรีนี้เป็นของเธอ สำหรับผู้หญิงร้างคู่หนึ่งเดียวในห้อง เชียร์ส!!!” ดารกาบอกพร้อทกับยกแก้วชูให้เพื่อน
“เชียร์ส!!!” ทุกคนยกแก้วขึ้นชนพร้อมกัน
“ทุกคนสนุกให้เต็มที่ เรามาแดนซ์กัน” ดารการ้องบอกเพื่อน ตอนนี้ดูเหมือนว่าเจ้าของเสียงใสก็เริ่มเมามากจนคุมตัวเองแทบไม่ไหว
“งานแต่ง! งานหน้าของรุ่นเราเป็นงานของใครดีน้า ใกล้จะครบทุกคนแล้วนี่นา” เพื่อนในกลุ่มเปิดประเด็นขึ้นอีกครั้ง
“ฉันว่างานหน้าต้องเป็นงานของพราวแน่นอน เห็นควงกันมาหลายปีแล้ว เอ! หรือจะเป็นดาวนะ ช่วงนี้ก็เห็นหวานกันถี่เหลือเกิน” เพื่อนสาวในกลุ่มร้องตะโกนแข่งเสียงดนตรีอย่างสนุกสนาน
“แล้วป่านฝันดาวมหาวิทยาลัยของเราละพวกเธอ บอกปาวๆ ว่ามีแฟนแต่ไม่เคยมีใครเห็นตัวสักที หรือว่าเป็นแค่ฉากที่สร้างขึ้นมาบังหน้าเท่านั้นน้า... เรื่องจริงคือคานทองแน่ๆ ใช่มั้ยพวกเธอ” เพื่อนอีกคนร้องถาม แหย่อย่างสนุกสนานด้วยฤทธิ์น้ำเมา
“อ้าย!” “กรี๊ด!” “โดนใจ” “ใช่เลยเธอ”
ทุกคนดูมีความสุขครื้นเครงในความปวดปร่าของป่านฝัน