ชีวิตของกู้หลินในหน่วยฝึกองครักษ์ผ่านไปหลายเดือน เวลานี้เริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว หิมะแรกตกโปรยปรายกองบนพื้นดินจนขาวโพลน พลันลมเย็นพัดผ่านจนหนาวสะท้าน
ฮัดชิ้ว!
กู้หลินจามไปหนึ่งทีคล้ายกับจะเป็นหวัดจนโจวหยางอิงหันขวับมามองด้วยสีหน้าหงุดหงิด แม้จะโน้มน้าวใจอีกฝ่ายมานานหลายเดือนแต่ความตั้งใจของกู้หลินยังคงแน่วแน่ไม่เปลี่ยน
วันนี้ก็เช่นเดียวกัน กู้หลินทำงานเล็กน้อยที่ได้รับมอบหมายผิดพลาดจนถูกลงโทษให้มานั่งคุกเข่าสำนึกผิดอยู่ด้านหน้าหน่วยราชองครักษ์
“ข้าโดนลงโทษแล้วเจ้ามานั่งคุกเข่าอยู่ข้างข้าทำไม” กู้หลินหันไปถามโจวหยางอิง
“จะปล่อยเจ้าไว้คนเดียวได้ที่ไหนกัน อยู่ที่ไหนก็ไม่สนุกเท่าอยู่กับเจ้า ข้ายังเคยแกล้งเจ้าเพื่อให้เจ้าถูกลงโทษพร้อมข้าเลย” โจวหยางอิงนึกถึงวันเก่า ๆ แล้วยิ้มออกมา
ขณะที่กำลังพูดคุยกันเหมือนไม่สลด เฉินป๋อกับชุนหมิงก็โผล่หน้ามาดูทั้งสองคนตามที่หัวหน้าสั่งแล้วพูดว่า “เจ้าตัวเล็กนี่นะ พวกข้าบอกแล้วว่าให้ระวังตัวเวลาที่หัวหน้าอยู่กับฝ่าบาท เจ้าไปยืนมองไม่วางตาแบบนั้น ใครต่อใครเขาก็คิดว่าเจ้าจะทำอะไรไม่ดีน่ะสิ”
“จะเดือดร้อนอะไรนักหนา แค่มองน่ะ มอง! ไม่ได้จะทำสิ่งใดเสียหน่อย” โจวหยางอิงพูดออกมา ไม่พอใจตงฟางฮุ่ยหลิงที่สั่งลงโทษเพราะเรื่องแค่นั้น
“พูดไปเหมือนทะลุหูขวา หัวหน้าสั่งให้เจ้าไปเข้าเวรยามไม่ใช่หรือ มานั่งทำอะไรตรงนี้” ชุนหมิงถามโจวหยางอิงด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ
“ข้าไม่ไป ข้าเลยโดนทำโทษให้มานั่งอยู่ข้างเขาอย่างไรเล่า” เขาตอบด้วยสีหน้าไม่สลด ลงโทษตัวเองที่ขัดคำสั่งเรียบร้อยแล้วหันไปยิ้มให้กู้หลินเหมือนอย่างเคย
“ไม่น่าเชื่อว่าปีนี้หน่วยเราจะมีคนบ้ารักสองคน ถ้าเจ้ายังไม่ไปตอนนี้ ข้าว่าหัวหน้าต้องลงโทษให้เจ้านั่งต่ออีกทั้งคืนแน่ ๆ” เฉินป๋อลูบคางพลันหันไปอีกทางเมื่อได้ยินเสียงคุ้นเคย
“เช่นนั้นก็นั่งคุกเข่าจนยามเหม่า” ตงฟางฮุ่ยหลิงสั่ง สีหน้าของเขาเรียบเฉย สายตามองมาที่กู้หลินแล้วถามว่า “รู้ตัวหรือไม่ว่าทำสิ่งใดผิดไป”
“ไม่รู้ ข้าแค่มองเจ้า ข้าผิดสิ่งใด” กู้หลินเองก็ไม่ยอมรับ ก่อนหน้านี้อธิบายกับตงฟางฮุ่ยหลิงแล้วว่าเรื่องจริงคือสิ่งใด แต่เขาไม่รับฟัง คิดแต่ว่าเป็นข้อแก้ตัวเท่านั้น
“เช่นนั้นก็นั่งอยู่ที่นี่จนยามเหม่า ส่วนพวกเจ้าไปเฝ้ายามแทน” เขาสั่งเฉินป๋อกับชุนหมิงจบเท่านี้ก็เดินผ่านไปโดยไม่เหลียวมองอีกครั้ง
“อ้าว! หัวหน้า ทำไมเป็นเช่นนี้เล่า พวกข้าทำผิดอะไร” เฉินป๋อรีบวิ่งตามเพราะเพิ่งจะเสร็จภารกิจลับแปดวันมาหมาด ๆ ในขณะที่ชุนหมิงส่ายหน้ายอมรับชะตากรรม “นึกแล้วเชียวถึงว่าตาขวากระตุกแต่เช้า”
คล้อยหลังพวกเขา” โจวหยางอิงผู้เป็นอริกับหัวหน้าหน่วยถามสหายสนิท “ให้ข้าเอาไม้ไปทุบสักทีดีหรือไม่ เสี่ยวหลิน”
“ไม่ได้นะ ถ้าเจ้าทำอะไรเขา ข้าจะโกรธเจ้า” กู้หลินส่ายหน้า ย้ำชัดว่าห้ามแตะต้องตงฟางฮุ่ยหลิงเป็นอันขาด
“แต่เขาชอบลงโทษเจ้า ข้าไม่ชอบ” โจวหยางอิงทำหน้ามุ่ย ในใจคิดว่าคนแบบนั้นมีดีตรงไหนให้กู้หลินปักใจถึงเพียงนั้น
เดิมที ไม่ว่าใครหน้าไหนจะเข้ามาใกล้ กู้หลินก็ไม่เคยเปิดโอกาสให้ผู้ใด ยกเว้นตงฟางฮุ่ยหลิงที่จนป่านนี้แล้ว เขาก็ยังมองไม่เห็นว่ามีอะไรดี
“ปกติแล้วฮุ่ยหลิงไม่เป็นเช่นนี้หรอก เขาแค่จำข้าไม่ได้” เจ้าตัวเอ่ยพึมพำ ถึงแม้ช่วงนี้จะได้ชิดใกล้เข้ามาบ้างแต่ความสัมพันธ์กลับไม่คืบหน้าเป็นได้แค่เพียงหัวหน้าและลูกน้องที่อยู่นอกสายตาเท่านั้น
“ผ่านไปนานขนาดนี้ จำไม่ได้ก็ไม่ต้องจำแล้ว” โจวหยางอิงรู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งเมื่อต้องพูดเรื่องนี้ “เอาไม้ทุบหัวสักทีอาจจะจำได้ ข้าทำให้ดีหรือไม่... โอ๊ย! เจ้ามาดึงหูข้าทำไม”
“ข้าเพิ่งจะบอกไปอยู่หยก ๆ ว่าห้ามทำอะไรเขา... ทำหน้าเช่นนี้จะเอาคืนที่ข้าดึงหูเจ้าหรือ” กู้หลินจึงยื่นหูข้างซ้ายไปทางโจวหยางอิง ยักคิ้วท้าทายแล้วบอกว่า “เอาสิ ๆ”
“จูบแทนได้หรือไม่... โอ๊ย! เจ้าดึงหูข้าอีกแล้ว” โจวหยางอิงลูบหูตัวเองที่แดงแปร๊ด “นี่ข้ายอมเพราะเป็นเจ้าหรอกนะ ถ้าเป็นคนอื่นมาทำแบบนี้กับข้า ข้าจะตัดมือทิ้งไปเสีย”
“เจ้ากล้าตัดมือข้าก็ลองดู ข้าเกลียดคนใจร้าย” กู้หลินพูดเล่นไปอย่างนั้นเพราะรู้ดีว่าโจวหยางอิงไม่มีทางทำอะไรเช่นนั้นกับเขาแน่นอน อีกทั้งยังนึกไม่ถึงว่าคำพูดนั้นจะทำให้สีหน้าคนข้าง ๆ สลดในพริบตาจึงต้องรีบพูดแก้ตัวใหม่ “ข้าบอกว่าเกลียดคนใจร้าย ไม่ได้เกลียดเจ้าเสียหน่อย”
อีกฝ่ายไม่รู้เช่นกันว่าทำไมได้ยินคำพูดพวกนั้นแล้วเหมือนมีอะไรบางอย่างเสียดแทงที่หัวใจ จู่ ๆ ก็รู้สึกเศร้านึกหาสาเหตุไม่เจอ ไม่ว่าใครจะเกลียดเขา โจวหยางอิงก็ไม่เคยจะสนใจ แต่หากเป็นกู้หลินผู้นี้แล้วกลับทนไม่ได้แม้แต่น้อย
เมื่อเห็นว่าคนข้างกายนิ่งเงียบไปราวกับตกอยู่ในภวังค์ กู้หลินกลายเป็นรู้สึกผิดเรียกเขาเบา ๆ “โจวหยางอิง ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ข้าไม่ได้เกลียดเจ้าจริง ๆ นะ เจ้าไม่ได้ใจร้ายกับข้าเสียหน่อย”
“...” ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ เสียงของกู้หลินถึงส่งผ่านไปไม่ถึง
กู้หลินรู้สึกได้ว่าทำเรื่องผิดมหันต์เข้าเสียแล้ว จึงยื่นมือมาโอบใบหน้าของโจวหยางอิงเอาไว้ แล้วพูดชัด ๆ ว่า “หยางอิง ข้าขอโทษ อย่าเศร้าไปเลยนะ ข้ารู้สึกผิดจะแย่แล้ว”
ครั้นได้ยินเสียงเรียกว่าหยางอิงแล้วเหมือนได้สติ ความสดใสก็กลับมาดังเดิม โจวหยางอิงจับมือของกู้หลินที่โอบใบหน้าของตัวเองเอาไว้ “เจ้าจะทำอะไรข้าก็ได้ ข้ายอมให้เจ้าเพียงผู้เดียว แต่อย่าเกลียดข้าเลยนะ”
“ข้าสัญญา” กู้หลินรับปากแล้วยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน
ตึกตัก ตึกตัก หัวใจของโจวหยางอิงแทบจะกระโดดออกมาเต้นข้างนอก ในใจร่ำร้อง ยิ้มสวยชะมัด สหายอะไรกัน ข้าไม่อยากเป็นแล้ว อยากเป็นอย่างอื่น ให้ตายสิ โอ๊ย! หัวใจของข้า
หลายวันต่อมา
กู้หลินได้หยุดหนึ่งวันจึงถือโอกาสไปเดินเล่นที่ตลาดเพียงลำพัง สายตามองหาของกินตามประสาเพื่อซื้อไปฝากคนในหน่วยราชองครักษ์
ข้าอยากไปกับเจ้า เสียงของโจวหยางอิงยังคงดังก้องในหู ถ้าไม่ติดว่าเขาหนีเวรยามมาครึ่งเดือนเพราะเอาแต่ตัวติดกู้หลินจนโดนลงโทษติดทัณฑ์บนแล้ว ครั้งนี้โจวหยางอิงคงจะหนีมาด้วยเป็นแน่
สงสัยต้องซื้ออะไรไปฝาก หยางอิงจะได้หายหงุดหงิด กู้หลินยิ้มมุมปากแล้วกวาดสายตามองของฝาก พลันหยุดอยู่ที่หน้าร้านขายถุงหอม
กลิ่นหอมของสมุนไพรและดอกไม้ดึงดูดให้เขาเดินเข้าไปชมใกล้ ๆ หยิบจับถุงหอมเหล่านั้นขึ้นมาสูดดมทีละกลิ่นแล้วถือกลับมาด้วย
ไม่ทันจะได้ก้าวเข้าไปในหน่วยราชองครักษ์ ก็ได้พบกับโจวหยางอิงที่ยืนเข้าเวรยามด้วยสีหน้าไม่รับแขก เรียกเสียงหัวเราะจากกู้หลินได้เป็นอย่างมาก
“เจ้าไม่ต้องมาหัวเราะเยาะข้าเลย ไปเที่ยวคนเดียวสนุกหรือไม่ มีใครทำอะไรเจ้าหรือเปล่า” โจวหยางอิงได้ทีถามเป็นชุดไม่เว้นช่วงจังหวะให้อีกฝ่ายตอบ
“ข้าเป็นองครักษ์นะ ถึงจะไม่เก่งอย่างเจ้าแต่จะมีใครกล้าทำอะไรข้าหรือ” กู้หลินส่ายหน้าแล้วยื่นถุงหอมสีแดงให้เขา
คนตรงหน้ายิ้มแก้มปริพลางหยิบถุงหอมมาดมใกล้ ๆ “กลิ่นไม้กฤษณาหรือ” ใจของเขาเต้นรัว เจ้ายังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยเสี่ยวหลิน ถุงหอมสีแดงกับกลิ่นไม้กฤษณา คิดถึงยิ่งนัก
“ชอบหรือไม่” กู้หลินเห็นเขายิ้มน้อยยิ้มใหญ่จึงถามออกไป พอเห็นเขาพยักหน้าจึงพลอยโล่งใจว่า วันนี้เวรยามหน้าประตูคงจะอารมณ์ดีขึ้นมาบ้างสักนิด เอ่อ ไม่สักนิดแล้วล่ะ อารมณ์ดีจนเหมือนคนบ้าเลยทีเดียว