ขณะเดินทางกลับที่พัก อู๋หยางจีได้พบเบาะแสของยายแก่ที่ต้มตุ๋นและหลอกเอาเงินไป เขาเห็นหลังนางไวๆ และหวังต้องจับตัวนางให้ได้ พร้อมบีบคั้นให้นางคืนข้าวของเขา โดยเฉพาะหนังสือรับรองจากผู้ใหญ่บ้านในตำบลเหอเจียว
หญิงชรามีไม้เท้าช่วยเดิน ส่วนอีกร่างดูเหมือนเด็กหากแท้จริงแล้วกลับเป็นบุรุษผู้หนึ่ง เพียงแต่มันแสร้งแปลงโฉมให้เขาเข้าใจผิด
อู่หยางจี๋ขบกรามแน่นจนใบหน้าสั่นกระตุก เขาโผนทะยานไล่ตามร่างหญิงชรา และพยายามไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว
“ข้ายอมทำบาปสักครั้ง แก่จวนจะเข้าโลงอยู่แล้ว ยังหากินด้วยการหลอกลวงผู้อื่น ข้า อู๋หยางจีจะทำให้สำนึกก่อนตายก็แล้วกัน” ชายหนุ่มกระโดดแกมวิ่ง กระทั่งเข้าไปพื้นที่กว้างๆ ของจวนผู้ว่าเมืองฝูหาน ดวงตาคมกริบกวาดไปรอบๆ ตัว น่าประหลาดใจที่จวนแห่งนี้ไร้ทหารยาม
เขาหยุดฝีเท้าไม่ได้เร่งรีบเช่นเดิม กระทั่งเห็นชายเสื้อของหญิงชรา เขาจึงคำรามฮึ่ม ก่อนพุ่งตัวไปคว้าร่างอีกฝ่ายเอาไว้
ชายหนุ่มหัวเราะเสียงเหี้ยม คราแรกตั้งใจจัดการร่างนั้นให้น่วม สำหรับโทษฐานที่กล้าหลอกลวงเขา แต่เพราะเสียงหวานซึ่งเอ่ยทักดึงสติเขาไว้
“โอ้... คุณชาย”
อู๋หยางจีชะงักงัน เมื่อครู่คว้าเอาชายเสื้อหญิงแก่ไว้ แต่เหตุใดยามนี้จึงกลายเป็นสตรีร่างบอบบางที่เซเสียหลักหวิดจะล้มลงไปต่อหน้าเขา อีกทั้งผ้าผ่อนนางก็บางแนบเนื้อ จนรู้สึกวาบหวามใจ ร่างกายสาวเบียดชิดกับเรือนกายเขา สร้างความรู้สึกแสนอึดอัดในร่มผ้า
อู๋หยางจีฉงนฉงาย สตรีนางนี้ปรากฏตัวแทนหญิงชราได้เยี่ยงไร เรื่องตลกเช่นนี้ มีสิ่งใดแอบแฝง
“คุณชาย ไฉนถึงได้ทักทายกันรุนแรงนัก” นางเอ่ยแล้วจึงช้อนสายตาดอกท้อมองเขา
“เจ้าหลบหนีข้าด้วยเหตุใด”
“หลบหนีคุณชาย…” นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงคล้ายกำลังตกใจ สีหน้าแจ้งชัดว่าไม่เข้าใจต่อสิ่งที่เขาถามไถ่
“ย่อมเป็นเช่นนั้น แม่นางทำสิ่งผิดต่อข้าไว้ใช่หรือไม่ เมื่อวานเจ้าแต่งตัวเป็นยายแก่ และขโมเงินของข้าไป รวมถึงหนังสือจากผู้ใหญ่บ้าน และข้าวของอื่นๆ เป็นหลานของเจ้าที่มาชิงเอาไปตอนที่ข้าสลบอยู่” ถึงไม่อยากกล่าวโทษ แต่อู๋หยางจีต้องใจแข็ง โยนข้อหาร้ายแรงแก่นาง
หญิงสาวหน้าซีดเผือด อีกทั้งขอบตาแรงระเรื่อจนน่าสงสาร
“ข้าไม่ล่วงรู้สิ่งที่คุณชายกล่าว และท่านจะปล่อยข้าได้หรือไม่ กอดแน่ๆ เช่นนี้ หากใครมาพบเข้า ข้าย่อมเสียหาย”
เมื่อได้ยินคำทักท้วง เขาจึงปล่อยให้นางเป็นอิสระ ยามนั้นดวงตาเรียวเห็นว่า สตรีนางนี้รูปโฉมงดงามราวกับเทพธิดาเดินดิน อีกทั้งกลิ่นกายอ่อนหวาน เหนืออื่นใดที่เขากล่าวหานางว่าเป็นยายแก่ช่างเป็นคำพูดที่เหลวไหล
“เจ้าจะบอกว่าไม่ใช่ยายแก่ที่หลอกลวงข้า”
“คุณชาย... ข้าหาใช่หญิงชรา และเมื่อครู่หลงทาง เพราะมีบุรุษสองคนคิดมิดีมิร้าย จึงได้วิ่งหนีจนมาบังเอิญพบกับท่าน”
“เป็นเรื่องจริงรึ”
หญิงสาวพยักหน้า ก่อนจัดเสื้อผ้าของตนให้เข้าที่ เมื่อครู่อู๋หยางจีกระชากตัวนางรุนแรง เสื้อผ้าจึงเหมือนจะหลุดออกจากร่างบอบบาง
“ข้าไม่ค่อยได้ออกจากเรือนสักเท่าใด เนื่องจากมารดาป่วย อีกทั้งต้องเลี้ยงน้องชาย และช่วยงานท่านยาย”
“เช่นนั้น ข้าคงล่วงเกินแม่นางแล้ว”
“ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด หากไม่มีสิ่งใดติดค้างกัน ขะ ข้าขอตัวก่อน” นางเอ่ยจบ จึงเตรียมผละจาก แต่อู๋หยางจีมีบางสิ่งที่ติดค้างในใจ จึงเอ่ยรั้งสาวงาม
“หากแม่นางไม่รังเกียจ มะรืน เป็นเทศกาลขนมกระดูกขาว ข้าขอเลี้ยงอาหารเย็นเป็นการไถ่โทษเจ้าได้หรือไม่”
หญิงสาวเบิกตาโต ดวงตาคู่สวยของนางหวานซึ้ง มองเขาด้วยความขัดเขิน
“ละ เลี้ยงอาหารข้า”
“เป็นเช่นนั้น ถือเสียว่า ทดแทนการที่ข้าเสียมารยาทต่อสาวงาม”
ใบหน้าของหญิงสาวแต้มสีแดงระเรื่อ ในห้วงเวลานั้น อู๋หยางจีหลงเสน่ห์นางเข้าแล้ว
“ข้ามีนามว่า หยางจี...แซ่บิดาคืออู๋ เดินทางมาจากตำบลเหอเจียว ห่างที่นี่ราวๆ หนึ่งพันลี้”
“คุณชายหยางจี นามนี้ช่างสง่างาม” น้ำเสียงนางหวานหยด
“แล้วเจ้าเล่า”
“ข้านั้นต่ำต้อย ชื่อว่าเตียว...เอ่อ เตียวร่วน”
อู๋หยางจียิ้มกว้าง ก่อนเอ่ยแซวนางว่า “ชื่อเหมาะสมกับความงามเหลือเกิน”
“คุณชายอู๋ ชมเกินไปแล้ว” เตียวร่วนเอ่ยและชะเง้อไปฝั่งตรงข้าม นางมองบางอย่างด้วยสายตาพินิจ ก่อนเอ่ยอย่างเร่งร้อนว่า “ข้าต้องขอตัว ดูเหมือนน้องชายกำลังรออยู่”
“เอ่อ... เตียวร่วน อย่าลืมนัดของเรา ข้าจะรออยู่ที่สะพานทางทิศเหนือ ใกล้ร้านขายโคมไฟ”
เตียวร่วนมองชายหนุ่ม นางยิ้มด้วยความเขินอาย “ข้าจะพยายามมาตามนัดของคุณชายอู๋”
เทศกาลขนมกระดูกขาวจัดขึ้นสามวันสามคืนด้วยกัน มีการละเล่นอย่างสนุกสนานของชาวเมืองฝูหาน ต่างถือโคมไฟรูปสัตว์ประหลาดและเล่นดอกไม้ไฟ พร้อมจุดพลุในเวลาเที่ยงคืน มีขนมแป้งทอดที่ปั้นเป็นท่อนยาวราวหนึ่งข้อศอกผู้ชาย มันดูคล้ายโครงกระดูกใหญ่ๆ ชาวเมืองจะกินเป็นของหวาน บ้างราดน้ำผึ้ง หรือโรยน้ำตาลเคลือบ บางคนนำไปกินกับโจ๊ก หรือก๋วยเตี๋ยว หรือใส่ไส้ถั่วแดง ไส้หน่อไม้ หรือเนื้อแพะตุ๋นก็เป็นที่นิยม นอกจากนั้นยังมีน้ำตาลปั้นเป็นสัตว์ร้ายในตำนาน เทศกาลดังกล่าวออกจะรื่นเริงมากกว่าน่ากลัว อีกทั้งคนหนุ่มสาวใช้เวลานี้ในการเลือกคู่ไปด้วย ดังนั้นทั้งเมืองจึงคึกคักเป็นพิเศษ
หลายร้อยปีก่อน ชาวเมืองฝูหานถูกสัตว์ร้ายบุกเข้ามาทำลายพืชผักผลไม้ที่ปลูกไว้ รวมถึงข้าวในนาและสัตว์เลี้ยงจนล้มตายเป็นจำนวนมาก และมีนักพรตท่านหนึ่งมาช่วยไว้ นักพรตกล่าวว่าเป็นฝีมือของปีศาจที่หลุดรอดออกมาจากนรกขุมที่สิบแปด ดังนั้นในวันที่เก้าเดือนเก้าของทุกปีจึงให้มีการทำขนมเป็นรูปโครงกระดูก เพื่อใช้เป็นเครื่องรางป้องกันเหล่าปีศาจ ซึ่งความเชื่อดังกล่าวตกทอดมาจากรุ่นสู่รุ่นจนถึงทุกวันนี้
ด้วยเป็นการเฉลิมฉลองในเวลากลางคืน จึงมีการจุดพลุ และดอกไม้ไฟ พร้อมประดับโคมไฟตามบ้านเรือนกับถนนจนสว่างไสว ผู้คนก็ออกมาเที่ยวเล่นดื่มกินอาหาร ตามร้านค้าต่างๆ เพื่อให้เทศกาลนี้เต็มไปด้วยความสุขกับรอยยิ้ม
ตลอดคืนมีงิ้วและการร่ายรำบนเวที ซึ่งขับร้องเพลงด้วยเพลงสนุกสนาน รวมถึงการแสดงมายากลต่างๆ สุรากับอาหารเปิดขายตลอดคืน ผู้ใดมีเงินมากหน่อยก็ใช้จ่ายอย่างไม่ยั้งมือ ดังนั้นสามคืนที่มีเทศกาลนี้จึงเป็นช่วงเวลากอบโกยของพ่อค้าแม่ค้า
อู๋หยางจี แต่งชุดสีฟ้าตัวใหม่ เขาออกมารอสาวงามที่แผงขายโคมไฟ ซึ่งมีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ยืนเลือกซื้ออยู่ แต่ไม่ทันที่เขาจะได้พบกับแม่นางเตียวร่วน ชายหนุ่มต้องหัวเสียงจากหญิงนางหนึ่งที่แต่งตัวมอมแมม นางเดินมาอยู่ข้างเขา ก่อนยัดยันต์ที่เขียนด้วยอักษรประหลาดใส่มืออู๋หยางจี
“ข้ามอบให้ท่าน เพื่อจะได้มีเงาหัวเสียบ้าง” สตรีนางนี้หน้าตาหมดจด เพียงแต่แต่งตัวราวกับเป็นบุรุษ อีกทั้งยังแสดงสีหน้ายียวน จนดูไม่เหมาะสม
“แม่นาง พูดจาเช่นนี้หมายความเยี่ยงไร”
“หึ นี่ท่านไม่รู้หรอกหรือว่า ชะตาของตนเจียนจะขาดแล้ว ท่าทางดูเหมือนคนมีความรู้ ไฉนถึงได้ไม่รู้ชะกรรมของตนว่ากำลังถูกวิญญาณร้ายตามรังควาน”
อู๋หยางจีชี้ที่ตัวเอง ก่อนหัวเราะออกมาพรืดใหญ่
“แม่นางหากสติไม่เลอะเลือน เจ้าคงทักคนผิด”
“อย่าได้กล่าววาจาสามหาวต่อข้า ท่านไม่รู้หรือ ถิงมี่ผู้นี้มีดวงตาที่สาม ข้ามองเห็นวิญญาณร้าย และรู้อนาคต!”
ดวงตาเรียวมองสตรีตรงหน้าอย่างพินิจ เขาพยายามกลั้นขำเอาไว้หากสุดท้ายก็ทำมิได้
“ฮ่าๆ ๆ เจ้านั่นเอง หลานสาวของลุงเกา”
ถิงมี่มองบุรุษท่าทางสุภาพตรงหน้า นางคาดคะเนบางสิ่งในหัวอย่างรวดเร็ว
“นับว่าคุณชายยังหลักแหลม และค่ายันต์ปราบวิญญาณผีสาวรั่วจื่อ ข้าจะลดราคาให้เหลือสิบอีแปะก็แล้วกัน ในฐานะที่รู้จักท่านปู่”
“สิบอีแปะ!”
“ใช่ หากเป็นคนแปลกหน้า ข้าคิดถึงห้าหรือยี่สิบอีแปะเชียวนะ” ถิงมี่กล่าวพร้อมฉายยิ้มเจ้าเล่ห์
“เยี่ยงนั้นเจ้าเอากลับไปเถิด ข้าไม่จำเป็นต้องใช้ และถึงจะให้โดยไม่คิดเงิน ข้าก็ไม่ต้องการ”
“ทะ ท่าน! ดูถูกข้าเกินไปแล้ว” ถิงมี่โวยวาย
“แม่นาง อย่ากวนใจข้าอีก คืนนี้ข้ามีธุระกับสาวงาม ส่วนเจ้าไปตั้งแผงหลอกคนอื่นต่อไปเถิด”
ถิงมี่ได้ยินเช่นนั้นจึงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน อู๋หยางจีกำลังตบหน้านาง ในที่ซึ่งมีผ็คนเดินขวักไขว่
“คอยดูเถิด ท่านจะต้องถูกวิญญาณเจ้าสาว ควักหัวใจ และกัดกินร่างกายเป็นแน่แท้”
อู๋หยางจียกมือไล่สตรีตรงหน้า พร้อมส่งยันต์ที่เขียนด้วยอักษรแปลกๆ ส่งคืนถิงมี่
“ท่าน!”
ชายหนุ่มไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เขามองไปทางสะพาน ยามนั้นเห็นร่างบอบบางของสตรีที่เขานัดพบเดินตรงมาที่จุดนัดหมาย นางส่งยิ้มเอียงอายให้เขา รอยยิ้มหวานซึ้งทำให้หัวใจอู๋หยางจีพองโต
ถิงมี่มองตามไปที่สตรีคนดังกล่าว นางสังหรณ์ใจบางอย่าง บุรุษผู้นี้คงไม่ใช่แค่เงาหัวไม่มี แต่คาดว่าคงต้องหัวขาดในไม่ช้านี้!