ลูกชายหล่อได้พ่อ

1761 คำ
ลูกชายหล่อได้พ่อ วันนี้มีงานปิดภาคเรียนของชั้นอนุบาลและประถมฯ เป็นงานสานสัมพันธ์ระหว่างนักเรียน ผู้ปกครอง และคุณครู ซึ่งในงานก็มีการแสดงของเด็กนักเรียนทุกชั้น งานเริ่มตั้งแต่แปดโมงครึ่ง ตรงกับเวลาเข้าชั้นเรียนของเด็กๆ ภายในงานมีออกร้านของกินกันค่อนข้างมาก โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ปกครองและบรรดาครูในโรงเรียนที่มาตั้งร้านขายอาหารและของกินเล่น หลังครูใหญ่ขึ้นเวทีทักทายผู้ปกครองในงาน การแสดงต่างๆ ของนักเรียนก็เริ่มขึ้น เริ่มตั้งแต่อนุบาลจนครบทุกห้อง บาลีก็รอชมเด็กประถมหนึ่งออกมาแสดงโชว์เต้นโคฟเวอร์ บรรดาผู้ปกครองของเด็กประถม รีบไปรอถ่ายรูปหน้าเวที บาลีก็ไม่พลาดเช่นกัน แต่เพราะคนมันเยอะก็มีเบียดๆ กันบ้าง กระทั่งโดนบางคนจงใจกระแทกศอกเข้าหาจนเจ็บสีข้าง พอหันขวับไปมอง ก็ไม่แปลกใจกับสายตาหาเรื่องของรตี เพื่อนบ้าน ที่จากเพื่อนรักสมัยเด็ก กลายเป็นเพื่อนร้ายทันที เมื่อผู้ชายที่ตนเองหมายปองมาแจกขนมจีบบาลี และบาลีก็โต้ตอบด้วยการร้ายกลับ เพราะมันไม่ใช่ความผิดของเธอที่ไอ้เจ้าวัน มันมาตกหลุมรัก ใช่ว่าโปรยเสน่ห์หรือให้ความหวังก็ว่าไปอย่าง เพราะฉะนั้นยัยรตี ไม่มีสิทธิ์มาจงเกลียดจงชังเธอ ขนาดแต่งงานมีลูกด้วยกัน รตีก็ยังไม่เลิกจองเวรเธอ แถมมาก่อกวนลูกชายที่น่ารักของเธออีกต่างหาก นอกจากมันจะไม่ใช่เพื่อนของเธออีกต่อไป มันยังเป็นคนอยู่อีกไหม ที่สอนให้ลูกชายตัวเองมาล้อเลียนลูกชายของเธอ ‘ว่าเด็กไม่มีพ่อ’ อยากเบิ๊กกะโหลกไอ้เด็กชายราม แต่ก็รู้ว่าเด็กเหมือนผ้าขาว แต่เพราะผู้ใหญ่ที่เป็นถึงแม่ กลับป้ายผ้าขาวนั้นให้เป็นสีเทาเสียเอง บาลีจึงสงสารเด็กชายรามมากกว่าจะโกรธที่มีแม่อย่าง รตี ถ้ารตีไม่ปรับปรุงตัว วันหนึ่งลูกชายของรตีคงเป็นนักเลงหัวไม้ในตำบลนี้ ไม่ต่างจากพ่อของมัน เพราะไอ้วันก็ใช่ย่อย การแสดงของชั้นประถมหนึ่งเริ่มแล้ว บาลีจึงไม่สนใจรตีที่ยืนอยู่ข้างๆ คอยกระทุ้งศอกใส่เมื่อได้โอกาส อยากจะเตะก้านคอมาก แต่อดทนไว้ ไม่อยากพังงานลูกชาย บาลีจึงเขยิบตัวออกห่าง ความขุ่นมัวในใจก็จางลงทันที เมื่อเห็นร่างป้อมกับหน้าหล่อๆ ยิ้มกว้างจนตาเป็นสระอิ ขยับโยกไปตามเสียงเพลงแบบเป๊ะทุกจังหวะ “อู้ย น้องอิฐหล่อมาก แก้มยุ้ย แถมเต้นเก่ง” คุณแม่เด็กชั้นเดียวกันกับลูกชายบาลีเอ่ยชม “ขอบคุณค่ะ น้องนีน่าก็สวย น่ารักมากค่ะ เต้นเก่งเหมือนกัน” บาลีเอ่ยชมจากใจ เพราะเด็กหญิงนีน่า ซึ่งเต้นคู่กับลูกชายเธอก็เป็นแบบที่บาลีชมจริงๆ “น้องอิฐโตขึ้นหัวกระไดไม่แห้งแน่ๆ หล่อจริงๆ แถมตัวสูงกว่าเพื่อนในชั้นอีก” พิมพาผู้ปกครองน้องเตเต้ เพื่อนสนิทของน้องอิฐพูดขึ้น และอีกฝ่ายก็เป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่วัยเด็กของบาลีเช่นกัน “น้องเตเต้ก็เท่สุดๆ เลยวันนี้” บาลีชมลูกชายเพื่อนกลับ เพราะเต้นได้พลิ้วมาก “น้องอิฐโตขึ้นต้องเป็นดาราแน่ๆ หล่อตั้งแต่เด็กแบบนี้” ผู้ปกครองอีกคนชม บาลีเอ่ยขอบคุณแล้วยิ้มแก้มปริกับคำชมนั้น ปรายตาไปยังรตี เห็นแต่หน้าบูดบึ้งและกรุ่นโกรธ ก็แหงสิ เด็กชายราม นอกจากไม่ได้รับคำชมจากเพื่อนผู้ปกครองแล้ว เจ้าเด็กนั่นยังเต้นผิดเต้นถูก แถมจังหวะหมุนตัวก็ยังล้มลงกับพื้นอีก สร้างความขบขันให้กับเพื่อนๆ ในโรงเรียนและผู้ปกครองบางคนก็หัวเราะเสียงดัง แต่บาลีมองเด็กชายรามอย่างเห็นใจ เพราะกลับบ้านไปอาจโดนแม่ตี ที่ทำขายหน้าในวันนี้ การแสดงจบด้วยท่าเท่ๆ สวยๆ ของเด็กชั้นประถมหนึ่ง มีการโพสต์ท่าให้บรรดาผู้ปกครองถ่ายรูป จากนั้นก็ลงมาหลังเวที โดยมีบรรดาผู้ปกครองไปรอรับ เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็มานั่งชมการแสดงของเพื่อนๆ พี่ๆ ชั้นต่อไป กระทั่งพักเที่ยง ก็พากันเดินชมร้านที่ออกงานวันนี้ ทั้งอาหาร ขนม เครื่องดื่ม ของเล่นละลานตาไปหมด บาลีพาลูกกินข้าวมันไก่ของโปรด โดยมีพิมพากับน้องเตเต้มานั่งร่วมด้วย เป็นเพื่อนกันตั้งแต่รุ่นแม่ยันรุ่นลูก เพราะพิมพาเป็นเพื่อนวัยเด็กคนเดียวที่ไม่ได้สนใจซุบซิบนินทาเรื่องพ่อของลูกชายเธอ มีอยู่บ้างที่อีกฝ่ายถาม บาลีก็บอกแค่ว่า เลิกกันก่อนท้อง พิมพาก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ เหมือนรู้ว่าเธอไม่อยากพูดถึงพ่อของลูก ต่างจากที่บาลีบอกครอบครัว เพราะหากบอกว่าเลิกกันไปแล้ว ป้ามอญและลุงปราบคงอยากไปรู้จักหรือให้อีกฝ่ายรับผิดชอบเรื่องลูก ซึ่งเรื่องมันคงจะบานปลายจนเธอโกหกต่อไปไม่ไหว “แม่ครับ อิฐอยากกินไอติม” เจ้าตัวป้อมเอ่ยขึ้นเมื่อกินข้าวมันไก่หมดจานแล้ว “ได้ลูก เตเต้เอาไอติมด้วยไหมครับ” บาลีหันไปถามเพื่อนสนิทลูกชาย ที่กำลังจะกินข้าวมันไก่หมดจานเช่นกัน “เอาครับ เยอะๆ เลย” “เตเต้ กินของหวานแต่พอดีครับลูก” พิมพาปรามลูกชาย “เด็กกำลังกิน แกก็อย่าห้ามมาก” “เดี๋ยวอ้วนขึ้นมา ลำบากตอนลด” “เด็กแค่นี้ แกก็คิดไปไกล” “อ้วนแล้วหล่อเหมือนน้องอิฐก็จะไม่บ่นเลยนะ” พิมพาว่า บาลีตีบ่าเพื่อนเบาๆ โทษฐานบูลลี่ลูกชายตัวเอง จากนั้นบาลีก็ซื้อไอศกรีมให้เด็กๆ แน่นอน ของน้องเตเต้สองถ้วย ตามคำเรียกร้อง แต่พิมพากลัวลูกอ้วนเลยแย่งกินไปเกือบครึ่ง “นังรตีมันเป็นไรมากไหมแก นั่งค้อนปะหลับปะเหลือกอยู่ได้” พิมพาบ่น เมื่อรตีที่นั่งอยู่กับก๊วนของตัวเองที่โต๊ะข้างๆ มองมาแล้วทำท่าทีค้อนใส่ทุกครั้งที่บังเอิญหันไปมอง “ช่างมันเถอะ” “เฮอะ คงขายหน้าลูกตัวเองเต้นผิดจังหวะ” พิมพาว่า แล้วส่งค้อนกลับไปบ้าง อีกฝ่ายก็ชักสีหน้าใส่ทันที “มันคงคิดว่าตัวเองค้อนเป็นอยู่คนเดียว” พิมพาหัวเราะอย่างสะใจ “พอแล้วน่า เด็กๆ ฟังอยู่” “ไม่เป็นไรคับ ไอ้รามมันก็ชอบว่าอิฐไม่มีพ่อ แล้วยังล้อว่าเตเต้อ้วนอีก” เด็กชายเตเต้ถือโอกาสฟ้องเสียเลย “ไม่ต้องสนใจหรือโต้ตอบคนนิสัยไม่ดีแบบนั้นหรอก” บาลีบอกเด็กทั้งสอง “ใช่แล้วลูก อย่าเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ” พิมพาบอกกับเด็กๆ แบบนั้น แต่ตัวเองยังไม่หยุดส่งค้อนโต้ตอบรตี “พิมเสนคืออะไรคับ” เด็กชายอิฐถาม มองพิมพาตาแป๋ว ใคร่รู้มาก พิมพาหัวเราะเบาๆ แล้วหันไปทางบาลี “ไว้คืนนี้แม่จะอธิบายให้ฟังครับ” บาลีบอกลูกชาย เพราะอธิบายตอนนี้น่าจะยาว “คงไม่เหมือนพิมพานะแม่” เด็กชายเตเต้พูดหน้าตา “ไอ้ลูกคนนี้” พิมพาบิดแก้มยุ้ยๆ ของลูกชายอย่างมันเขี้ยวในความช่างพูด กลับมาถึงบ้านตอนบ่ายแก่ๆ ลูกชายก็ฟุบหลับทันที เพราะตื่นเตรียมตัวแสดงงานที่โรงเรียนแต่เช้า บาลีอาบน้ำแต่งตัวอยู่ในชุดสบายๆ ก็ออกมานั่งคุยกับป้ามอญ ส่วนลุงปราบกับธรินท์นั้นยังไม่กลับจากไร่ “ไอ้ดินบอกมีผู้จัดละคร ที่เป็นพี่สาวของเพื่อน มาขอเข้ามาชมไร่น่ะ” “เหรอคะ มาดูทำไม” “เห็นว่าอยากมาถ่ายทำละครที่ไร่เราน่ะ” “โห ดีจัง ไร่เราจะดังแล้ว” “ลีเห็นด้วยใช่ไหม” เพราะไร่แสงอุษาแห่งนี้ บาลีเป็นเจ้าของตัวจริง บาลีได้รับมรดกมาจากผู้เป็นบิดา ส่วนสามีของนางมีหุ้นอยู่เพียงสามสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่บาลียังใจดีแบ่งหุ้นของตนเองให้ธรินท์ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ทั้งสามคนแบ่งหน้าที่ทำงานอย่างชัดเจน บาลีดูแลเรื่องบัญชีเป็นหลัก ธรินท์ดูแลเรื่องการตลาด ส่วนสามีนางนั้นดูแลเรื่องภายในไร่ทั้งหมด “ต้องเห็นด้วยอยู่แล้วค่ะ” เมื่อใกล้ถึงเวลาเย็น บาลีช่วยป้ามอญทำอาหารค่ำ ปกติถ้าไม่มีธุระที่ไหน ทุกคนจะมากินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตา กินข้าวอิ่ม กินขนมผลไม้ บาลี ลุงปราบและธรินท์ ก็พากันพูดคุยเรื่องงาน ส่วนป้ามอญนั่งดูละครหลังข่าว ส่วนน้องอิฐก็ง่วนอยู่กับของเล่น ธรินท์นั้นมีบ้านพักหลังเล็กตามประสาหนุ่ม ห่างจากเรือนใหญ่ไปเพียงเล็กน้อย “ป้ามอญบอกแล้วใช่ไหม เรื่องที่มีผู้จัดละครมาดูโลเคชันถ่ายละคร” ชายหนุ่มผิวแทน หน้าคมหล่อเอ่ยขึ้น ขณะนั่งสบายๆ กินผลไม้ไปด้วย “บอกแล้ว ว่าแต่ผู้จัดคือใคร” “พี่วีรา” “วีราวรรณน่ะเหรอคะ!” น้ำเสียงตื่นเต้นขึ้นมาทันที บาลีติดตามผลงานของอีกฝ่ายมานาน เพราะอัทธ์เล่นละครของ วีราวรรณเป็นผู้จัดค่อนข้างบ่อย “อือ” “แล้วพี่ดินรู้จักพี่วีราได้ยังไงคะ” รู้สึกตื่นเต้นชอบกล อาจเพราะวีราวรรณร่วมงานกับอัทธ์มากที่สุดในจำนวนละครที่อีกฝ่ายเป็นผู้จัด “เป็นพี่สาวของเพื่อนสมัยเรียนมหา’ ลัย” “สนิทไหม” “ไม่เลย สมัยเรียนเคยเจอแค่ไม่กี่ครั้ง พอดีเพื่อนพี่ ไอ้วินน่ะ เห็นว่าพี่วีรากำลังหาโลเคชันเป็นไร่เพื่อถ่ายละคร มันก็เลยแนะนำไร่ของเราไป” “รู้ไหมคะว่าเรื่องอะไร” อยากถามว่าใครเป็นนักแสดงนำด้วยซ้ำ แต่กลัวธรินท์สงสัยในความอยากรู้ของเธอ “ไม่ได้ถามชื่อเรื่อง แต่พี่วีราบอกแค่ว่า พระเอกของเรื่องเป็นเจ้าของไร่องุ่น และโลเคชั่นไร่เราก็ดูเหมือนจะสวยถูกใจพี่เขาอยู่เหมือนกัน ถ้าลีไม่มีปัญหาอะไร ก็อนุญาตให้เขามาถ่ายทำแล้วกัน” “ไม่มีปัญหาใดๆ แน่นอนค่ะ” บาลีบอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เมื่อถึงเวลาแยกย้าย บาลีก็รีบพาลูกเขานอน พอเจ้าตัวป้อมหลับแล้ว บาลีก็รีบหาข้อมูลละครเรื่องใหม่ของวีราวรรณเป็นผู้จัด แต่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรให้บาลีรู้ว่าละครเรื่องนั้น ชื่อเรื่องอะไร และใครเป็นนักแสดงนำ นางเอกนั้นบาลีไม่อยากรู้ แต่พระเอกของเรื่องนี่สิ อยากรู้มาก ภาวนาให้เป็นเขาคนนั้น สาธุ สาธุ สาธุ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม